สุทธิพงษ์ ปรัชญพฤทธิ์
http://twitter.com/indexthai2
indexthai2@gmail.com
จะมีใครสนใจต้นเหตุของปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้นกับประเทศไทย ว่ามีต้นเหตุมาจากอะไร ไม่ว่าเรื่องเศรษฐกิจ สังคม และการเมือง ก็คงมีคนสนใจ แต่บางทีมันยากที่จะเข้าใจ จึงกลายเป็นกล่าวถึงต้นเหตุของปัญหาต่างๆ แบบข้างๆ คูๆ แล้วก็แก้ปัญหาที่ปลายเหตุ ไม่ได้แก้ที่ต้นเหตุของปัญหา ทำให้ปัญหาไม่สามารถยุติได้จริง ปัญหาอาจจะยุติชั่วคราว จากนั้นก็เกิดขึ้นมาใหม่ แม้เรื่องการเมืองที่คนสนใจมาก ที่ได้มีการเปลี่ยนแปลงการปกครองมาแล้ว 82 ปี ก็มีปัญหาซ้ำแล้วซ้ำอีกไม่รู้จบ เราทำการปฏิรูป รัฐประหาร ร่างรัฐธรรมนูญมาหลายครั้งแล้ว ก็ยังน้ำเน่าเหมือนเดิม เมื่อไม่แก้ที่ต้นเหตุของปัญหาอย่างจริงจัง ก็ยากที่จะออกจากอวิชชาของการเมืองได้
เรื่องความแตกแยกของคนในชาติก็เช่นกัน ทั้งนักวิชาการ สื่อ และคนมีชื่อเสียงในสังคมพากันตำหนิคน 2 กลุ่มที่อยู่ตรงกันข้ามกัน ว่า 2 กลุ่มทำลายเศรษฐกิจ ทำลายการท่องเที่ยว บอกให้ถอยหลังคนละก้าว ก็ไม่ถอย
ฟังดูแล้วเข้าใจได้ว่าใช้ไม่ได้ทั้ง 2 กลุ่ม บอกไม่ได้ว่าฝ่ายไหนดีฝ่ายไหนเลวกว่าฝ่ายไหน จึงไม่เข้าข้างฝ่ายไหน จึงมีการใช้กำลังล้มออกไป ล้มทั้งรัฐบาล ล้มทั้งผู้คนที่สนับสนุนรัฐบาล ล้มทั้งมวลชนที่เห็นต่างและอยู่ตรงกันข้ามกับรัฐบาล ให้มาเริ่มต้นร่างรัฐธรรมนูญกันใหม่ มาสู่วงจรเดิมอีก
บทความนี้แสดงข้อมูลเรื่องการแตกแยกของคนในชาติ ต้นเหตุความแตกแยกการแตกต่างทางความคิดของคนในชาติไม่ได้เกิดขึ้นเองโดยคนในชาติด้วยกันเอง ไม่ได้เป็นไปโดยธรรมชาติ แต่มีคนปลุกระดม ทำการเบี่ยงเบนให้เชื่อในสิ่งหนึ่งสิ่งใดโดยเฉพาะ ปลุกระดมให้เชื่อมากกว่าจะพูดให้เกิดความเข้าใจ
พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร แม้จะอยู่ต่างประเทศ เพราะเป็นนักโทษหนีคดีอาญา เป็นผู้ที่พูดถึงการปรองดองของคนในชาติเป็นคนแรก และได้มีความความปรองดองอย่างสุดตัว ดูไปแล้วก็เป็นความคิดที่ดี กระทั่งล่าสุด คิดออกพ.ร.บ.นิรโทษกรรม โดยอ้างถึงความปรองดองของคนในชาติ เมื่อเป็นเช่นนี้ ทำไมจึงไม่สนับสนุนแนวทางการปรองดองของทักษิณ นอกจากจะไม่สนับสนุนแนววิธีการปรองดองของทักษิณแล้ว ยังออกมาเดินขบวนขับไล่รัฐบาลตัวแทนของทักษิณ ที่เป็นผู้ออกพ.ร.บ.นิรโทษกรรมอีกต่างหาก
เครื่องมือที่ใช้ในการสร้างความแตกแยกคนในชาติของทักษิณมี 3 อย่าง 1) ทรัพย์สินเงินทอง 2) อำนาจ 3) น้ำลาย ซึ่งทักษิณมีสิ่งเหล่านี้อย่างพร้อมสรรพ ใช้เงินทองมาหาอำนาจ และใช้อำนาจมาหาเงินทอง เงินทองไม่เข้าใครออกใคร ใช้ฟาดศีรษะใครแล้วพลาดน้อย ใช้จ้างผีโม่แป้งได้ มีอำนาจแล้วก็ใช้อำนาจให้ตำแหน่งงานกับผู้คนที่รับใช้ทำงานมิจฉากรรมได้
อำนาจและเงินทองได้มาด้วยวิธีที่สกปรก เมื่อนำมาใช้กับระบบ ก็จะทำให้ระบบสกปรกและเสื่อมลง จ้างแกนนำตั้งเวทีชุมนุมย้ำบอกข้อมูลและวิสัยทัศน์ของตนเองสร้างข้อมูลเท็จ โฆษณาชวนเชื่อวิสัยทัศน์เทียม ถ่ายทอดผ่านสื่อไปถึงผู้คนทั่วประเทศและทั่วโลก จริงปนเท็จเท็จปนจริง หลอกลวงข่มขู่องค์กรอิสระผ่านเวทีปลุกระดม ยากที่ผู้คนจะแยกออกว่าอะไรเป็นอะไร
เมื่อใช้เครื่องมือทั้ง 3 ประกอบกันกับระบบและคนในระบบ คือ ให้ทรัพย์สินเงินทอง ให้ตำแหน่งหน้าที่การงาน รวมทั้งให้ตำแหน่งกรรมการในหน่วยงานและรัฐวิสาหกิจที่มีรายได้สูง และการชโลมน้ำลาย (ปลุกระดม) แก่ระบบอย่างเข้มข้นจึงเป็นรูปแบบของการล้างสมองคนในระบบที่มีประสิทธิภาพสูง
น้ำลายหรือคำพูด คือเครื่องมือสำคัญอย่างหนึ่งของการล้างสมองคนในระบบ มีมานับพันปีในอดีต พรรคคอมมิวนิสต์จีนเคยใช้การถ่ายทอดแนวทางแบบคอมมิวนิสต์ผ่านคลื่นวิทยุเพื่อล้างสมองผู้คนได้ผลระดับหนึ่ง
แต่เทียบไม่ได้กับน้ำลายที่เกิดขึ้นกับประเทศไทยในช่วง 13 ปีที่ผ่านมา มีการอัดฉีดเงินและผลประโยชน์แก่แกนนำที่ออกมาปลุกระดมอย่างต่อเนื่อง อัดฉีดเงินและให้ผลประโยชน์สื่อทั่วไป คนทำสื่อเป็นคนที่มีความสำคัญ ให้ได้รับความพอใจสูง ก็จะได้ผลตอบแทนสูง คนทำสื่อได้รับแจกหุ้นปตท.ราคาถูก ซึ่งมูลค่าปัจจุบันถึง 100 ล้านบาท
วิทยุชุมชนได้รับผลประโยชน์เป็นพิเศษ กระทั่งสามารถสร้างกลุ่มมวลชนเป็นของตนเอง สามารถนัดกันออกมาเกะกะระรานใครก็ได้ ออกมาเกะกะระรานศาลรัฐธรรมนูญ ออกมาเกะกะระราน ป.ป.ช.ถีบพระ คุกคามข่มขู่ฝ่ายตรงกันข้าม ห้ามฝ่ายตรงกันข้ามหรือศิลปินลงไปในพื้นที่ที่กำหนด
ไม่ว่าประเทศไหน สื่อส่วนใหญ่ จึงเป็นของคนมีอำนาจและมีเงิน
วิทยุชุมชน โจมตีสถาบันหนักมาก
