ASTVผู้จัดการสุดสัปดาห์ - สถานการณ์การเมืองไทยตอนนี้อาจะดูเงียบเหงาไปบ้าง ภายหลังจาก พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบกและหัวหน้าคณะรักษาความสงบเรียบร้อยแห่งชาติ (คสช.) ได้เข้าหย่าศึกมวลชนสองฝ่าย หวังจะให้ประเทศคืนสู่สมานฉันท์ โดยประกาศยึดอำนาจเมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม 2557 ที่ผ่านมา
แน่นอนทีเดียว ภาพปรากฏสู่สายตาชาวโลกคือประชาชนคนไทย “ชื่นชม” การทำหน้าที่ของทหาร เกิดปรากฏการณ์เซลฟี่ อีกทั้งยังพากันไปมอบดอกไม้ ขนม น้ำ ตามจุดประจำการต่างๆ และก็แน่นอนอีกที่จะมีกระแส “คนต้าน” ไม่เห็นด้วย
ทว่า คนภายในประเทศต้านการรัฐประหารก็ยังพอเข้าใจกันอยู่ แต่ต่างชาติอย่างสหรัฐฯจอม “จุ้นจ้าน” ทั้งกระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ รวมถึง “ทูตมะกันคริสตี้จอมแส่” ที่แสดงจุดยืนไม่เห็นด้วยพร้อมบีบทหารไทยโดยเลิกสนับสนุนเงินกองทัพ แต่ก็ต้องเงิบกลับไปอีก เพราะ คสช.ได้สวนกลับแถลงตอบโต้ประหนึ่งว่า แล้วยังไงล่ะพี่ท่าน?
เมื่อวันที่ 24 พฤษภาคม 2557 ที่ผ่านมา รัฐบาลสหรัฐอเมริกาได้แสดงปฏิกิริยาต่อการรัฐประหารในไทย โดยยกเลิกเงินช่วยเหลือสนับสนุนกองทัพไทย และประกาศยกเลิกการฝึกซ้อมร่วมกับกองทัพเรือไทย ภายใต้ชื่อ "CARAT" (Cooperation of Afloat Readiness and Training) ซึ่งเดิมทีสหรัฐฯ จะส่งนาวิกโยธิน และทหารเรือประมาณ 700 นาย มาร่วมซ้อมรบกับทหารไทย โดยกำหนดการเริ่มฝึกวันที่ 20 พฤษภาคม 2557 ที่ผ่านมา ในพื้นที่ สัตหีบ ชลบุรี ระยอง จันทบุรี ตราด และ อ่าวไทย แต่ภายหลังที่กองทัพไทยทำรัฐประหาร สหรัฐฯจึงได้สั่งทหาร และเรือรบถอนกำลังกลับ ในวันที่ 24พฤษภาคม 2557จากเดิมที่มีกำหนดฝึกถึง 28 พฤษภาคม 2557
พลเรือเอก จอห์น เคอร์บี โฆษกกระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ หรือเพนตากอน กล่าวว่า สหรัฐมีท่าทีอย่างชัดเจนต่อการเรียกร้องให้กองทัพไทยยุติการก่อรัฐประหารและคืนอำนาจการปกครองให้แก่คนไทย ตามวิถีทางของระบอบประชาธิปไตย รวมทั้งการปูทางไปสู่การเลือกตั้ง แม้กองทัพสหรัฐฯ และกองทัพไทยจะมีความสัมพันธ์กันมายาวนาน แต่หลักการที่ยึดมั่นและกฎหมายของสหรัฐฯทำให้ต้องทบทวนความร่วมมือต่างๆ จึงขอยกเลิกกำหนดการ ดังนี้
หนึ่ง ให้มีการยกเลิกการร่วมซ้อมรบทางทะเลระหว่างสหรัฐฯ-ไทยในปี 2557
