ASTVผู้จัดการสุดสัปดาห์ - การประกาศใช้กฎอัยการศึก เมื่อวันที่ 20 พฤษภาคม ตามมาด้วยรัฐประหาร ในวันที่ 22พฤษภาคม 2557 ภายใต้การนำของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผบ.ทบ. และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) มีเพียงเหตุผลเดียวที่บอกไว้ คือ ป้องกันการปะทะกันของมวลชนคนเสื้อแดง กับ มวลชนกปปส. ที่กำลังจะเกิดขึ้น และจะกลายเป็นสงครามกลางเมือง เนื่องจากมีความเห็นทางการเมืองกันคนละขั้ว
แต่เมื่อเกิดการรัฐประหารแล้ว ยึดอำนาจเบ็ดเสร็จแล้ว ความคาดหวังของประชาชน ที่มีต่อ พล.อ.ประยุทธ์ มิได้หยุดเพียงแค่การแก้ปัญหามวลชนปะทะกันเท่านั้น แต่ต้องการให้นำพาประเทศชาติออกจากวิกฤติอย่างแท้จริง อย่างยั่งยืนด้วย
วิกฤติการเมือง จากนักการเมืองที่แอบอ้างประชาธิปไตย ซึ้อเสียงเข้ามาสู่อำนาจ ทุจริต คอร์รัปชัน ขายชาติ ขายแผ่นดิน ใช้เสียงข้างมาก ออกกฎหมายเอื้อประโยชน์ให้กับตัวเอง และพวกพ้อง ใช้อำนาจมิชอบทำลายระบบราชการ ใครไม่ยอมสยบ ไม่ยอมเป็นเครื่องมือ ก็ถูกกลั่นแกล้ง ป้ายสี ไม่ได้ผุดได้เกิด
วิกฤติด้านเศรษฐกิจ ที่ตกอยู่ภายใต้อำนาจทุนนิยมสามานย์ ที่ผูกติดกับระบบการเมือง เมื่อการเมืองมีปัญหา ก็กระทบถึงเศรษฐกิจ เพราะธุรกิจหลักๆ อยู่ในมือกลุ่มการเมือง
วิกฤติด้านสังคม ที่คนในชาติแตกแยกกันทางความคิด อันเกิดการชักจูงจากนักการเมือง ใช้ประชานิยมมอมเมาประชาชน จนเกิดค่านิยมในหมู่คนรุ่นใหม่ ที่เห็นว่า ผู้บริหารจะโกง จะทุจริต ก็ไม่เป็นไร ขอเศษๆ ให้ฉันได้ด้วย
วิกฤติสถาบันพระมหากษัตริย์ ที่ผู้มีอำนาจ ผู้รักษากฎหมาย ปล่อยให้มีขบวนการจาบจ้วง ล่วงละเมิด ให้ร้าย ทำลายสถาบันเบื้องสูง
สรุปรวม คือ ต้องการให้ คสช. ใช้โอกาสนี้ "ล้างระบอบทักษิณ" ที่แอบอ้างประชาธิปไตย มาทำปู้ยี่ปู้ยำกับประเทศชาติ บ้านเมือง !!
ไม่ใช่แค่เข้ามาเป็นรัฐบาลขัดตาทัพ ประคองตัวไปวันวัน รอให้ร่างรัฐธรรมนูญใหม่เสร็จ แล้วรีบคืนอำนาจ ให้ประชาชนไปเลือกตั้ง ถือว่าเสร็จภารกิจ ส่งมอบประชาธิปไตย
เพราะประชาชนได้รับบทเรียนมาแล้ว จากการรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 ที่หัวหน้าคณะรัฐประหาร ทำตามสูตรเดิมๆ คือ เมื่อมีปัญหาทางการเมือง แบ่งผลประโยชน์กันไม่ลงตัว หรือจะมีการปลดผู้นำทางทหาร ก็ใช้กำลังทำรัฐประหาร ยึดอำนาจ ฉีกรัฐธรรมนูญ ด้วยเหตุผลสุดคลาสสิก ว่า รัฐบาลทุจริต คอร์รัปชัน จาบจ้วงสถาบันเบื้องสูง เสร็จแล้วก็ตั้งรัฐบาล เหมือนรัฐบาลเฉพาะกิจ มาประคองบ้านเมือง รอร่างรัฐธรรมนูญเสร็จ เลือกตั้งใหม่ แล้วส่งมอบอำนาจให้รัฐบาลใหม่ ต่ออายุระบอบประชาธิปไตยกันไป
ส่วนผู้นำรัฐบาล หรือนายกรัฐมนตรี ที่ถูกทำรัฐประหาร ก็หนีออกนอกประเทศไปสักระยะ แล้วก็ขอกลับมาใช้ชีวิตอยู่เงียบๆ ไม่มายุ่งเกี่ยวกับการเมืองอีก
แต่กับทักษิณ ชินวัตร นั้นไม่ใช่ เพราะทักษิณ โลภกว่าที่คิด แม้จะเก็บเกี่ยว ตักตวง เอาผลประโยชน์ของชาติไปเป็นของตัวเอง จนเป็นมหาเศรษฐีแสนล้าน ติดอันดับเศรษฐีโลก ก็ยังไม่พอ ทักษิณยังมองเห็นผลประโยชน์อีกมหาศาล ที่ยังสามารถกอบโกยได้จากประเทศไทย เพียงแค่ได้เข้ามายึดกุมอำนาจบริหาร ได้เป็นรัฐบาล ผ่านกลไกที่เรียกว่า "ประชาธิปไตย"