ผู้คนส่วนใหญ่อุดมกิเลส เห็นแก่ผลประโยชน์ทรัพย์สินเงินทองที่ได้รับ มากกว่ารู้ดีรู้ชั่วดี
กิเลสของคน หากคนบาปจ่าย 100 บาทแก่นักปลุกระดม ผลงานก็จะไม่เกิด แต่หากจ่ายให้ 10-50-100 ล้าน มีบ้านมีธุรกรรมให้ด้วย อะไรก็ฉุดไม่อยู่ ข้อมูลเท็จ ข้อมูลเทียม ข้อมูลเบี่ยงเบน จะถูกสร้างขึ้นมาเป็นน้ำไหล ถล่มใส่ระบบไม่มีหมด ฟังการปลุกระดมแล้วชวนหลงไหล ฮึกเหิม คนที่ฟังแบบไม่ตั้งตัว จึงไม่เหลือตัวตนไว้เป็นของตัวเอง เป็นของทักษิณหมดใจ
การแตกต่างทางความคิดเป็นเรื่องธรรมดา ขึ้นอยู่กับสิ่งแวดล้อม ข้อมูลความรู้และประสบการณ์ของแต่ละคน
แต่ช่วง 13 ปีที่ผ่านมา ไม่ใช่เป็นการแตกต่างทางความคิด แต่เป็นการแตกแยกทางความเชื่อ เป็นเรื่องที่ผิดปกติ เป็นเรื่องที่ไม่เป็นไปตามธรรมชาติ
การแตกต่างทางความคิดของคนในชาติไม่ได้เกิดขึ้นโดยคนในชาติกันเอง ไม่ได้เป็นไปโดยธรรมชาติ มีคนปลุกระดม เบี่ยงเบนให้เชื่อในสิ่งหนึ่งสิ่งใดโดยเฉพาะ ปลุกระดมให้เชื่อมากกว่าจะพูดให้เกิดความเข้าใจ เช่น การปลุกระดมให้ไปฆ่าตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ บอกว่าตัดสินคดีความแบบ 2 มาตรฐาน บ้างก็บอกว่าศาลรัฐธรรมนูญหรือศาลปกครองไม่มีสิทธิที่จะมาตัดสินคดี พูดให้ประโยชน์แก่ฝ่ายที่ตนหลงใหลหลงเชื่อ พร้อมการอ้างอิงต่างๆ ให้เกิดความเชื่อถือ แต่ไม่พูดว่าทำไมศาลจึงตัดสินอย่างนั้น
ความจริงถูกผิดมีอยู่ในตัว ไม่มีศาลอะไรมาตัดสิน มันก็ถูกก็ผิดอยู่ในนั้นแล้ว
คนฟังส่วนหนึ่งถูกเบี่ยงเบนได้ อีกส่วนหนึ่งถูกเบี่ยงเบนไม่ได้
เป็นที่มาของความแตกแยกของคนในชาติ
น้ำลายไม่เข้าใครออกใครเช่นกัน มีตัวอย่างปลุกเร้าผู้คนให้ไปรุมฆ่าคนไทยด้วยกันในธรรมศาสตร์มาแล้ว (Google search พบข้อความดังนี้ : ตลอดปี 2519 สมัคร สุนทรเวช มีส่วนในการสนับสนุนวิทยุยานเกราะซึ่งปลุกระดมให้คนฆ่านักศึกษา)
น้ำลาย ถ้าเป็นสัมมาวาจา จะไม่ทำให้คนในชาติแตกแยกกัน แต่เมื่อเป็นมิจฉาวาจามันจึงเป็นเหตุทำให้คนในระบบมีความเชื่อที่แตกแยกกันความแตกแยกกันมีทุกระดับชั้น ตั้งแต่ระดับล่างสุดไปจนถึงระดับบนสุด
คนไทยแตกแยกกันรุนแรงอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อนในประวัติศาสตร์ชาติไทยอาจารย์มหาวิทยาลัยด้วยกันแตกแยกกัน ก็เป็นเรื่องไม่แปลก
รองศาสตราจารย์ ดร.สุวินัย ภรณวลัย อาจารย์ประจำคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กับศ.ดร.เกษียร เตชะพีระ อาจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ อดีตคนเดือนตุลา
ท่านหนึ่งเป็นอาจารย์ประจำคณะเศรษฐศาสตร์ อีกท่านหนึ่งเป็นอาจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์
ที่ผู้เขียนนำเสนอมาตอนต้น ไม่ใช่การแตกต่างทางความคิด แต่เป็นการแตกแยกทางความเชื่อ ความเชื่อของคนเกิดจากสิ่งแวดล้อมของแต่ละคน ขึ้นอยู่กับข้อมูลพื้นฐานของแต่และคน มีความเข้าใจในสิ่งที่มาสัมผัสแตกต่างกัน ทำให้เชื่อต่างกัน
จะมีท่านหนึ่งมีวิชชา อีกท่านหนึ่งมีอวิชชา
ไปด้วยกันไม่ได้อยู่แล้ว
คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ได้ระงับการเข้าถึงความเห็นทางการเมืองที่แตกต่างกันดังกล่าวเป็นการชั่วคราว
ต้นเหตุของความแตกแยกของคนในชาติ
มุสาคำโต มาจากในรายการนายกฯ(ทักษิณ)พบประชาชนทุกเช้าวันเสาร์ ผ่านวิทยุและโทรทัศน์ของทางการ และการให้สัมภาษณ์ต่างๆ เนื่องจากผู้ดำเนินรายการเป็นถึงผู้นำประเทศ สื่ออะไรออกไป ก็ได้รับการนำไปเสนอต่ออย่างกว้างขวาง ทั้งในไทยและทั่วโลก ใช้กลยุทธ์การตลาด ย้ำพูดแบบโฆษณาชวนเชื่อ จนชาวบ้านจำได้และเชื่อ อย่าว่าแต่ชาวบ้านหลงใหลและเชื่อในทักษิณ อาจารย์มหาวิทยาลัยทุกระดับวุฒิก็ถูกล้างสมองได้
แม้จะถูกรัฐประหารตกจากอำนาจเมื่อวันที่ 19 กันยายน 2549 ไม่ว่าตนเองจะได้เป็นรัฐบาลหรือไม่ได้เป็นรัฐบาล ทักษิณไม่เคยว่างกิจกรรมทางการเมือง ใช้วิธีการโฟนอินหรือวิดีโอลิงก์ปลุกระดมมายังกลุ่มผู้ชุมนุมคนเสื้อแดง แม้ในช่วงรัฐบาลอภิสิทธิ์ ก็ปลุกระดมให้มีการเผาบ้านเผาเมือง เผากรุงเทพฯ ศาลากลางบางจังหวัดก็ถูกเผาในเวลาเดียวกัน เป็นเรื่องที่สลดหดหู่ต่อคนไทยด้วยกันเองและชาวโลกอย่างยิ่ง
ทำอย่างแต่พูดอีกอย่าง ทำไม่ดีทำชั่วทำเลว แต่พูดให้เห็นว่าทำดี ไม่ลดละที่จะทำมิจฉากรรม แล้วพูดให้ชาวบ้านเห็นว่าดี เป็นรูปแบบของการมุสาโดยตรง
ผู้คนจะเชื่อคำพูดของนักการเมืองอย่างเดียวได้อย่างไร ต้องเข้าใจในสิ่งที่นักการเมืองทำด้วย เชื่อมโยงถึงความสัมพันธ์การกระทำต่างๆ ต่อกัน มีข้อมูลที่ถูกต้อง ไม่เบี่ยงเบน จะทำให้เข้าใจว่าอะไรเป็นอะไร
