ASTVผู้จัดการสุดสัปดาห์ -สัญญาณชัดเจนแจ่มแจ๋วว่า คณะรักษาความแห่งชาติ (คสช.) ของ“บิ๊กตู่”พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) ไม่คิดย่ำรอยเท้า คณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ (คมช.) ของ“บิ๊กบัง”พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน แต่จะใช้ความผิดพลาด รัฐประหาร 19 กันยายน 2549 มาเป็นครู ในการทำงานใหญ่ ไม่ให้ “เสียของ”ให้คนด่าไล่หลังเหมือนรุ่นพี่
ตั้งแต่วันเข้าควบคุมอำนาจการบริหารประเทศ ในวันที่ 22 พฤษภาคม 2557 จวบจนวันนี้ ทิศทางที่ คสช. กำลังเดินมา กำลังสะท้อนให้เห็นอย่างนั้น
เทียบกันปอนด์ต่อปอนด์ ถือว่า คสช. ที่มี “บิ๊กตู่”สวมบทกัปตันทีม ทำเกมได้แยบยล และแนบเนียนกว่า คมช. ของ “บิ๊กบัง” ไล่ตั้งแต่เรื่องวินาทีการยึดอำนาจ ซึ่งเล่นประกาศกฎอัยการศึกให้ตายใจกันว่า ทหารคงไม่ขยับล้ำเส้นนอกเหนือวิถีทางตามรัฐธรรมนูญ
กระทั่งการขุดบ่อล่อบรรดา“แกนนำตัวพ่อ”เข้ามาตกหลุมพราง โดยไม่ต้องออกแรง ก่อนจะล่อ“แอ่น แอ๊น”ออกอากาศกันกลางวันแสกๆ แบบไม่ต้องมีรถถังสักคัน
ขณะเดียวกัน ยังงัดไม้แข็งประกาศเรียกตัวแกนนำ ตั้งแต่ระดับแถวบนจวบจนแถวล่าง ไม่ว่าจะเป็น เกรดเอ บี ซี ดี อี เข้ารายงาน หรือใครเป็นนายทุน ควักน้อย ควักมาก ตั้งแต่นายห้างจนถึงนายบ่อน โดนกันทั่วหน้า ไม่ให้เที่ยวไปเพ่นพ่านปลุกระดมคนมาต่อต้านการทำรัฐประหาร ช็อตนี้ทำเอาหลายคนถึงกับอ้าปากค้าง เพราะ“ท๊อปบูต”ทำการบ้าน เฝ้าติดตามสถานการณ์ เก็บข้อมูลกันอย่างละเอียดยิบ
ใครเป็นใคร มาจากไหน รู้หมด ไม่ได้ทำกันแบบลวกๆ กระทันหัน !!
ในขณะที่สมัย คมช.ของ“บิ๊กบัง” ใช้ปฏิบัติการลับ ลวง พราง เข็นรถถังกันออกมาตอนหลังตะวันตกดิน และยังต้องชิงไหวชิงพริบเล่นเกมชักกะเย่อกันอีกหลายชั่วโมง ก่อนจะออกแถลงยึดอำนาจ เป็นที่ว่าวลีเด็ด“โปรดฟังอีกครั้ง”ในที่สุด
สมัยนั้น คมช. เรียกมารายงานตัวเฉพาะพวก “หัวแถว”เท่านั้น ส่วนพวก “กลางแถว - ปลายแถว”ยังออกไปทำซ่าข้างนอกได้ โดยรวมถือว่าไม่ดุ เด็ด เผ็ด มัน เท่าไหร่ ซึ่งต่างจาก คสช. ของ “บิ๊กตู่”ที่หน้าเขียวเป็น “ยักษ์ถือกระบอง”ขู่ฟ่อไม่ให้มีใครกล้าแตกแถว
