ASTVผู้จัดการสุดสัปดาห์ - จนถึงวันนี้ เจ้าหน้าที่ตำรวจก็ยังไม่สามารถติดตามจับกุมตัวนายวุฒิพงศ์ กชธรรมคุณ หรือ"โกตี๋" แกนนำแดงปทุมธานี รวมทั้ง นายเอกภพ เหลือรา หรือ "ตั้ง อาชีวะ" ที่ถูกแจ้งข้อหาหมิ่นสถาบันเบื้องสูง
เพราะ ทั้งโกตี๋ และ ตั้ง อาชีวะ เป็นพวกครอกเดียวกับคนในรัฐบาล มีหลักฐานประจักษ์ชัดว่า โกตี๋ นั้นมีความใกล้ชิด สนิทสนมกับ พล.ต.ท.คำรณวิทย์ ธูปกระจ่าง ผบช.น. และเจ้าตัวยังบอกออกมาเองว่า ที่ผ่านมาได้ทำงาน นำมวลชนคนเสื้อแดงสายฮาร์ดคอร์รับใช้รัฐบาล แต่ถูก ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร หักหลังสั่งจับกุม ด้วยเหตุผลทางการเมือง เพราะต้องการเอาใจอำมาตย์
ส่วน ตั้ง อาชีวะ นั้นก็ขึ้นปราศรัย จาบจ้วง ล่วงละเมิด อาฆาตมาดร้าย ต่อพระมหากษัตริย์ และพระบรมวงศานุวงศ์ บนเวทีเดียวกับแกนนำเสื้อแดง อย่าง จตุพร พรหมพันธุ์ ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ รวมทั้งจารุพงศ์ เรืองสุวรรณ หัวหน้าพรรคเพื่อไทย และรมว.มหาดไทย
เมื่อเป็นเช่นนี้ ขบวนการจาบจ้วงสถาบันเบื้องสูง จึงลุกลาม แผ่ขยาย เหิมเกริม กระทำการโดยเปิดเผย ไม่สนใจต่อกฎหมายบ้านเมือง เพราะถือว่ามีเจ้าหน้าที่ ผู้มีอำนาจและรัฐบาล คุ้มหัว
นับเป็นเรื่องบาดตา บาดใจ ของประชาชนคนส่วนใหญ่ของประเทศ ที่รักและเทิดทูนสถาบันพระมหากษัตริย์ เป็นอย่างยิ่ง โดยเฉพาะเมื่อเห็นว่าเจ้าหน้าที่รัฐ ผู้มีอำนาจ ไม่เอาจริงเอาจัง ที่จะปราบปราม จับกุมตัวมาลงโทษตามกฎหมาย จึงมีการกระตุ้นให้ภาคราชการ และประชาชนออกมาจัดการตามกรอบที่เห็นว่าจะทำได้
อย่างเช่น มล.ปนัดดา ดิศกุล รองปลัดกระทรวงมหาดไทย ได้โพสต์เฟซบุ๊ก เรียกร้องให้ผู้บังคับบัญชา และหัวหน้าหน่วยวานต่างๆ ทำตัวเป็นแบบอย่างทางจริยธรรมแก่ทุกองค์กร เพื่อให้คนในองค์กรนั้นๆ เรียนรู้ ปฏิบัติตาม ในการปกป้องสถาบัน ดังคำที่ว่า "หัวไม่สาย หางไม่กระดิก"
"เวลานี้คนไทยอดทนกันมานานมาก ทั้งๆที่ข้าพเจ้าและเพื่อนๆ หลายคนรับราชการ หลายคนทำงานภาคเอกชน เป็นแพทย์ เป้นพยาบาบ เป็นกัปตันเครื่องบิน เป้นสถาปนิก เป็นพ่อค้า เป็นอปพร. เป็นเกษตรกร กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ฯลฯ แต่ก็ทำให้เรานึกถึงสมัยก่อน ที่ประเทศไทยมีความเจริญรุ่งเรือง มีความร่มเย็นเป็นสุขมาก ไม่เคยมียุคใด เวลาใดในอดีตที่ผู้บริหาร และกองทัพไทย จะยอมให้สถาบันสูงสุดของชาติ ที่คนไทยเคารพรัก เทิดทูน ถูกข่มเหงรังแก สร้างความเจ็บปวด สร้างความเสียใจให้กับประชาชนคนไทย"
หรือคนอย่าง พล.ต.นายแพทย์ เหรียญทอง แน่นหนา ผู้อำนวยการโรงพยาบาลมงกุฎวัฒนะ ที่โรงพยาบาล เพิ่งถูกยิงถล่มด้วย เอ็ม 79 ไปเมื่อหัวค่ำวันที่ 7 มีนาคม ที่ผ่านมา เพราะได้แสดงจุดยืนที่จะต้องจัดการกับพวกหมิ่นสถาบันฯ และเมื่อถูกยิงถล่ม ก็ไม่ได้แจ้งความให้ตำรวจติดตามจับกุมคนร้าย เพราะเห็นว่า ถึงแจ้งความก็ไม่มีประโยชน์ เนื่องจากไม่มีความมั่นใจและไว้วางใจในรัฐบาลรักษาการปัจจุบัน