ทักษิณเป็นคนที่นำเอาเหตุการณ์รายวันมาพูดให้ดีให้ร้ายได้ทุกเรื่อง
มีผู้กล่าวไว้น่าฟัง “ธรรมะออกจากปากผู้ทรงศีลได้ ก็ออกจากปากของโจรได้” ทักษิณพูดถึงธรรมะ พูดถึงศาสนาบ่อยครั้ง พูดถึงการให้อภัยกัน แต่มีระเบิด มีการฆ่า มีการยิงเข้ามายังผู้ชุมนุมฝ่ายตรงกันข้ามเป็นช่วงๆ
ย้อนกลับไปดูตัวเลขการตายที่เกิดจากนโยบายรัฐบาล การบริหารจัดการทางการเมืองในช่วง 13 ปีที่ผ่านมา ไม่รวมการตายจากภัยธรรมชาติ จากอุบัติเหตุ และจากการตายรายวันทางภาคใต้
ตายจากเหตุการณ์มัสยิดกรือเซะ ตากใบ สงครามยาเสพติด การชุมนุมทางการเมืองในรัฐบาลสมชาย-สมัคร ตายจากเหตุการณ์ทางการเมืองในรัฐบาลอภิสิทธิ์ ตายจากการชุมนุมทางการเมืองของรัฐบาลยิ่งลักษณ์ การตายของทนายสมชาย ของนายเอกยุทธ์ รวม 3,116 ศพทักษิณมีส่วนเกี่ยวกับเรื่องนี้ทั้งหมด นี่หรือคือการศรัทธาในศาสนา
พิจารณาข้อมูลด้านอื่นๆ
การเข้าโครงการ IMF เป็นเรื่องที่เลวร้ายในระบบเศรษฐกิจของทุกประเทศ รวมทั้งประเทศไทย ปี 2540 ประเทศไทยต้องเข้าโครงการ IMF ในช่วงรัฐบาลพล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ ที่มีทักษิณเป็นรองนายกรัฐมนตรีนั่นเอง
มาถึงรัฐบาลชวน 2 ผ่านจากรัฐบาลชวน 2 ก็มาเป็นรัฐบาลทักษิณ
กราฟแสดงให้เห็นถึงเงินบาทแข็งค่าขึ้นในช่วงรัฐบาลทักษิณ
การชำระหนี้ IMF หมดในกลางปี 2546 (วงกลมใหญ่) ไม่ใช่ความสามารถอะไรของทักษิณ
ความจริงคือ เงินบาทแข็งค่าขึ้นตลอดช่วงของรัฐบาลทักษิณ 2544 (2001) เละเลยจากรัฐบาลทักษิณ
ไม่ใช่เพราะต่างชาติเชื่อมั่นรัฐบาลทักษิณ แต่เป็นเพราะมีเงินทุนจากต่างประเทศไหลเข้าประเทศไทยอย่างรุนแรง
เป็นเพราะตลาด NASDAQ ของสหรัฐฯ พังทลายรุนแรง ทำให้เงินเหรียญสหรัฐเสียหาย ไม่ได้รับความเชื่อมั่น ไหลเข้าไปยังประเทศต่างๆ ทั่วโลก รวมทั้งไหลเข้ามายังประเทศไทยท่วมท้น
เห็นได้จากค่าเงินบาทไทยแข็งค่าขึ้น
ทำให้ประเทศไทยสามารถชำระหนี้ IMF งวดสุดท้ายเมื่อวันที่ 31 กรกฎาคม 2546 ซึ่งเป็นการชำระหนี้หมดก่อนกำหนด 2 ปี
ต่อมาปลายปี 2547
เกิดสึนามิทางภาคใต้ของประเทศไทย มีคนตายกว่า 5,000 ศพ คนหายเกือบ 3,000 คน ทักษิณเอามาคุยโม้ ประมาณว่า “เศรษฐกิจประเทศไทยดีขึ้นแล้ว เนื่องจากเราสามารถชำระหนี้ IMF หมดก่อนกำหนดถึง 2 ปี เราไม่ต้องการความช่วยเหลือด้านการเงินจากต่างประเทศ เราเพียงต้องการความช่วยเหลือทางด้านเทคนิคและวิชาการ”
อ้อ ลมปากนักการเมือง
พูดแบบนี้ จะไม่ให้ผู้คนหลงใหลทักษิณได้อย่างไรสวมรอยมุสาให้เห็นว่าตัวเองเก่ง
ระบบต่างๆ ไม่ว่าระบบประชาธิปไตย ระบบคอมมิวนิสต์ การปกครองด้วยทหาร รวมทั้งราชาอธิปไตย จะดีจะเลวไม่ได้อยู่ที่ตัวระบบ แต่อยู่ที่คนที่มีอำนาจที่เข้ามาบริหารระบบ
ถ้าเป็นกลุ่มคนที่ดี มีสัมมาทิฐิ ทำเพื่อประเทศชาติและประชาชนอย่างแท้จริง ประชาชนอยู่กันอย่างร่มเย็นเป็นสุข ก็จะทำให้เห็นว่าระบบนั้นดี
ถ้าเป็นกลุ่มคนที่ไม่ดี มีแต่มิจฉาทิฐิ ไม่ทำเพื่อประเทศชาติและประชาชนอย่างแท้จริง เข้ามาหาประโยชน์ส่วนตนแต่อย่างเดียว ทำให้ราคาสินค้าและบริการสูงขึ้น โจรขโมยอันธพาลเต็มทั่วบ้านเมือง เดือดร้อนกันทั่วหน้า หาความสงบสุขไม่ได้ ก็จะทำให้เห็นว่าระบบนั้นไม่ดี
มิจฉาวาทกรรมของทักษิณ หลังการรัฐประหารปี 2549 สวมรอยเอาเหตุการณ์รัฐประหารมาใส่ร้ายทหาร
ทักษิณวิจารณ์ทหารหรือด่าทหาร ทุกครั้งที่มีโอกาส ไม่ว่าการวิดีโอลิงก์ หรือโฟนอินมายังกลุ่มผู้ชุมนุมคนเสื้อแดง บอกว่า
“รัฐประหารทำให้ต่างชาติไม่เชื่อมั่นประเทศไทย”
“รัฐประหารทำให้เศรษฐกิจของประเทศไทยถอยหลัง”
ค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้น ตามที่ผู้เขียนได้นำเสนอไว้ในเรื่อง IMF
วงกลมในภาพ คือวันที่ 19 กันยายน 2549 (2006) วันที่มีการทำรัฐประหาร หลังรัฐประหารค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้น จากระดับ 37.50 บาท ไปสูงสุดที่ 29.50 บาท/เหรียญสหรัฐ หรือแข็งค่าขึ้น 27%
กระทั่งอีก 3 เดือนต่อมา คือวันที่ 19 ธันวาคม 2549 (2006) ทางการไทยต้องออกมาตรการกันสำรอง 30% เงินทุนไหลเข้า แสดงว่าหลังรัฐประหารมีเงินทุนไหลเข้าประเทศท่วมท้น จนทางการต้องหาทางหยุดยั้งการไหลเข้าของเงินทุน
เป็นเรื่องที่ตรงกันข้ามกับที่ทักษิณพูดว่า “รัฐประหารทำให้ต่างชาติไม่เชื่อมั่นประเทศไทย” “รัฐประหารทำให้เศรษฐกิจของประเทศไทยถอยหลัง”
เป็นการพูดโดยไม่รู้ข้อมูล เป็นการพูดให้ร้ายทหาร
เป็นการพูดแบบให้ถูกใจมากกว่าจะเป็นการพูดที่ถูกต้อง