แม้แต่กระทั่งขั้นตอนหลังจากเข้าควบคุมอำนาจได้แล้ว ยังต่างกันโดยสิ้นเชิง ในยุคคมช. หลังจากเป็น “รัฏฐาธิปัตย์”ได้ไม่กี่วัน ก็เร่งคลอดรัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราวออกมาใช้ ภายในเวลาแค่ 11 วัน หลังจากนั้นก็รีบตั้งรัฐบาล สภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) และสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ (ส.ส.ร.) ขึ้นมาทันที
คมช. ยืนอยู่บนคานอำนาจแค่สั้นๆ ก็ส่งไม้ต่อไปยัง “รัฐบาลขิงแก่”ภายใต้การนำของ พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ ทันที เสมือนหนึ่งเข้ามาทำภารกิจเพียงแค่ยึดอำนาจจากรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เท่านั้น แต่ปัญหาที่คาราคาซังมานมนาน กลับยังไม่ได้แก้ไข
สิ่งหนึ่งที่ดูเป็นรูปเป็นร่างจับต้องได้ ก็มีเพียงแค่การตั้งคณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายต่อรัฐ (คตส.) เข้ามาเช็กบิลกับคดีของ “นายห้างดูไบ”กับ การร่างรัฐธรรมนูญ “ฉบับหน้าแหลมฟันดำ”เพื่อทำให้ฝั่งตรงข้ามขยับตัวยาก
แต่สุดท้าย ขึ้นต้นเป็นลำไม้ไผ่ พอเหลาลงไปกลายเป็นบ้องกัญชา เพราะการรัฐประหารครั้งนั้น เป็นเพียงการไล่บล็อกในสิ่งที่ “นายห้างดูไบ”เคยกระทำไว้แล้ว แต่ไม่ได้ป้องกันในรูโหว่ อื่นๆ ที่ยังไม่ได้ทำ กึ่งๆ โค่นต้น แต่ยังเหลือโคน เหลือราก
หนำซ้ำ “รัฐบาลขิงแก่”ยังถูกค่อนแคะว่า ความเลวไม่มี ความดีไม่ปรากฏ เพราะถูกตั้งขึ้นในรูปแบบของการบริหารงานทั่วไปเหมือนกับรัฐบาลพลเรือน ที่มาจากการเลือกตั้ง เข้ามาประคองประเทศไปวันๆ เพื่อรอเวลาให้มีรัฐบาลใหม่เข้ามา
นอกจากนี้ เสนาบดี 35 คน ที่ถูกแต่งตั้งขึ้นมา ต่างมีอาณาจักรของตัวเอง ต่างคนต่างทำงาน ไร้ซึ่งเอกภาพ ไปคนละทิศละทาง รอบนั้นมันเลยเสียของไปฟรี ๆ
แต่มาในยุคนี้ เป็นอีกเวอร์ชั่นหนึ่ง ปัจจุบัน คสช. ควบคุมอำนาจมาเกือบครึ่งเดือน แต่ยังไม่มีการประกาศใช้รัฐธรรมนูญชั่วคราว มีแต่ข่าว “เนติบริกร”นายวิษณุ เครืองาม อดีตเลขาธิการคณะรัฐมนตรี (ครม.) หลายรัฐบาล ซุ่มร่างกันอยู่
ตามจังหวะไม่รีบไม่ร้อน เน้นช้า แต่ชัวร์
สอดคล้องกับ “โรดแมป” 3 ระยะที่ “บิ๊กตู่”ออกมาประกาศปาวๆ สัปดาห์ที่แล้ว ระยะแรก 2-3 เดือน เน้นสร้างบรรยากาศปรองดอง จากนั้นระยะที่ สอง ค่อยว่ากันเรื่องรัฐบาล สภานิติบัญญัติ สภาปฏิรูป ใช้เวลาอย่างต่ำ 365 วัน ไม่เร่งคายอำนาจออกจากปากเร็วเหมือน“บิ๊กบัง”
แต่ขอนั่งกำกับคุมการแสดงด้วยตัวเอง ทุกฉากทุกตอน ป้องกันไม่ให้พลาดซ้ำรอยศิษย์พี่ !!