พล.ต.นายแพทย์เหรียญทอง เห็นว่า ปัญหาจาบจ้วงสถาบันฯ ในปัจจุบัน อยู่ในขั้นว่าเลวร้าย รุนแรงยิ่งกว่าปัญหาภัยคอมมิวนิสต์ในอดีตเสียอีก เพราะปัญหามันถึงตัว ถึงในกลางเมืองหลวงของประเทศ และยังกระจายไปทั่วราชอาณาจักร ทำให้เกิดความแตกแยกของคนในชาติ ลงลึกไปถึงสถาบันครอบครัว ซึ่งการแก้ไขปัญหานี้ยาก เพราะส่วนหนึ่งเราปล่อยปละละเลยปัญหานี้มานาน และยังมีเรื่องของผลประโยชน์ และอำนาจ ถูกนำมาใช้ในการต่างตอบแทน ทำให้เกิดเป็นระบอบ ข้าราชการระดับสูงบางส่วน พ่อค้า นักธุรกิจ กลุ่มทุนบางส่วน แสวงหาผลประโยชน์จากการตอบแทนนี้ รวมตัวกันตอบแทนเกื้อกูล ทำให้เกิดระบอบนี้ ปัญหาจึงลุกลาม กลายเป็นปัญหาของทั้งสถาบัน ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ไม่ใช่เฉพาะองค์พระประมุขเพียงอย่างเดียว ลุกลามไปถึงปัญหาสังคมด้วย ปัญหานี้จึงรุนแรง และเลวร้ายกว่า ปัญหาคอมมิวนิสต์ เสียอีก
"ประเทศไทยเป็นประเทศที่ปกครองโดยระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นพระประมุข พระมหากษัตริย์ไม่มีโอกาสที่จะปกป้องตัวของพระองค์ได้เลย เป็นหน้าที่ของคนไทยทั้งชาติ เพียงแต่ประชาชนไม่ได้มีอำนาจหน้าที่ตามกฎหมาย ที่จะไปจัดการต่อกลุ่มคนชั่วร้ายเหล่านี้ ผู้มีอำนาจหน้าที่ตามกฎหมาย เช่น สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ปล่อยปละละเลยได้อย่างไร นายกรัฐมนตรี รัฐมนตรีในส่วนงานที่รับผิดชอบ ปล่อยปละละเลยได้อย่างไร ปล่อยปละละเลยเท่านั้นยังไม่พอ กลุ่มคนที่จาบจ้วงสถาบันฯ ประกาศตน อาฆาตมาดร้ายต่อองค์พระประมุข ยังเป็นกลุ่มคนที่ให้การสนับสนุนรัฐบาลเสียด้วยซ้ำ ที่มองเห็นวันนี้คือว่า ฝ่ายที่ถือครองอำนาจรัฐ เป็นผู้ที่ให้การหนุนหลัง เป็นพวกจ้องล้มล้างสถาบันพระมหากษัตริย์เสียเอง ซึ่งไม่ใช่เป็นเรื่องที่ผมคนเดียวที่รับไม่ได้ แต่เชื่อว่าคนไทยเกือบทั้งประเทศ ทหาร ตำรวจ พลเรือน ก็ไม่สามารถจะยอมรับได้ กับพวกขยะของแผ่นดินพวกนี้ "
ล่าสุด เมื่อวันที่ 16 เม.ย.ที่ผ่านมา พล.ต.นายแพทย์เหรียญทอง ได้ประกาศ รับอาสาสมัคร ที่จะมาเข้าร่วมกัน "เก็บขยะของแผ่นดิน" และตั้ง "กองทุนเก็บขยะของแผ่นดิน" ขึ้นมา เพื่อดำเนินการกับพวกจาบจ้วงสถาบันฯ ตามแบบฉบับของภาคประชาชน
โดยมีแนวทางการใช้เงินกองทุนฯ คล้ายๆ เงินรางวัลนำจับ สำหรับผู้ชี้เบาะแส ในการจับกุมตัวพวกหมิ่นสถาบันฯ ใครที่สามารถสืบค้นตัวบุคคล ชื่อ-นามสกุล ที่อยู่ ที่ทำงาน สถานศึกษา พร้อมภาพถ่าย และพฤติกรรมการหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ให้แจ้งเข้ามา ทางกองทุนฯจะมอบเงินรางวัลให้เป็นครั้งที่ 1
เมื่อบุคคลดังกล่าวถูกจับกุม และส่งตัวดำเนินคดี ผู้แจ้งเบาะแส จะได้เงินรางวัลครั้งที่ 2 เมื่อศาลชั้นต้นตัดสินให้จำคุก ก็จะได้เงินรางวัล เป็นครั้งที่ 3
หากผู้ต้องหาอุทธรณ์คดี และศาลอุทธรณ์ได้ตัดสินให้จำคุก ผู้แจ้งก็จะได้เงินรางวัลเป็น ครั้งที่ 4 และหากมีมียื่นฎีกาคดี และศาลฎีกายังคงตัดสินให้จำคุก ก็จะได้เงินรางวัลเป็นครั้งที่ 5
ทั้งนี้ จำนวนเงินรางวัล จะเพิ่มขึ้น ตามจำนวนปีที่ศาลตัดสินให้จำคุก
นอกจากนี้ ทนายความอาสา ผู้แจ้งเบาะแส และเจ้าหน้าที่ตำรวจที่จับกุม ก็จะได้รับเงินรางวัลในลักษณะเดียวกันนี้ด้วย
เพราะพวกจาบจ้วงสถาบันฯ คือขยะของแผ่นดิน ต้องเก็บมาเผาให้เป็นเถ้าธุลี