จะถูกต้องไม่ถูกต้อง แต่ก็ทำให้คนเชื่อได้แล้ว
รัฐประหารในปี 2549 ไม่มีประชาชนออกมาต่อต้านทหาร
แต่มีประชาชนออกมาแสดงความยินดีกับทหารที่ทำรัฐประหาร
เอาดอกไม้สีแดงมามอบให้ทหาร
แต่รัฐประหารปี 2557
มีประชาชนออกมาต่อต้านรัฐประหารของทหาร
การวิจารณ์การทำรัฐประหารของทักษิณหลังปี 2549 ทำให้คนชิงชังทหารมิจฉาวาจาทักษิณที่ทำไว้ไม่สูญเปล่าเมื่อมาถึงรัฐประหารปี 2557 จึงมีประชาชนออกมาประท้วงการทำรัฐประหารของทหารอย่างเป็นระบบ
จากที่ประชาชนแตกแยกกับรัฐบาล หรือประชาชนแตกแยกกับประชาชน กลายมาเป็นประชาชนแตกแยกกับทหาร
จากที่ประชาชนออกมาต่อต้านรัฐบาลคอร์รัปชัน เป็นประชาชนออกมาต่อต้านรัฐประหารของทหาร
13 ปีมิจฉาทิฐิของทักษิณ ประสบความสำเร็จในการเพิ่มอวิชชาให้คนไทย ล้างสมองคนไทยสูงสุด การแตกแยกของคนในชาติเป็นประกาศนียบัตรแสดงถึงความสำเร็จของทักษิณ
ข้อมูลที่นำมาเสนอข้างต้น เพื่อแสดงให้เห็นว่า ผู้คนหลงใหลทักษิณ หลงใหลแบบไหน หลงใหลได้อย่างไร
แต่คนอีกกลุ่มไม่รัก ไม่หลงใหลทักษิณ เพราะเข้าใจว่าสิ่งที่ทักษิณพูดเป็นคำโกหกหลอกลวง
เป็นที่มาของความแตกแยกของคนในชาติ
ทักษิณคือต้นเหตุที่ทำให้คนไทยแตกแยกกัน
แต่ทักษิณกลับเป็นผู้ที่นำเสนอเรื่องการปรองดองของคนในชาติมากที่สุด
หนึ่ง วันเสาร์ที่ 6 พฤศจิกายน 2553 ทักษิณได้โฟนอินถึงกลุ่มซึ่งสนับสนุนตน ที่อุดรฯ ปราศรัยแบบโฆษณาชวนเชื่อแบบเดิมและกล่าวปิดท้ายว่า
“วันนี้ถึงเวลาแล้วที่ต้องจัดการให้ประเทศไปสู่ความปรองดองให้ได้ ใครขัดขวางเรื่องนี้แสดงว่าคนนั้นเห็นแก่ตัวอย่างบัดซบ”
สอง มีการพูดถึงนายบัน คี-มูน เลขาธิการองค์การสหประชาชาติ และในหลวง เพื่อให้ช่วยสร้างความปรองดองให้กับคนไทย
“ความวุ่นวายและการนองเลือดทั้งหลายที่เกิดขึ้นนั้น มันเป็นสิ่งไม่ดีสำหรับประเทศไทยเลย ทำไมจึงปรองดองกันไม่ได้”
ที่มา : Conversations With Thaksinโดย Tom Plate พิมพ์จำหน่ายที่สิงคโปร์ ในปี 2554 แปลโดย สมเกียรติ อ่อนวิมล
สาม จับความได้จากคลิปเสียงการสนทนาของชาย 2 คน เชื่อว่าคนหนึ่งเป็นผู้ใหญ่ในกองทัพ อีกคนหนึ่งอยู่ต่างประเทศ เนื้อหาสาระมีใจความที่จะดันกฎหมายนิรโทษกรรมออกเป็นพ.ร.ก.ผ่านสภาความมั่นคงฯ ลัดขั้นตอน ส่งให้รัฐบาล
ที่มา : คลิปเสียงสนทนาจากแดนไกล
http://www.manager.co.th/Politics/ViewNews.aspx?NewsID=9560000082476
สี่ รัฐบาลยิ่งลักษณ์อ้างถึงความปรองดองคนในชาติ เสนอพ.ร.บ.นิรโทษกรรม 2556 ผ่านสภาฯ
4 ปีมาแล้วที่มีหลักฐานว่าทักษิณต่อสู้เรื่องการปรองดองคนในชาติ ทั้งไม่มีตำแหน่งทางการเมือง ไม่มีหน้าที่ใดๆ ที่เป็นทางการ
ทักษิณได้ตั้งใจทำเรื่องการปรองดองของคนในชาติอย่างเข้มข้น ก็สงสัยว่าเป็นผู้สร้างความแตกแยกให้คนในชาติเอง แล้วจะมาคิดสร้างความปรองดองได้อย่างไร เป็นเรื่องที่ขัดกันโดยสิ้นเชิง
ถ้าทักษิณไม่สร้างความแตกแยกให้คนในชาติ ก็ไม่ต้องมามีกิจกรรมสร้างความปรองดองคนในชาติ
คนเสื้อแดงต่างเศร้าใจไปตามๆ กัน การสร้างความปรองดองคนในชาติ เป็นเรื่องดี แล้วพากันมาขับไล่รัฐบาล มาขับไล่ทักษิณทำไมเชื่อกันว่าหากทักษิณทำเรื่องการปรองดองคนในชาติได้สำเร็จ จะต้องมีผู้เสนอชื่อให้รับรางวัลโนเบล สาขาสันติภาพได้
เรื่องการแตกแยกของคนในชาติเป็นเรื่องน่าหดหู่ น่าเศร้า เป็นเรื่องสำคัญที่สุดของประเทศไทย
ผู้ที่แก้ไขการแตกแยกของคนในชาติ และสร้างความปรองดองขึ้นไปได้ น่าจะเป็นรัฐบุรุษของประเทศ
คณะรักษาความสงบเรียบร้อยแห่งชาติ (คสช.) มีนโยบายจะทำให้คนในชาติเกิดความปรองดองกัน ตั้งใจที่จะขจัดสีเสื้อออกไป ลดความแตกแยกคนในชาติ
จะเดินหน้าแก้ปัญหาอย่างเดียวคงแก้ปัญหาได้ยาก ต้องแลหลังด้วย ต้องพิจารณาด้วยว่าการแตกแยกของคนในชาติมีต้นเหตุจากอะไร แล้วหาทางแก้ไขที่ต้นเหตุของปัญหา จะทำให้ยุติปัญหาได้
คสช.ไม่ได้ต่อสู้กับประชาชนที่มาต่อต้านรัฐประหารเท่านั้น แต่ คสช.ต่อสู้กับคนรักคนหลงใหลทักษิณด้วย คสช.ต่อสู้กับเงาของทักษิณ
ทหารอาจจะใช้กำลังหรือเทคนิคหยุดยั้งการต่อต้านผู้ประท้วงการทำรัฐประหารได้ แต่ไม่สามารถหยุดยั้งความชิงชังที่อยู่ในใจของผู้คนที่มีต่อต่อทหาร ที่เชื่อคำพูดทักษิณ ที่รักที่หลงใหลทักษิณได้
ทักษิณกิเลสหนา มีความทะเยอทะยานสูง 13 ปีแห่งมิจฉาทิฐิที่ทักษิณก่อกรรมทำเวรให้กับประเทศไทยหนักมาก นานมากผ่านสื่อ ถ้าเป็นเด็กก็จบมัธยมต้น และกำลังจะเข้ามัธยมปลายแล้ว ทำให้ผู้คนเชื่อและหลงใหลทักษิณแบบเข้ากระดูกดำ
ทางแก้ก็ต้องทำในแบบเดียวกันกับที่ทักษิณทำ คือใช้สื่อในทางสัมมาทิฐิอธิบายความ ให้เกิดความรู้ความเข้าใจในทางที่ดีงาม
