xs
xsm
sm
md
lg

ตลาดทุนขอคสช.เพิ่มงบฯปี58

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

ASTV ผู้จัดการรายวัน - ประธานสภาธุรกิจตลาดทุนฯ ชี้การเข้ามาของ คมช. ช่วยปลดล็อกนโยบายเศรษฐกิจ ที่หยุดชะงัก หนุนการใช้จ่ายภาครัฐ ฟื้นความเชื่อมั่น แต่โอดตั้งงบปี 58 วงเงิน 2.6 ล้านล้านยังน้อยเกินไป ไม่เพียงพอกระตุ้น ศก. ที่ซบเซามาเป็นระยะเวลานาน เผยเห็นสัญญาณเม็ดเงินต่างชาติไหลกลับเข้ามาอีกระลอก ด้านเอ็มดีตลาดหุ้น ชี้ความขัดแย้งที่ผ่านมา ฉุดเศรษฐกิจไทยไม่เดินหน้า แนะควรหันหน้าเข้าหากันปฏิรูป “มนตรี”เชื่อครึ่งปีหลังกลับมาเติบโต ดันดัชนีมีโอกาสแตะ1,500 จุด แต่ยังกังวลเกิดความวุ่นวาย - ความขัดแย้งขึ้นอีก

นายไพบูลย์ นลินทรางกูร ประธานสภาธุรกิจตลาดทุนไทย เปิดเผยว่า สภาธุรกิจตลาดทุนไทยเห็นด้วยต่อการที่คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เร่งดำเนินนโยบายทางเศรษฐกิจเพื่อผลักดันการใช้จ่ายจากทางภาครัฐ ไม่ว่าจะเป็นการจ่ายเงินจำนำข้าวให้แก่ชาวนา การทำงบประมาณปี 58 ซึ่งจะเป็นส่วนสำคัญในการกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศเพื่อเรียกความเชื่อมั่นในการลงทุนกลับมาอีกครั้ง และผลักดันให้การเติบโตทางเศรษฐกิจของไทยในครึ่งปีหลังมีทิศทางที่ดีขึ้นจากในช่วงครึ่งปีแรกที่ต้องพึ่งพาภาคเอกชนเพียงอย่างเดียว ขณะที่การส่งออกไม่เติบโตตามที่คาด
“จากนี้ไปต้องดูว่าจะมีการจัดตั้งรัฐบาลได้เมื่อไหร่ แต่การเข้ามาของ คสช.ช่วยปลดล็อกการใช้จ่ายจากภาครัฐ ซึ่งที่ปรึกษาแต่ละคนมีความรู้ความสามารถทางเศรษฐกิจเป็นอย่างดี แต่ที่อยากให้ปรับเพิ่มคือ งบปี 58 ที่มีการประกาศออกมา 2.6 ล้านล้านบาทนั้น มองว่าน้อยเกินไป ควรจะมากกว่านั้นเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจที่ซบเซามาเป็นระยะเวลาค่อนข้างนาน ส่วนตลาดหุ้นคงได้รับประโยชน์จากการดำเนินนโยบายต่างๆ ทางเศรษฐกิจเป็นไปตามที่ประกาศไว้ เพราะตอนนี้เม็ดเงินลงทุนต่างชาติเริ่มไหลกลับเข้ามาในตลาดเกิดใหม่อีกระลอก”
ขณะที่เม็ดเงินลงทุนของต่างชาติที่เข้ามาในตลาดหุ้นไทยในช่วงนี้ จะเป็นเม็ดเงินจากนักลงทุนบางส่วนที่เข้ามาเก็งกำไรสวนทางกับนักลงทุนบางประเภทที่รับไม่ได้กับสภาวะการเมืองในลักษณะที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน ซึ่งหากผลตอบแทนของกลุ่มนักลงทุนที่เข้ามาเป็นไปในเชิงบวก มุมมองต่างๆ สำหรับกลุ่มนักลงทุนที่ขายออกไปคงจะตามกลับเข้ามา