แล้วก็ต้องดูกันไปถึงคุณลักษณะของรัฐบาล ว่า งวดนี้ “บิ๊กตู่”จะก็อปปี้แบบฟอร์มเดิม หรือจะสร้างรูปแบบใหม่ของตัวเอง นั่นคือ ไม่เอารัฐบาลแบบทั่วๆไป แต่จะเอารัฐบาลเพื่อภารกิจปฏิรูปประเทศ โดยเฉพาะ หรือที่ กปปส. นิยามว่า “รัฐบาลเฉพาะกาล”
เช่นเดียวกับวิธีการแก้ไขปัญหาชาติ จากเดิมที่ไล่บี้ไล่บล็อก “นายห้างดูไบ”เฉพาะตัว ซึ่งไม่ได้ผล ก็อาจจะกลายมาเป็นการสลายวงจรอุบาทว์ ด้วยการแก้ระเบียบ กติกา เพื่อทำให้ระบอบทักษิณอ่อนแอ หรือล่มสลาย ผ่านกลไกนิติบัญญัติ และสภาปฏิรูป ในสถานการณ์ที่ทุกคนมีส่วนร่วม และยอมรับ
ตามรูปการณ์ “เป้าหมาย”ที่ตั้งไว้ดูสวยงาม แต่ระหว่างทางที่จะไป อาจไม่ง่ายอย่างที่คิด เพราะเต็มไปด้วยอุปสรรคขวากหนามนานัปการ โดยเฉพาะเรื่องการเลือกใช้คน ก็เป็นโจทก์ใหญ่ที่ต้องบริหารจัดการให้ได้ เพราะแม้กระทั่งรัฐบาลที่มาจากพรรคการเมือง ซึ่งช่ำชองเรื่องการจัดสรรผลประโยชน์ ยังหัวหมุน แก้ไม่ตก
แล้วมาครั้งนี้กลไกคร่าวๆ ที่ คสช.วางไว้ เรียกว่า มี “ตำแหน่งงานว่าง”ให้เสนอตัวเพียบ ไม่ว่าจะเป็นรัฐบาล หากเป็นรูปแบบปกติจะต้องมี 35 คน ส่วนสภานิติบัญญัติคร่าวๆ ประมาณ 200 คน สภาปฏิรูป ประมาณสัก 100 คน แล้วไหนจะต้องมี สภาร่างรัฐธรรมนูญ (ส.ส.ร.) มาร่างรัฐธรรมนูญอีก
ในจังหวะที่บรรดา “บิ๊กเนม”ทั้งหลายอยู่ในช่วง“ตกงาน” การไขว่คว้าหาโอกาสเข้ามานั่งเก้าอี้ตัวใดตัวหนึ่ง ก็ไม่ใช่เรื่องแปลก โดยเฉพาะพวกที่มีคอนเนกชั่นกับ คสช. หรือ 10 อรหันต์ทีมงานที่ปรึกษาที่ “บิ๊กตู่”ตั้งขึ้นมา ส่อแววว่า 1-2 เดือนนี้ ได้วิ่งกันสนุกสนานเป็นแน่
เอาแค่ช่วงนี้ เช็กสัญญาณกันให้ดี เริ่มมีเค้าความเคลื่อนไหวให้เห็นลางๆ อยู่เหมือนกัน บางคนมาในแนวโชว์ออฟ แนวคิดเลิศหรูอลังการ ผ่านสื่อรายวัน เพื่อให้สปอตไลต์ ส่องถึงเข้าตาผู้มีอำนาจ บางคนก็งัดเอาผลงานขย้ำเครือข่ายระบอบทักษิณในอดีต มาสะกิดให้เห็นถึงความเหน็ดเหนื่อย บางคนก็เล่นเกมใต้ดิน ใช้ความสัมพันธ์ส่วนตัวให้ตนเองเข้าไปมีตำแหน่งแห่งที่
ระยะนี้เข้าสู่โหมดฝุ่นตลบแล้ว !!
ตามคิวคนเยอะ แต่เก้าอี้มีจำกัด เป็นงานยักษ์ ที่ต้องบริหารจัดการให้ได้ เน้นคุณภาพ คนดี มากกว่าพระเดชพระคุณ ไม่ให้หมุนกลับไปเหมือนตอนปี 2549 ที่เอาเหล่าพวกเพื่อนฝูงเข้าไปแน่นเอี้ยด แทบล้นทะลัก จนโดนฝั่งตรงข้ามล่อเป้าโจมตีกันอยู่ทุกวัน
ระวังอย่าให้ประวัติศาสตร์ซ้ำรอย เหมือน 8 ปีที่แล้ว ที่ตอนแรกได้รับ “ดอกไม้”แต่ปลายทางมีแต่“ก้อนอิฐ”เขวี้ยงใส่เต็มไปหมด