http://twitter.com/indexthai2
indexthai2@gmail.com
จะมีใครสนใจต้นเหตุของปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้นกับประเทศไทย ว่ามีต้นเหตุมาจากอะไร ไม่ว่าเรื่องเศรษฐกิจ สังคม และการเมือง ก็คงมีคนสนใจ แต่บางทีมันยากที่จะเข้าใจ จึงกลายเป็นกล่าวถึงต้นเหตุของปัญหาต่างๆ แบบข้างๆ คูๆ แล้วก็แก้ปัญหาที่ปลายเหตุ ไม่ได้แก้ที่ต้นเหตุของปัญหา ทำให้ปัญหาไม่สามารถยุติได้จริง ปัญหาอาจจะยุติชั่วคราว จากนั้นก็เกิดขึ้นมาใหม่ แม้เรื่องการเมืองที่คนสนใจมาก ที่ได้มีการเปลี่ยนแปลงการปกครองมาแล้ว 82 ปี ก็มีปัญหาซ้ำแล้วซ้ำอีกไม่รู้จบ เราทำการปฏิรูป รัฐประหาร ร่างรัฐธรรมนูญมาหลายครั้งแล้ว ก็ยังน้ำเน่าเหมือนเดิม เมื่อไม่แก้ที่ต้นเหตุของปัญหาอย่างจริงจัง ก็ยากที่จะออกจากอวิชชาของการเมืองได้
เรื่องความแตกแยกของคนในชาติก็เช่นกัน ทั้งนักวิชาการ สื่อ และคนมีชื่อเสียงในสังคมพากันตำหนิคน 2 กลุ่มที่อยู่ตรงกันข้ามกัน ว่า 2 กลุ่มทำลายเศรษฐกิจ ทำลายการท่องเที่ยว บอกให้ถอยหลังคนละก้าว ก็ไม่ถอย
ฟังดูแล้วเข้าใจได้ว่าใช้ไม่ได้ทั้ง 2 กลุ่ม บอกไม่ได้ว่าฝ่ายไหนดีฝ่ายไหนเลวกว่าฝ่ายไหน จึงไม่เข้าข้างฝ่ายไหน จึงมีการใช้กำลังล้มออกไป ล้มทั้งรัฐบาล ล้มทั้งผู้คนที่สนับสนุนรัฐบาล ล้มทั้งมวลชนที่เห็นต่างและอยู่ตรงกันข้ามกับรัฐบาล ให้มาเริ่มต้นร่างรัฐธรรมนูญกันใหม่ มาสู่วงจรเดิมอีก
บทความนี้แสดงข้อมูลเรื่องการแตกแยกของคนในชาติ ต้นเหตุความแตกแยกการแตกต่างทางความคิดของคนในชาติไม่ได้เกิดขึ้นเองโดยคนในชาติด้วยกันเอง ไม่ได้เป็นไปโดยธรรมชาติ แต่มีคนปลุกระดม ทำการเบี่ยงเบนให้เชื่อในสิ่งหนึ่งสิ่งใดโดยเฉพาะ ปลุกระดมให้เชื่อมากกว่าจะพูดให้เกิดความเข้าใจ
พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร แม้จะอยู่ต่างประเทศ เพราะเป็นนักโทษหนีคดีอาญา เป็นผู้ที่พูดถึงการปรองดองของคนในชาติเป็นคนแรก และได้มีความความปรองดองอย่างสุดตัว ดูไปแล้วก็เป็นความคิดที่ดี กระทั่งล่าสุด คิดออกพ.ร.บ.นิรโทษกรรม โดยอ้างถึงความปรองดองของคนในชาติ เมื่อเป็นเช่นนี้ ทำไมจึงไม่สนับสนุนแนวทางการปรองดองของทักษิณ นอกจากจะไม่สนับสนุนแนววิธีการปรองดองของทักษิณแล้ว ยังออกมาเดินขบวนขับไล่รัฐบาลตัวแทนของทักษิณ ที่เป็นผู้ออกพ.ร.บ.นิรโทษกรรมอีกต่างหาก
เครื่องมือที่ใช้ในการสร้างความแตกแยกคนในชาติของทักษิณมี 3 อย่าง 1) ทรัพย์สินเงินทอง 2) อำนาจ 3) น้ำลาย ซึ่งทักษิณมีสิ่งเหล่านี้อย่างพร้อมสรรพ ใช้เงินทองมาหาอำนาจ และใช้อำนาจมาหาเงินทอง เงินทองไม่เข้าใครออกใคร ใช้ฟาดศีรษะใครแล้วพลาดน้อย ใช้จ้างผีโม่แป้งได้ มีอำนาจแล้วก็ใช้อำนาจให้ตำแหน่งงานกับผู้คนที่รับใช้ทำงานมิจฉากรรมได้
อำนาจและเงินทองได้มาด้วยวิธีที่สกปรก เมื่อนำมาใช้กับระบบ ก็จะทำให้ระบบสกปรกและเสื่อมลง จ้างแกนนำตั้งเวทีชุมนุมย้ำบอกข้อมูลและวิสัยทัศน์ของตนเองสร้างข้อมูลเท็จ โฆษณาชวนเชื่อวิสัยทัศน์เทียม ถ่ายทอดผ่านสื่อไปถึงผู้คนทั่วประเทศและทั่วโลก จริงปนเท็จเท็จปนจริง หลอกลวงข่มขู่องค์กรอิสระผ่านเวทีปลุกระดม ยากที่ผู้คนจะแยกออกว่าอะไรเป็นอะไร
เมื่อใช้เครื่องมือทั้ง 3 ประกอบกันกับระบบและคนในระบบ คือ ให้ทรัพย์สินเงินทอง ให้ตำแหน่งหน้าที่การงาน รวมทั้งให้ตำแหน่งกรรมการในหน่วยงานและรัฐวิสาหกิจที่มีรายได้สูง และการชโลมน้ำลาย (ปลุกระดม) แก่ระบบอย่างเข้มข้นจึงเป็นรูปแบบของการล้างสมองคนในระบบที่มีประสิทธิภาพสูง
น้ำลายหรือคำพูด คือเครื่องมือสำคัญอย่างหนึ่งของการล้างสมองคนในระบบ มีมานับพันปีในอดีต พรรคคอมมิวนิสต์จีนเคยใช้การถ่ายทอดแนวทางแบบคอมมิวนิสต์ผ่านคลื่นวิทยุเพื่อล้างสมองผู้คนได้ผลระดับหนึ่ง
แต่เทียบไม่ได้กับน้ำลายที่เกิดขึ้นกับประเทศไทยในช่วง 13 ปีที่ผ่านมา มีการอัดฉีดเงินและผลประโยชน์แก่แกนนำที่ออกมาปลุกระดมอย่างต่อเนื่อง อัดฉีดเงินและให้ผลประโยชน์สื่อทั่วไป คนทำสื่อเป็นคนที่มีความสำคัญ ให้ได้รับความพอใจสูง ก็จะได้ผลตอบแทนสูง คนทำสื่อได้รับแจกหุ้นปตท.ราคาถูก ซึ่งมูลค่าปัจจุบันถึง 100 ล้านบาท
วิทยุชุมชนได้รับผลประโยชน์เป็นพิเศษ กระทั่งสามารถสร้างกลุ่มมวลชนเป็นของตนเอง สามารถนัดกันออกมาเกะกะระรานใครก็ได้ ออกมาเกะกะระรานศาลรัฐธรรมนูญ ออกมาเกะกะระราน ป.ป.ช.ถีบพระ คุกคามข่มขู่ฝ่ายตรงกันข้าม ห้ามฝ่ายตรงกันข้ามหรือศิลปินลงไปในพื้นที่ที่กำหนด
ไม่ว่าประเทศไหน สื่อส่วนใหญ่ จึงเป็นของคนมีอำนาจและมีเงิน
วิทยุชุมชน โจมตีสถาบันหนักมาก