ด้านนายจรัมพร โชติเสถียร กรรมการและผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย หรือ ตลท. กล่าวว่า แนวโน้มเศรษฐกิจไทยหลังจากที่ คสช. ได้แต่งตั้งทีมที่ปรึกษาเศรษฐกิจ เพื่อเข้ามาแก้ปัญหา และผลักดันเศรษฐกิจให้สามารถเดินหน้าต่อไปได้ ถือเป็นสิ่งที่ทุกคนควรต้องช่วยกันในขณะนี้คือ ผลักดันให้ประเทศพัฒนาเดินหน้าต่อไปได้ ยุติทุกความขัดแย้งต่างๆ ที่เคยมี ควรหันมาร่วมกันระดมความคิดเพื่อปฏิรูปประเทศ อย่ามัวมาเกี่ยงกันว่าคนนี้ควรทำอะไร คนนี้ไม่ควรทำอะไรทุกคนต้องช่วนกัน หน่วยงานทั้งภาครัฐ และเอกชนก็จะทำตามหน้าที่ของตน ไม่เช่นนั้นประเทศจะล้าหลัง ย่ำอยู่กับที่
“ถือว่าเป็นผลดี เพราะนโยบาย และโครงการที่ค้างต้องรอการดำเนินงานล่วงเลยมาแล้วกว่า 5-6 เดือน สามารถดำเนินการได้ทันที เช่น การจ่ายคืนเงินในโครงการจำนำข้าวแก่ชาวนา และโครงการต่างๆ”
ขณะที่ นายมนตรี ศรไพศาล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.หลักทรัพย์ เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) หรือ MBKET กล่าวว่า ภาพรวมมูลค่าการซื้อขายในครึ่งปีแรก มีมูลค่าเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 30,000 ล้านบาท หากเทียบกับช่วงเดียวกันกับปีที่แล้วซึ่งอยู่ที่ประมาณ 61,000 ล้านบาท ส่วนแนวโน้มไตรมาสที่ 2 คาดว่าจะมีทิศทางปรับตัวดีขึ้น เนื่องจากว่านักลงทุนพิจารณาความเสี่ยงจากสถานการณ์ความขัดแย้งทางการเมืองที่เริ่มคลีคลายไปในทิศทางที่ดีขึ้น และมีแนวโน้มเริ่มกลับเข้าสู่ภาวะปกติ ถึงแม้ว่าจะมีทหารได้ทำการรัฐประหารเข้ามา แต่ระบบการบริหารยังคงเป็นประชาธิปไตย ที่มีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นพระประมุข
“สิ่งที่นักลงทุนกังวลคือการที่ถูกกลุ่มต่างๆหลอกลวงถึงขึ้นแบ่งแยกกัน และเกิดการปะทะกัน ซึ่งจะเป็นสิ่งที่อันตรายอย่างมาก ในไตรมาส 2 เริ่มเห็นสัญญาณการลงทุนที่ดีขึ้น โดยเฉพาะเดือนพฤษภาคม มูลค่าการซื้อเริ่มขยับขึ้นมาที่ 38,000-40,000 ล้านบาท เป็นลักษณะวีเชฟ ที่ปรับตัวลดลงในช่วงต้นปีแล้วทยอยปรับตัวฟื้นขึ้นมาโดยลำดับ”
สำหรับแนวโน้มทิศทางเศรษฐกิจในครึ่งปีหลัง จะต้องดูว่าจะมีความวุ่นวายกลับมาหรือไม่ ซึ่งจะต้องดูว่าทางหน่วยงานที่รับผิดชอบภาพรวมเศรษฐกิจที่เข้ามา จะมีอำนาจในการบริหารยาวนานแค่ไหน และรัฐบาลกลางที่จะเข้ามา จะมีประสิทธิภาพในการแก้ปัญหาได้อย่างไร โดยจะส่งผลต่อเนื่องไปยังการจัดการเลือกตั้งในอนาคต ขณะที่เป้าดัชนี SET INDEX ในครึ่งปีหลังจนถึงปลายปีจะเริ่มทยอยดีดตัวขึ้นจนถึง 1,500 จุดได้ตามทิศทางเศรษฐกิจที่ดีขึ้นได้
กำลังโหลดความคิดเห็น