สอง การยกเลิกแลกเปลี่ยนการเยือนระดับสูงทางการทหารระหว่างสหรัฐฯกับไทย โดยจะยกเลิกการเยือนประเทศไทยของพลเรือเอกแฮร์รี่ แฮร์ริส ผู้บัญชาการกองเรือประจำภาคพื้นแปซิฟิก จากเดิมที่กำหนดในเดือนมิถุนายนนี้
และสาม การยกเลิกเชิญ พล.อ.ธนะศักดิ์ ปฏิมาประกร ผบ.สส.เดินทางเยือนสหรัฐฯ ในเดือนมิถุนายนด้วย
อย่างไรก็ตาม จากถ้อยแถลงของสหรัฐฯ ดังกล่าว ดูเหมือนว่าจะเคยชินกับการแทรกแซงการเมืองของประเทศอื่นเสียจนเป็นเรื่องปกติ คอยแต่จะเข้ามาก้าวก่าย หลงว่าเป็นประเทศมหาอำนาจจะทำอะไรก็ได้เสียอย่างนั้น แต่ภายหลังจากที่สหรัฐฯแจงว่าจะเลิกสนับสนุนกองทัพไทย วันต่อมา พ.อ.วินชัย สุวารี รองโฆษกกองทัพบกได้โต้สวนกลับไปทันทีว่า ที่ผ่านมาทาง คสช.ได้ทำความเข้าใจในระดับต่างประเทศ โดยการสื่อสารผ่านทางผู้บัญชาการทหารบกสหรัฐอเมริกา เพื่อชี้แจงถึงความจำเป็น พร้อมทั้งสร้างความเข้าใจในการรัฐประหาร บางส่วนกระทรวงการต่างประเทศก็ได้ดำเนินการตามขั้นตอน
ทั้งนี้ ทางกองทัพไทยได้ย้ำกับสหรัฐฯว่า ประเทศไทยกับต่างชาติต่างกันอยู่ 3 ข้อ คือ 1. สภาพแวดล้อมของแต่ละประเทศไม่เหมือนกัน 2. ทางกองทัพมีหลักฐานและเหตุผลชัดเจนในการทำรัฐประหารที่จะแสดงต่อต่างชาติ และ3.ประชาธิปไตยในประเทศทำให้เกิดความสูญเสีย
“ที่ผ่านมาทหารได้สนับสนุนการปกครองตามระบอบประชาธิปไตยมาโดยตลอด อยากให้มองย้อนกลับไป ไม่อยากให้มองเฉพาะจุด การแสดงออกตามระบอบประชาธิปไตยไม่ว่าจะเป็นในส่วนของบุคคล หรือกลุ่มบุคคลทำให้เกิดความสูญเสียมาโดยตลอด รวมถึงการบังคับใช้กฎหมายในการดำเนินคดีก็จะต้องคำนึงถึงหลักประชาธิปไตย และสิทธิเสรีภาพของประชาชน”
“ สำหรับในประเทศไทยจะเห็นได้ว่าในส่วนของประเทศไทยที่มีผู้คนแสดงสิทธิโดยอ้างว่าเป็นการแสดงออกในระบอบประชาธิปไตย ปรากฏว่ามีการใช้อาวุธสงคราม เป็นตัวบ่งชี้ว่าเป็นการสนับสนุนความรุนแรง และกระทำต่อชุมชนเมืองซึ่งถือเป็นเรื่องแปลก และไม่ทราบว่าการแสดงออกของกลุ่มคน หรือบุคคลที่ทำให้เกิดความสูญเสียจะสะท้อนภาพลักษณ์ในสายตาของต่างชาติอย่างไร การใช้ประชาธิปไตยที่แสดงออกมาในประเทศไทยน่าจะแตกต่างจากประเทศอื่น รวมถึงการเสนอข่าวของสื่อไทยและต่างประเทศที่มีความแตกต่างกัน นี่คือคำจำกัดความของคำว่าระบอบประชาธิปไตยในส่วนที่เจ้าหน้าที่ความมั่นคงได้เล็งเห็น”