ผู้คนส่วนใหญ่อุดมกิเลส เห็นแก่ผลประโยชน์ทรัพย์สินเงินทองที่ได้รับ มากกว่ารู้ดีรู้ชั่วดี
กิเลสของคน หากคนบาปจ่าย 100 บาทแก่นักปลุกระดม ผลงานก็จะไม่เกิด แต่หากจ่ายให้ 10-50-100 ล้าน มีบ้านมีธุรกรรมให้ด้วย อะไรก็ฉุดไม่อยู่ ข้อมูลเท็จ ข้อมูลเทียม ข้อมูลเบี่ยงเบน จะถูกสร้างขึ้นมาเป็นน้ำไหล ถล่มใส่ระบบไม่มีหมด ฟังการปลุกระดมแล้วชวนหลงไหล ฮึกเหิม คนที่ฟังแบบไม่ตั้งตัว จึงไม่เหลือตัวตนไว้เป็นของตัวเอง เป็นของทักษิณหมดใจ
การแตกต่างทางความคิดเป็นเรื่องธรรมดา ขึ้นอยู่กับสิ่งแวดล้อม ข้อมูลความรู้และประสบการณ์ของแต่ละคน
แต่ช่วง 13 ปีที่ผ่านมา ไม่ใช่เป็นการแตกต่างทางความคิด แต่เป็นการแตกแยกทางความเชื่อ เป็นเรื่องที่ผิดปกติ เป็นเรื่องที่ไม่เป็นไปตามธรรมชาติ
การแตกต่างทางความคิดของคนในชาติไม่ได้เกิดขึ้นโดยคนในชาติกันเอง ไม่ได้เป็นไปโดยธรรมชาติ มีคนปลุกระดม เบี่ยงเบนให้เชื่อในสิ่งหนึ่งสิ่งใดโดยเฉพาะ ปลุกระดมให้เชื่อมากกว่าจะพูดให้เกิดความเข้าใจ เช่น การปลุกระดมให้ไปฆ่าตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ บอกว่าตัดสินคดีความแบบ 2 มาตรฐาน บ้างก็บอกว่าศาลรัฐธรรมนูญหรือศาลปกครองไม่มีสิทธิที่จะมาตัดสินคดี พูดให้ประโยชน์แก่ฝ่ายที่ตนหลงใหลหลงเชื่อ พร้อมการอ้างอิงต่างๆ ให้เกิดความเชื่อถือ แต่ไม่พูดว่าทำไมศาลจึงตัดสินอย่างนั้น
ความจริงถูกผิดมีอยู่ในตัว ไม่มีศาลอะไรมาตัดสิน มันก็ถูกก็ผิดอยู่ในนั้นแล้ว
คนฟังส่วนหนึ่งถูกเบี่ยงเบนได้ อีกส่วนหนึ่งถูกเบี่ยงเบนไม่ได้
เป็นที่มาของความแตกแยกของคนในชาติ
น้ำลายไม่เข้าใครออกใครเช่นกัน มีตัวอย่างปลุกเร้าผู้คนให้ไปรุมฆ่าคนไทยด้วยกันในธรรมศาสตร์มาแล้ว (Google search พบข้อความดังนี้ : ตลอดปี 2519 สมัคร สุนทรเวช มีส่วนในการสนับสนุนวิทยุยานเกราะซึ่งปลุกระดมให้คนฆ่านักศึกษา)
น้ำลาย ถ้าเป็นสัมมาวาจา จะไม่ทำให้คนในชาติแตกแยกกัน แต่เมื่อเป็นมิจฉาวาจามันจึงเป็นเหตุทำให้คนในระบบมีความเชื่อที่แตกแยกกันความแตกแยกกันมีทุกระดับชั้น ตั้งแต่ระดับล่างสุดไปจนถึงระดับบนสุด
คนไทยแตกแยกกันรุนแรงอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อนในประวัติศาสตร์ชาติไทยอาจารย์มหาวิทยาลัยด้วยกันแตกแยกกัน ก็เป็นเรื่องไม่แปลก
รองศาสตราจารย์ ดร.สุวินัย ภรณวลัย อาจารย์ประจำคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กับศ.ดร.เกษียร เตชะพีระ อาจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ อดีตคนเดือนตุลา
ท่านหนึ่งเป็นอาจารย์ประจำคณะเศรษฐศาสตร์ อีกท่านหนึ่งเป็นอาจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์
ที่ผู้เขียนนำเสนอมาตอนต้น ไม่ใช่การแตกต่างทางความคิด แต่เป็นการแตกแยกทางความเชื่อ ความเชื่อของคนเกิดจากสิ่งแวดล้อมของแต่ละคน ขึ้นอยู่กับข้อมูลพื้นฐานของแต่และคน มีความเข้าใจในสิ่งที่มาสัมผัสแตกต่างกัน ทำให้เชื่อต่างกัน
จะมีท่านหนึ่งมีวิชชา อีกท่านหนึ่งมีอวิชชา
ไปด้วยกันไม่ได้อยู่แล้ว
คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ได้ระงับการเข้าถึงความเห็นทางการเมืองที่แตกต่างกันดังกล่าวเป็นการชั่วคราว
ต้นเหตุของความแตกแยกของคนในชาติ
มุสาคำโต มาจากในรายการนายกฯ(ทักษิณ)พบประชาชนทุกเช้าวันเสาร์ ผ่านวิทยุและโทรทัศน์ของทางการ และการให้สัมภาษณ์ต่างๆ เนื่องจากผู้ดำเนินรายการเป็นถึงผู้นำประเทศ สื่ออะไรออกไป ก็ได้รับการนำไปเสนอต่ออย่างกว้างขวาง ทั้งในไทยและทั่วโลก ใช้กลยุทธ์การตลาด ย้ำพูดแบบโฆษณาชวนเชื่อ จนชาวบ้านจำได้และเชื่อ อย่าว่าแต่ชาวบ้านหลงใหลและเชื่อในทักษิณ อาจารย์มหาวิทยาลัยทุกระดับวุฒิก็ถูกล้างสมองได้
แม้จะถูกรัฐประหารตกจากอำนาจเมื่อวันที่ 19 กันยายน 2549 ไม่ว่าตนเองจะได้เป็นรัฐบาลหรือไม่ได้เป็นรัฐบาล ทักษิณไม่เคยว่างกิจกรรมทางการเมือง ใช้วิธีการโฟนอินหรือวิดีโอลิงก์ปลุกระดมมายังกลุ่มผู้ชุมนุมคนเสื้อแดง แม้ในช่วงรัฐบาลอภิสิทธิ์ ก็ปลุกระดมให้มีการเผาบ้านเผาเมือง เผากรุงเทพฯ ศาลากลางบางจังหวัดก็ถูกเผาในเวลาเดียวกัน เป็นเรื่องที่สลดหดหู่ต่อคนไทยด้วยกันเองและชาวโลกอย่างยิ่ง
ทำอย่างแต่พูดอีกอย่าง ทำไม่ดีทำชั่วทำเลว แต่พูดให้เห็นว่าทำดี ไม่ลดละที่จะทำมิจฉากรรม แล้วพูดให้ชาวบ้านเห็นว่าดี เป็นรูปแบบของการมุสาโดยตรง
ผู้คนจะเชื่อคำพูดของนักการเมืองอย่างเดียวได้อย่างไร ต้องเข้าใจในสิ่งที่นักการเมืองทำด้วย เชื่อมโยงถึงความสัมพันธ์การกระทำต่างๆ ต่อกัน มีข้อมูลที่ถูกต้อง ไม่เบี่ยงเบน จะทำให้เข้าใจว่าอะไรเป็นอะไร
