ASTVผู้จัดการสุดสัปดาห์ -พลันที่ “พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา”ผบ.ทบ. ตัดสินใจขึ้นหลังเสือ ด้วยการประกาศ “กฎอัยการศึก”เท่ากับว่าอำนาจการบริหารจัดการประเทศ ถูกดึงมารวมศูนย์อยู่ภายใต้การควบคุมของ“บิ๊กตู่”ทั้งหมด
แม้ก่อนการประกาศกฎอัยการศึก มีการเกรงกันว่า ตำรวจ จะถูกรัฐบาลใช้เป็นเครื่องมือต่อสู้กับทหาร เพื่อรักษาอำนาจให้ รัฐบาลรักษาอำนาจไว้ให้ “นายใหญ่”
เพราะ“นายใหญ่”วางสายให้ลูกน้องคนสนิท ที่คิดว่ายอม“ตาย”แทนได้ ให้ขึ้นเป็น “บิ๊กตำรวจ”หลายคน ทั้ง พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว ผบ.ตร. พล.ต.ท.คำรณวิทย์ ธูปกระจ่าง อดีต ผบช.น. ซึ่งถูกเด้งเป็นไปเป็นผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 5
และเป็นที่รู้กันว่า ตำรวจส่วนใหญ่ทั้ง ชั้นผู้ใหญ่-ชั้นผู้น้อย ถูกจัดอยู่ในเครือข่าย“สีแดง”ไม่นิยมชมชอบกับชุมนุมของ“สุเทพ เทือกสุบรรณ”เลขาธิการกปปส. เท่าไรนัก
หนำซ้ำตำรวจยังถูกสังคมกล่าวหาว่า ไม่ยอมดำเนินคดีกับคนเสื้อแดง เพราะเป็นพวกเดียวกัน โดยเฉพาะ “แดงหมิ่นสถาบันฯ” อย่าง “ไอ้ตั้ง อาชีวะ”แถมยังไม่มีความคืบหน้าในการจับกุมมือมืดที่คอยลอบทำร้าย “กปปส.”ทั้งยิงระเบิดเอ็ม 79 กราดยิงด้วยปืนเอ็ม 16
“สีกากี”จึงมีจุดด่างพร้อยเพราะเข้าข้าง “สีแดง”ทำให้ “สีเขียว”ไม่ค่อยแฮปปี้เท่าที่ควร
ทว่าเมื่อประกาศกฎอัยการศึก“บิ๊กตู่”กลับกำราบให้ ตำรวจเข้ามาให้ความร่วมมือกับ ทหารได้ อย่างเป็นปี่เป็นขลุ่ย นั่นเพราะ “อดุลย์”ไฟเขียว ผ่านให้ตลอด
ภาพหนึ่งที่เห็นได้ชัดคือ ก่อนที่จะมีการประชุมหัวหน้าส่วนราชการ “บิ๊กตู่”มาถึงสโมสรทหารบกก่อน “บิ๊กอู๋”แต่ “บิ๊กตู่”กลับยืนรอ“บิ๊กอู๋”เพื่อเข้าร่วมประชุมพร้อมกัน
แสดงถึงความสัมพันธ์ระหว่าง “บิ๊กสีเขียว”กับ “บิ๊กสีกากี”เน้นแฟ้นขึ้นทุกวัน
แถมในช่วงที่ ศูนย์อำนวยการรักษาความสงบเรียบร้อย (ศอ.รส.) ที่นำโดย ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง เรืองอำนาจสุดๆ สั่งเล่นงานจัดการ กปปส. หลายรูปแบบ แต่ “บิ๊กอู๋”ไม่ได้ออกตัวช่วยงาน ศอ.รส. แม้จะอยู่ในตำแหน่ง หัวหน้าผู้ปฏิบัติงาน
แต่โยนงานให้ “พล.ต.อ.วรพงษ์ ชิวปรีชา”รองผบ.ตร. กับ “บิ๊กแจ๊ด ”สั่งการเป็นหลัก และยังมี “ธาริต เพ็งดิษฐ์”อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) เป็นตัวชนให้อีก
นอกจากนี้ ยังมีกระแสข่าวปล่อยออกมาไม่ขาดสายว่า “บิ๊กอู๋”อยากจะลาออก จากตำแหน่ง ผบ.ตร.
งานของ “บิ๊กอู๋” กับ ศอ.รส. จึงไม่มีตราบาปให้แปดเปื้อนมากมายนัก เมื่อนำ ตำรวจมาทำงานร่วมกับ“ทหาร”จึงมีมลทินติดตัวมาน้อยมาก
ภารกิจที่ “บิ๊กตู่”มอบหมายให้ตำรวจทำ คือ การตรวจตราจับคนร้ายที่อยู่ในเครือข่ายของ “ชายชุดดำ”ที่เตรียมเข้ามาก่อเหตุร้าย ในที่ชุมนุมของทั้ง กปปส. และ นชป.