เรียกได้ว่า โต้กันชัดๆให้สหรัฐฯสะเทือนสองหูกันไปเลยว่า ประชาธิปไตยที่หยิบยกมาอ้างอยู่เสมอมันใช้ไม่ได้กับประเทศไทยในเวลานี้ แต่ใช่ว่ากองทัพจะไม่เคารพหลักประชาธิปไตย ทว่า การแก้ปัญหาทหารจำเป็นต้องเข้ามาแยกสองฝ่ายให้ยุติลง โดยเฉพาะเสื้อแดงที่สุมหัวระดมกองกำลังติดอาวุธจนเป็นภัยต่อความมั่นคง
ทั้งนี้ นอกจากท่าทีของสหรัฐฯ ที่ยกเลิกการสนับสนุนกองทัพไทยแต่คณะรักษาความสงบเรียบร้อยแห่งชาติ (คสช.) ก็ต้องเดินหน้าสะสางทำให้ประเทศไทยกลับมาสงบโดยเร็ว ยึดหลักจัดการแก้ไขปัญหาประเทศชาติทั้งระยะสั้นและระยะยาว เพราะปัญหาเมืองไทยก็มีแต่คนไทยด้วยกันเองเท่านั้นที่เข้าใจที่สุด มันใช่เรื่องที่ไหน ที่ต่างชาติอย่างสหรัฐฯ จะมารู้ดีกว่าคนไทย เป็นแต่เพียงเข้ามาก้าวก่ายไม่เข้าท่า
โดยเฉพาะกับถ้อยแถลงของ คริสตี้ เค็นนีย์ เอกอัครราชทูตสหรัฐอเมริกาประจำประเทศไทย ซึ่งเป็นบุคคลที่ได้ชื่อว่ายืนอยู่เคียงข้างทักษิณมาโดยตลอด และมีความสับสนกับประชาธิปไตยของคนไทย กรณีที่คริสตี้ไม่เห็นด้วยกับการดำเนินคดีกฎหมายมาตรา 112
ล่าสุด เธอก็ออกมาให้สัมภาษณ์กับนักข่าวบีบีซีถึงประเด็นไม่เห็นด้วยกับการทำรัฐประหารของไทย โดยอ้างว่า จอห์น แคร์รี รัฐมนตรีว่าการทรวงการต่างประเทศ ไม่ยอมรับความถูกต้องใดๆ ต่อรัฐประหารที่เกิดขึ้น โดยได้เรียกร้องให้ดำเนินการนำรัฐบาลพลเรือนกลับคืนมาในทันที และที่สำคัญมากๆ คริสตี้ได้บอกว่า การรื้อฟื้นเสรีภาพด้านสื่อสารมวลชนที่ในขณะนี้สื่อไม่สามารถทำงานได้ ท่านไม่ได้รับข่าว เราก็ไม่ได้รับข่าว
“ท่านรัฐมนตรีได้แสดงการเรียกร้องอย่างเป็นทางการและชัดแจ้ง อีกทั้งเราได้ทำการเรียกร้องเป็นการภายในพร้อมๆ กันไป ท่านรัฐมนตรีได้สั่งการให้มีการพิจารณาใหม่ในเรื่องความช่วยเหลือทุกๆ อย่าง และความร่วมมือที่มีอยู่กับประเทศไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งกองทัพไทย”
และภายหลังจากที่มีการแถลงของทูตคริสตี้ออกมา ล่าสุดมีผู้มาตั้งกระทู้ล่ารายชื่อในเพจรับรองเรียนของทำเนียบขาว ในเว็บไซต์ www.petitoins.whitehouse.gov ซึ่งเป็นเว็บไซต์ของประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา เนื่องจากทนกับระบบความคิดและการทำหน้าที่ของเธอไม่ไหวอีกต่อไปแล้ว ชาวไทยจึงหวังจะขับไล่ออกไปจากประเทศผ่านการรณรงค์ล่ารายชื่อให้ครบแสน เพื่อใช้ยื่นถึงทำเนียบขาวเรียกคริสตี้กลับประเทศสหรัฐฯไปโดยทันที
และนี่ก็คือคำร้องบนเว็บไซต์ดังกล่าวซึ่งแปลเป็นภาษาไทยได้ว่า