ทักษิณเป็นคนที่นำเอาเหตุการณ์รายวันมาพูดให้ดีให้ร้ายได้ทุกเรื่อง
มีผู้กล่าวไว้น่าฟัง “ธรรมะออกจากปากผู้ทรงศีลได้ ก็ออกจากปากของโจรได้” ทักษิณพูดถึงธรรมะ พูดถึงศาสนาบ่อยครั้ง พูดถึงการให้อภัยกัน แต่มีระเบิด มีการฆ่า มีการยิงเข้ามายังผู้ชุมนุมฝ่ายตรงกันข้ามเป็นช่วงๆ
ย้อนกลับไปดูตัวเลขการตายที่เกิดจากนโยบายรัฐบาล การบริหารจัดการทางการเมืองในช่วง 13 ปีที่ผ่านมา ไม่รวมการตายจากภัยธรรมชาติ จากอุบัติเหตุ และจากการตายรายวันทางภาคใต้
ตายจากเหตุการณ์มัสยิดกรือเซะ ตากใบ สงครามยาเสพติด การชุมนุมทางการเมืองในรัฐบาลสมชาย-สมัคร ตายจากเหตุการณ์ทางการเมืองในรัฐบาลอภิสิทธิ์ ตายจากการชุมนุมทางการเมืองของรัฐบาลยิ่งลักษณ์ การตายของทนายสมชาย ของนายเอกยุทธ์ รวม 3,116 ศพทักษิณมีส่วนเกี่ยวกับเรื่องนี้ทั้งหมด นี่หรือคือการศรัทธาในศาสนา
พิจารณาข้อมูลด้านอื่นๆ
การเข้าโครงการ IMF เป็นเรื่องที่เลวร้ายในระบบเศรษฐกิจของทุกประเทศ รวมทั้งประเทศไทย ปี 2540 ประเทศไทยต้องเข้าโครงการ IMF ในช่วงรัฐบาลพล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ ที่มีทักษิณเป็นรองนายกรัฐมนตรีนั่นเอง
มาถึงรัฐบาลชวน 2 ผ่านจากรัฐบาลชวน 2 ก็มาเป็นรัฐบาลทักษิณ
กราฟแสดงให้เห็นถึงเงินบาทแข็งค่าขึ้นในช่วงรัฐบาลทักษิณ
การชำระหนี้ IMF หมดในกลางปี 2546 (วงกลมใหญ่) ไม่ใช่ความสามารถอะไรของทักษิณ
ความจริงคือ เงินบาทแข็งค่าขึ้นตลอดช่วงของรัฐบาลทักษิณ 2544 (2001) เละเลยจากรัฐบาลทักษิณ
ไม่ใช่เพราะต่างชาติเชื่อมั่นรัฐบาลทักษิณ แต่เป็นเพราะมีเงินทุนจากต่างประเทศไหลเข้าประเทศไทยอย่างรุนแรง
เป็นเพราะตลาด NASDAQ ของสหรัฐฯ พังทลายรุนแรง ทำให้เงินเหรียญสหรัฐเสียหาย ไม่ได้รับความเชื่อมั่น ไหลเข้าไปยังประเทศต่างๆ ทั่วโลก รวมทั้งไหลเข้ามายังประเทศไทยท่วมท้น
เห็นได้จากค่าเงินบาทไทยแข็งค่าขึ้น
ทำให้ประเทศไทยสามารถชำระหนี้ IMF งวดสุดท้ายเมื่อวันที่ 31 กรกฎาคม 2546 ซึ่งเป็นการชำระหนี้หมดก่อนกำหนด 2 ปี
ต่อมาปลายปี 2547
เกิดสึนามิทางภาคใต้ของประเทศไทย มีคนตายกว่า 5,000 ศพ คนหายเกือบ 3,000 คน ทักษิณเอามาคุยโม้ ประมาณว่า “เศรษฐกิจประเทศไทยดีขึ้นแล้ว เนื่องจากเราสามารถชำระหนี้ IMF หมดก่อนกำหนดถึง 2 ปี เราไม่ต้องการความช่วยเหลือด้านการเงินจากต่างประเทศ เราเพียงต้องการความช่วยเหลือทางด้านเทคนิคและวิชาการ”
อ้อ ลมปากนักการเมือง
พูดแบบนี้ จะไม่ให้ผู้คนหลงใหลทักษิณได้อย่างไรสวมรอยมุสาให้เห็นว่าตัวเองเก่ง
ระบบต่างๆ ไม่ว่าระบบประชาธิปไตย ระบบคอมมิวนิสต์ การปกครองด้วยทหาร รวมทั้งราชาอธิปไตย จะดีจะเลวไม่ได้อยู่ที่ตัวระบบ แต่อยู่ที่คนที่มีอำนาจที่เข้ามาบริหารระบบ
ถ้าเป็นกลุ่มคนที่ดี มีสัมมาทิฐิ ทำเพื่อประเทศชาติและประชาชนอย่างแท้จริง ประชาชนอยู่กันอย่างร่มเย็นเป็นสุข ก็จะทำให้เห็นว่าระบบนั้นดี
ถ้าเป็นกลุ่มคนที่ไม่ดี มีแต่มิจฉาทิฐิ ไม่ทำเพื่อประเทศชาติและประชาชนอย่างแท้จริง เข้ามาหาประโยชน์ส่วนตนแต่อย่างเดียว ทำให้ราคาสินค้าและบริการสูงขึ้น โจรขโมยอันธพาลเต็มทั่วบ้านเมือง เดือดร้อนกันทั่วหน้า หาความสงบสุขไม่ได้ ก็จะทำให้เห็นว่าระบบนั้นไม่ดี
มิจฉาวาทกรรมของทักษิณ หลังการรัฐประหารปี 2549 สวมรอยเอาเหตุการณ์รัฐประหารมาใส่ร้ายทหาร
ทักษิณวิจารณ์ทหารหรือด่าทหาร ทุกครั้งที่มีโอกาส ไม่ว่าการวิดีโอลิงก์ หรือโฟนอินมายังกลุ่มผู้ชุมนุมคนเสื้อแดง บอกว่า
“รัฐประหารทำให้ต่างชาติไม่เชื่อมั่นประเทศไทย”
“รัฐประหารทำให้เศรษฐกิจของประเทศไทยถอยหลัง”
ค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้น ตามที่ผู้เขียนได้นำเสนอไว้ในเรื่อง IMF
วงกลมในภาพ คือวันที่ 19 กันยายน 2549 (2006) วันที่มีการทำรัฐประหาร หลังรัฐประหารค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้น จากระดับ 37.50 บาท ไปสูงสุดที่ 29.50 บาท/เหรียญสหรัฐ หรือแข็งค่าขึ้น 27%
กระทั่งอีก 3 เดือนต่อมา คือวันที่ 19 ธันวาคม 2549 (2006) ทางการไทยต้องออกมาตรการกันสำรอง 30% เงินทุนไหลเข้า แสดงว่าหลังรัฐประหารมีเงินทุนไหลเข้าประเทศท่วมท้น จนทางการต้องหาทางหยุดยั้งการไหลเข้าของเงินทุน
เป็นเรื่องที่ตรงกันข้ามกับที่ทักษิณพูดว่า “รัฐประหารทำให้ต่างชาติไม่เชื่อมั่นประเทศไทย” “รัฐประหารทำให้เศรษฐกิจของประเทศไทยถอยหลัง”
เป็นการพูดโดยไม่รู้ข้อมูล เป็นการพูดให้ร้ายทหาร
เป็นการพูดแบบให้ถูกใจมากกว่าจะเป็นการพูดที่ถูกต้อง
จะถูกต้องไม่ถูกต้อง แต่ก็ทำให้คนเชื่อได้แล้ว