เครือข่ายลำเลียง อาวุธสงคราม ยังมีอยู่เยอะ สายข่าว ทั้งจากตำรวจ-กองทัพ-พลเรือน ระดมกำลังกันเข้าจับกุม
แต่จะได้ผลมากน้อยแค่ไหน ต้องติดตามดูกันอย่างใกล้ชิด และต้องติดตามให้แน่ชัดด้วยว่า“ทหาร-ตำรวจ”จับจริง หรือจับหลอก จับเพื่อหวังผลปฏิบัติการด้านการข่าว หรือจับเพื่อหาคนร้ายตัวจริง
เพราะหากย้อนไปในช่วงการชุมนุมของ “คนเสื้อแดง”ในปี 2553 รัฐบาลอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ สั่งการให้ ศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) ดำเนินการจับ“อาวุธสงคราม”หลากหลายชนิด ซึ่งเน้นหนักไปที่ อาวุธที่มีการก่อเหตุในที่ชุมนุมของ“คนเสื้อแดง” อาทิ เครื่องยิงระเบิดเอ็ม 79 ระเบิดชนิดขว้าง อาวุธปืนเอ็ม 16 เป็นต้น
โดย ศอฉ. สั่งการให้ “พล.ต.ท.อำนวย นิ่มมะโน”อดีต รอง ผบช.น. คนสนิทชิดเชื้อกับ สุเทพ ให้เข้าจับอาวุธสงคราม แล้วนำมาแถลงข่าวต่อสื่อมวลชน พร้อมกับโชว์อาวุธสงครามทุกชนิดที่จับมาได้
กระนั้น ศอฉ. ไม่ได้หวังผลให้จับอย่างจริงจัง เพื่อให้อาวุธสงครามหมดไป เพียงแต่หวังผลทางจิตวิทยา เขียนเสือหัววัวกลัว
ทางหนึ่งหวังให้ผู้ชุมนุมเห็นว่า มีการใช้อาวุธสงครามจริง เพื่อลดจำนวนผู้ชุมนุมให้น้อยลง อีกทางหนึ่งก็หวังว่า “ชายชุดดำ” จะหวาดกลัวการจับกุม จนยอมถอย ไม่กล้าลำเลียงอาวุธสงครามเข้ามาอีก
ทว่าว่าปฏิบัติการจิตวิทยา ของ ศอฉ.แทบจะไม่ได้ผลเลย เพราะมีการลำเลียงอาวุธสงครามเข้าสู่ที่ชุมนุมคนเสื้อแดง อยู่ตลอด แม้จะมีการติดกล้องบริเวณตรอกซอกซอย แล้ว ยังมีอาวุธมากมายเล็ดลอดเข้ามา จนนำมาก่อเหตุยิงกันได้
มาเที่ยวนี้ กอ.รส. ภายใต้การนำของ “บิ๊กตู่”ยังหวังใช้ปฏิบัติการจิตวิทยาเหมือนเดิม ด้วยการลอกรูปแบบของ ศอฉ. แถลงผลการจับกุมอาวุธสงคราม เป็นระยะ และยังมีการนำอาวุธสงครามมาโชว์ต่อสื่อมวลชนเช่นเดิม
ซึ่งกอ.รส. หวังว่าจะสร้างความชอบธรรมให้กับการประกาศกฎอัยการศึก และยังหวังไปไกลว่า คนร้าย-ชายชุดดำ จะเกรงกลัวการจับกุม แบบเอาจริงเอาจัง
เข้าใจว่าปฏิบัติการ ที่ภาษาทหารเรียกกันว่า "ไอโอ" มีผลทางจิตวิทยา ปรามไม่ให้ คนร้าย-ชายชุดดำ เหิมเกริม แต่อย่าลืมว่ามันได้ผลไม่มากนัก เพราะชั่วโมงนี้ ไม่มีใครกลัวใคร
แถมยังมีความแค้นติดค้างกันมาตั้งแต่ปี 2553 ถ้าเจอตัวศตรูคู่อริ คงมีการแก้แค้นกันเป็นแน่
ปฏิบัติการ ไอโอ หวังผลได้ แต่ที่สำคัญสุดคือ การปฏิบัติงานอย่างทหาร ที่ต้องรัดกุม ไม่เปิดช่องโหว่ให้กับ“คนร้าย-ชายชุดดำ” เพราะถ้าเปิดช่องโหว่เมื่อไร สถานการณ์จะกลับเหมือนปี 2553 ทันที
อาจจะรุนแรงน่ากลัวกว่าปี 2553 ด้วยซ้ำ เพราะต่างฝ่ายต่างมีประสบการณ์ รู้แล้วว่าจะจัดการฝั่งตรงข้ามอย่างไร