แม้ทักษิณ จะยังเร่ร่อนอยู่นอกประเทศ แต่เขาจับ "จุดตาย" ประชาธิปไตยแบบไทยไทยได้ ยอมทุ่มเงินหมื่นล้าน ส่งลิ่วล้อ บริวาร และเครือญาติ เข้าสู่กระบวนการเลือกตั้ง ส.ส.- ส.ว. รวบรวมเสียงข้างมาก ส่งน้องสาวเป็นนายกรัฐมนตรี กุมอำนาจนิติบัญญัติ อำนาจบริหาร และกระบวนการตรวจสอบบางองค์กร ไว้ในมือ แล้วทำการกอบโกย ปล้นชาติ ปล้นแผ่นดินต่อ
นี่จึงเป็นที่มาของมวลมหาประชาชน กปปส. ออกมาชุมนุมขับไล่รัฐบาลระบอบทักษิณ และเรียกร้องให้มีการปฏิรูปประเทศ ปฏิรูปประชาธิปไตยไทย ขณะที่ฝ่าย"ขี้ข้าทักษิณ" ก็อ้างประชาธิปไตย ปกป้องอำนาจ และผลประโยชน์ของตัวเอง
วันนี้ พล.อ.ประยุทธ์ ยึดอำนาจมาไว้ในมือได้แล้ว ความมุ่งหวัง ความคาดหวัง ของมวลมหาประชาชน ในการปฏิรูปประเทศ จึงถูกถ่ายโอนจาก สุเทพ เทือกสุบรรณ และ แกนนำกปปส. มาตกอยู่ที่ พล.อ.ประยุทธ์ โดยปริยาย
ภารกิจของ พล.อ.ประยุทธ์ ในวันนี้ จึงไม่ใช่แค่การประคองตัว เพื่อส่งต่อประชาธิปไตยคืนให้กับประชาชนเท่านั้น แต่ยังแบกต้องรับความคาดหวังของประชาชน ในการนำประเทศชาติไปสู่จุดหมาย คือ ความเจริญก้าวหน้า ความมั่งคั่งอย่างยั่งยืน มีการปกครองในระบอบประชาธิปไตยที่แท้จริง ไม่ให้ระบอบทักษิณฟื้นกลับคืนสู่อำนาจอีก มีข้าราชการที่เป็นข้าราชการของประชาชน มีสังคมที่มีจิตสำนึก ต่อต้านการทุจริตคอร์รัปชัน คนโกง ต้องได้รับโทษหนัก
อย่างไรก็ตาม ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา ระบอบทักษิณ ได้ใช้ทั้งพระเดช และพระคุณ แผ่อิทธิพล ฝังรากลึก ทั้งในระบบการเมือง ระบบราชการ โดยเฉพาะประชาชนระดับล่าง ที่เป็นฐานเสียงเลือกตั้ง การจะเปลี่ยนแปลงไปในฉับพลัน หรือเพียงชั่วข้ามคืน จึงไม่ใช่เรื่องง่าย
โจทย์ที่ พล.อ.ประยุทธ์ ต้องแก้ในสถานการณ์เช่นนี้ จึงไม่ใช่แค่การปฏิรูปอย่างผิวเผิน สร้างภาพฉาบฉวย เลือกทำเฉพาะบางเรื่อง สานต่อบางโครงการ หรือ แค่ส่งต่อประชาธิปไตยจอมปลอมพอให้พ้นตัว แต่ต้องทำในระดับ "รีเอ็นจิเนียริ่ง"ประเทศ ตั้งเป้าหมายให้ชัดเจน ตั้งทีมที่ปรึกษา ที่มีความรู้ ความสามารถในแต่ละด้านจริงๆ ในลักษณะ "ดรีมทีม" ระดมสมองครั้งใหญ่ เพื่อไปสู่จุดหมายที่ตั้งไว้
แน่นอนว่าความเห็นจากคณะที่ปรึกษาที่ว่านี้ อาจจะยังกระจัด กระจาย หรือยังมีความเห็นต่าง ในเรื่องเดียวกัน ในลักษณะยังมีการแบ่งพวก แบ่งสีอยู่บ้าง แต่ก็เป็นข้อมูลที่ต้องรับฟังอย่างรอบด้าน ซึ่งที่สุดแล้วการตัดสินใจต้องอยู่ พล.อ.ประยุทธ์ ที่ผู้นำ
เป้าหมายของประเทศไทยในวันนี้คือ ประเทศมั่นคง มั่งคั่ง ผู้บริหารมีธรรมาภิบาล มีปณิธานที่แน่วแน่ที่จะนำพาประเทศไปให้ถึงจุดหมาย การเมืองนิ่ง ไม่เป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม สิ่งแวดล้อม ประชาชนมีความรับผิดชอบ มีจิตสำนึก ยึดมั่นใน ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ไม่มัวเมาในอบายมุข ไม่ถูกครอบงำด้วยประชานิยม ...
นั่นคือ ภารกิจที่ประชาชนมอบหมายให้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ไปดำเนินการ