รัฐประหารในปี 2549 ไม่มีประชาชนออกมาต่อต้านทหาร
แต่มีประชาชนออกมาแสดงความยินดีกับทหารที่ทำรัฐประหาร
เอาดอกไม้สีแดงมามอบให้ทหาร
แต่รัฐประหารปี 2557
มีประชาชนออกมาต่อต้านรัฐประหารของทหาร
การวิจารณ์การทำรัฐประหารของทักษิณหลังปี 2549 ทำให้คนชิงชังทหารมิจฉาวาจาทักษิณที่ทำไว้ไม่สูญเปล่าเมื่อมาถึงรัฐประหารปี 2557 จึงมีประชาชนออกมาประท้วงการทำรัฐประหารของทหารอย่างเป็นระบบ
จากที่ประชาชนแตกแยกกับรัฐบาล หรือประชาชนแตกแยกกับประชาชน กลายมาเป็นประชาชนแตกแยกกับทหาร
จากที่ประชาชนออกมาต่อต้านรัฐบาลคอร์รัปชัน เป็นประชาชนออกมาต่อต้านรัฐประหารของทหาร
13 ปีมิจฉาทิฐิของทักษิณ ประสบความสำเร็จในการเพิ่มอวิชชาให้คนไทย ล้างสมองคนไทยสูงสุด การแตกแยกของคนในชาติเป็นประกาศนียบัตรแสดงถึงความสำเร็จของทักษิณ
ข้อมูลที่นำมาเสนอข้างต้น เพื่อแสดงให้เห็นว่า ผู้คนหลงใหลทักษิณ หลงใหลแบบไหน หลงใหลได้อย่างไร
แต่คนอีกกลุ่มไม่รัก ไม่หลงใหลทักษิณ เพราะเข้าใจว่าสิ่งที่ทักษิณพูดเป็นคำโกหกหลอกลวง
เป็นที่มาของความแตกแยกของคนในชาติ
ทักษิณคือต้นเหตุที่ทำให้คนไทยแตกแยกกัน
แต่ทักษิณกลับเป็นผู้ที่นำเสนอเรื่องการปรองดองของคนในชาติมากที่สุด
หนึ่ง วันเสาร์ที่ 6 พฤศจิกายน 2553 ทักษิณได้โฟนอินถึงกลุ่มซึ่งสนับสนุนตน ที่อุดรฯ ปราศรัยแบบโฆษณาชวนเชื่อแบบเดิมและกล่าวปิดท้ายว่า
“วันนี้ถึงเวลาแล้วที่ต้องจัดการให้ประเทศไปสู่ความปรองดองให้ได้ ใครขัดขวางเรื่องนี้แสดงว่าคนนั้นเห็นแก่ตัวอย่างบัดซบ”
สอง มีการพูดถึงนายบัน คี-มูน เลขาธิการองค์การสหประชาชาติ และในหลวง เพื่อให้ช่วยสร้างความปรองดองให้กับคนไทย
“ความวุ่นวายและการนองเลือดทั้งหลายที่เกิดขึ้นนั้น มันเป็นสิ่งไม่ดีสำหรับประเทศไทยเลย ทำไมจึงปรองดองกันไม่ได้”
ที่มา : Conversations With Thaksinโดย Tom Plate พิมพ์จำหน่ายที่สิงคโปร์ ในปี 2554 แปลโดย สมเกียรติ อ่อนวิมล
สาม จับความได้จากคลิปเสียงการสนทนาของชาย 2 คน เชื่อว่าคนหนึ่งเป็นผู้ใหญ่ในกองทัพ อีกคนหนึ่งอยู่ต่างประเทศ เนื้อหาสาระมีใจความที่จะดันกฎหมายนิรโทษกรรมออกเป็นพ.ร.ก.ผ่านสภาความมั่นคงฯ ลัดขั้นตอน ส่งให้รัฐบาล
ที่มา : คลิปเสียงสนทนาจากแดนไกล
http://www.manager.co.th/Politics/ViewNews.aspx?NewsID=9560000082476
สี่ รัฐบาลยิ่งลักษณ์อ้างถึงความปรองดองคนในชาติ เสนอพ.ร.บ.นิรโทษกรรม 2556 ผ่านสภาฯ
4 ปีมาแล้วที่มีหลักฐานว่าทักษิณต่อสู้เรื่องการปรองดองคนในชาติ ทั้งไม่มีตำแหน่งทางการเมือง ไม่มีหน้าที่ใดๆ ที่เป็นทางการ
ทักษิณได้ตั้งใจทำเรื่องการปรองดองของคนในชาติอย่างเข้มข้น ก็สงสัยว่าเป็นผู้สร้างความแตกแยกให้คนในชาติเอง แล้วจะมาคิดสร้างความปรองดองได้อย่างไร เป็นเรื่องที่ขัดกันโดยสิ้นเชิง
ถ้าทักษิณไม่สร้างความแตกแยกให้คนในชาติ ก็ไม่ต้องมามีกิจกรรมสร้างความปรองดองคนในชาติ
คนเสื้อแดงต่างเศร้าใจไปตามๆ กัน การสร้างความปรองดองคนในชาติ เป็นเรื่องดี แล้วพากันมาขับไล่รัฐบาล มาขับไล่ทักษิณทำไมเชื่อกันว่าหากทักษิณทำเรื่องการปรองดองคนในชาติได้สำเร็จ จะต้องมีผู้เสนอชื่อให้รับรางวัลโนเบล สาขาสันติภาพได้
เรื่องการแตกแยกของคนในชาติเป็นเรื่องน่าหดหู่ น่าเศร้า เป็นเรื่องสำคัญที่สุดของประเทศไทย
ผู้ที่แก้ไขการแตกแยกของคนในชาติ และสร้างความปรองดองขึ้นไปได้ น่าจะเป็นรัฐบุรุษของประเทศ
คณะรักษาความสงบเรียบร้อยแห่งชาติ (คสช.) มีนโยบายจะทำให้คนในชาติเกิดความปรองดองกัน ตั้งใจที่จะขจัดสีเสื้อออกไป ลดความแตกแยกคนในชาติ
จะเดินหน้าแก้ปัญหาอย่างเดียวคงแก้ปัญหาได้ยาก ต้องแลหลังด้วย ต้องพิจารณาด้วยว่าการแตกแยกของคนในชาติมีต้นเหตุจากอะไร แล้วหาทางแก้ไขที่ต้นเหตุของปัญหา จะทำให้ยุติปัญหาได้
คสช.ไม่ได้ต่อสู้กับประชาชนที่มาต่อต้านรัฐประหารเท่านั้น แต่ คสช.ต่อสู้กับคนรักคนหลงใหลทักษิณด้วย คสช.ต่อสู้กับเงาของทักษิณ
ทหารอาจจะใช้กำลังหรือเทคนิคหยุดยั้งการต่อต้านผู้ประท้วงการทำรัฐประหารได้ แต่ไม่สามารถหยุดยั้งความชิงชังที่อยู่ในใจของผู้คนที่มีต่อต่อทหาร ที่เชื่อคำพูดทักษิณ ที่รักที่หลงใหลทักษิณได้
ทักษิณกิเลสหนา มีความทะเยอทะยานสูง 13 ปีแห่งมิจฉาทิฐิที่ทักษิณก่อกรรมทำเวรให้กับประเทศไทยหนักมาก นานมากผ่านสื่อ ถ้าเป็นเด็กก็จบมัธยมต้น และกำลังจะเข้ามัธยมปลายแล้ว ทำให้ผู้คนเชื่อและหลงใหลทักษิณแบบเข้ากระดูกดำ
ทางแก้ก็ต้องทำในแบบเดียวกันกับที่ทักษิณทำ คือใช้สื่อในทางสัมมาทิฐิอธิบายความ ให้เกิดความรู้ความเข้าใจในทางที่ดีงาม