ถอดถอน 'คริสตี เคนนีย์' เอกอัครราชทูตสหรัฐฯ ประจำประเทศไทย
“ขณะนี้มีเรื่องที่สำคัญกว่าการที่สหรัฐอเมริกาจะได้รับรู้ข้อมูลที่ถูกต้องเกี่ยวกับสถานการณ์ในประเทศไทย นั่นก็คือ คริสตี เคนนีย์ ควรถูกปลดออกจากตำแหน่งเอกอัครราชทูตสหรัฐฯ ประจำประเทศไทยโดยด่วน เนื่องจากการกระทำทางการเมืองที่แสดงให้เห็นถึงการเลือกข้างอย่างชัดเจน รวมไปถึงการเผยแพร่ข้อมูลที่บิดเบือนความจริง และการกระทำอื่นๆ อีกมากมายที่แสดงให้เห็นถึงความไม่มีจรรยาบรรณทางอาชีพ จากข้อความในทวิตเตอร์ของเธอ สะท้อนให้เห็นถึงทัศนคติในแง่ลบซึ่งไม่เหมาะสมอย่างยิ่งกับตำแหน่งของเธอที่เป็นตัวแทนของคนอเมริกันทั้งประเทศ สหรัฐอเมริกาควรคัดเลือกตัวแทนที่เป็นมืออาชีพ และมีความเป็นกลางขึ้นมาเป็นตัวแทนคนใหม่ เพื่อเรียกคืนความน่าเชื่อถือให้กลับคืนมา พร้อมกับสามารถประเมินสถานการณ์ที่ถูกต้องก่อนที่จะเผยแพร่ออกไป”
อย่างไรก็ตาม นางคริสตี้เคยมีวีรกรรมที่ทำให้คนไทยเดือดดาลมาแล้ว โดยการออกวีซ่าให้กับทักษิณ ชินวัตร ที่มีสถานะเป็นนักโทษหนีคดี ได้เข้าออกสหรัฐฯได้ตามสะดวกโยธิน อีกทั้งคริสตี้เองยังเคยแสดงความเห็นผ่านทางทวิตเตอร์ต่อประเด็นตัดสินคดีหมิ่นเบื้องสูงของนายโจ กอร์ดอน ว่ามีความกังวลต่อการตัดสินคดีที่ไม่สอดคล้องกับมาตรฐานสากล ในเรื่องสิทธิ เสรีภาพ จนทำให้คนไทยนับหมื่นคนเข้าไปแสดงความไม่เห็นด้วยในเพจเฟซบุ๊กสถานทูตสหรัฐอเมริกา
ทั้งนี้ ความหยิ่งผยองในอำนาจอย่างสหรัฐฯและกระทำการยุ่งวุ่นวายกับเรื่องภายในประเทศอื่นไปทั่ว เป็นทิศทางที่ต้องบอกว่าตรงกันข้ามกับรัฐบาลจีนโดยสิ้นเชิง
“ รัฐบาลจีนคาดหวังที่จะสื่อสารและร่วมมือกับไทยต่อไป แม้ว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงทางสถานการณ์การเมืองขึ้นในไทยก็ตาม ในฐานะเพื่อนบ้านของไทย รัฐบาลจีน หวังให้ทุกฝ่ายแสดงออกถึงความอดทนอดกลั้น และแก้ปัญหาผ่านการเจรจาและปรึกษาหารือกัน"ฉินกัง โฆษกกระทรวงการต่างประเทศจีน ได้แถลงจุดยืนหลังทางทหารไทยรัฐประหารเมื่อวันที่ 26 พฤษภาคม 2557
การแสดงออกของทหารไทยกับประชาชนที่ลุกฮือขับไล่ทูตคริสตี้ครั้งนี้ จึงเป็นการเตือนเอาไว้ว่า มีอำนาจก็ควรใช้อย่างผู้ดีมีมารยาท รู้จักผ่อนปรนความบ้าอำนาจลงเสียบ้าง เลิกเสียทีกับพฤติกรรมแทรกแซงเรื่องภายในประเทศอื่น มิฉะนั้นจะเป็นที่ครหาแก่ชาวโลกให้ต้องอับอายมากกว่านี้