ได้แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับแนวทางปฏิรูปประเทศไทยมาโดยลำดับ และบัดนี้ถึงเวลาที่จะต้องแสดงเรื่องแนวทางการปฏิรูปการเลือกตั้งกันเสียใหม่ มิฉะนั้นแล้วการปฏิรูปใดๆ ของประเทศไทยก็จะไม่มีทางเกิดขึ้นได้
เพราะถ้าหากการเลือกตั้งยังเป็นแบบเส็งเคร็งดังเดิม ก็จะได้เหล่าสัตว์เดรัจฉานหรือมหาโจรเข้ามาปล้นบ้านปล้นเมืองเหมือนที่ปรากฏให้เห็นอย่างชัดเจนตลอดระยะเวลา 12 ปีที่ผ่านมานี้
นั่นคือถ้าหากการเลือกตั้งยังเป็นแบบเส็งเคร็งแบบเดิมก็จะให้ผลดังเดิม คือจะได้เหล่าสัตว์เดรัจฉานหรือมหาโจรเข้ามาปล้นบ้านปล้นเมือง ก่อกรรมทำเข็ญแก่ประเทศชาติและประชาชนต่อไปอีก รัฐบาลประเภทอัปรีย์ไป จัญไรมา ก็จะดำรงอยู่ต่อไปอีก ความฉิบหายวายวอดและความล่มจมของประเทศชาติและประชาชนก็จะต่อเนื่องต่อไปอีก
ซึ่งบัดนี้ประเทศชาติและประชาชนทนรับชะตากรรมแบบนี้ไม่ไหวแล้ว และไม่มีใครยอมรับอีกต่อไปแล้ว เสียงกึกก้องยิ่งกว่าเสียงคลื่นในพระสมุทรดังกระหึ่มมาเป็นเวลาหกเดือนเศษแล้วว่า ประเทศนี้ต้องการปฏิรูปใหญ่ เพื่อให้ได้รัฐบาลที่เป็นธรรมาธิปัตย์มาครองแผ่นดินโดยธรรม เพื่อประโยชน์สุขแห่งมหาชนชาวสยามสืบไป
การเลือกตั้งแบบเส็งเคร็งคือต้นเหตุของผลทั้งหลายที่เกิดขึ้นกับประเทศไทยในระยะเวลา 12 ปีที่ผ่านมานี้ ดังนั้นเมื่อจะแก้ไขผลที่เป็นอยู่ก็ต้องแก้ไขที่เหตุ คือต้องแก้ไขการเลือกตั้งหรือต้องปฏิรูปการเลือกตั้งกันเสียใหม่ไม่ให้เป็นแบบเส็งเคร็งกันอีกต่อไป
ทำไมการเลือกตั้งที่เป็นมา 12 ปีนี้เป็นแบบเส็งเคร็ง? ก็เพราะว่า
ประการแรก ผู้บริหารการเลือกตั้งอยู่ในอำนาจของนักการเมือง รับสินบาท คาดสินบน ไม่มีคุณธรรมในจิตใจหลงเหลือ ยอมตนลงเป็นทาส เปิดช่องทางสร้างโอกาสให้พวกโจรานุโจรและเหล่าสัตว์เดรัจฉานเข้ามาเป็นผู้แทนราษฎร
ประการที่สอง การเลือกตั้งเต็มไปด้วยการโกงทุกขั้นทุกตอนทุกรูปทุกแบบ จึงไม่สามารถได้มาซึ่งผู้แทนราษฎรอย่างแท้จริง ผลการเลือกตั้ง 12 ปีที่ผ่านมาได้แต่ข้าทาสของคนคนเดียว และข้าทาสของคนคนเดียวนั้นก็ไม่ฟังเสียงราษฎรซึ่งเป็นเจ้าของอำนาจอธิปไตย คงฟังแต่นายทาสเพียงคนเดียว
ประการที่สาม การเลือกตั้งไม่เป็นไปโดยสุจริตและเที่ยงธรรม ใช้อำนาจเงิน อำนาจรัฐ และอำนาจเถื่อนจ้างวาน ข่มขู่ บังคับราษฎร ให้ต้องเลือกคนที่นายทาสต้องการ
ทำให้อำนาจอธิปไตยของปวงชนถูกปล้นสะดมไปเป็นของเหล่าโจรานุโจร ถึงขนาดตั้งวงศ์ไพบูลย์สืบทอดความเป็นผู้แทนราษฎรจากพ่อสู่เมียสู่ญาติโกโหติกาจนกลายเป็นแก๊งโจรในทุกพื้นที่เลือกตั้ง ในขณะที่ประชาชนยากจน ยากไร้ และกลายเป็นทาสเด่นชัดมากขึ้นทุกที
สภาพเช่นนี้จึงต้องปฏิรูปการเลือกตั้งก่อนเพื่อน! แนวทางปฏิรูปการเลือกตั้งต้องไม่ให้อำนาจไปรวมศูนย์อยู่ที่ กกต.เพียงห้าคน ซึ่งตลอดระยะเวลา 12 ปีที่ผ่านมานี้ก็เห็นได้ชัดเจนแล้วว่าไม่สามารถทำให้การเลือกตั้งเป็นไปโดยสุจริตและเที่ยงธรรมและทำให้ได้มาซึ่งผู้แทนราษฎรที่แท้จริงเลย
แนวทางในการปฏิรูปการเลือกตั้งจึงควรมีดังต่อไปนี้
ประการที่หนึ่ง ผู้แทนราษฎรจะต้องไม่ถือเขตพื้นที่เป็นหลักอีกต่อไป แต่จะใช้ระบบสามประสาน ดังนี้คือ
ผู้แทนราษฎรประเภทพื้นที่ ให้มีการเลือกตั้งโดยถือจังหวัดเป็นเขตเลือกตั้ง โดยมีผู้แทนราษฎรอย่างน้อยจังหวัดละ 1 คน ถ้าจังหวัดใดมีผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งเกิน 500,000 คน ก็ให้มีผู้แทนราษฎรเพิ่มขึ้นอีก 1 คน และถ้าจังหวัดใดมีผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งเกิน 1 ล้านคน ก็ให้มีผู้แทนราษฎรเพิ่มขึ้นได้อีก 1 คน โดยสรุปคือแต่ละจังหวัดจะมีผู้แทนราษฎรอย่างน้อย 1 คน อย่างมากที่สุด 3 คน ซึ่งจะมีจำนวนผู้แทนราษฎรประเภทนี้ประมาณ 120 คน
ผู้แทนราษฎรประเภทอาชีพ ให้มีการกำหนดประเภทอาชีพของผู้มีสิทธิเลือกตั้งทั่วประเทศจำนวน 50 อาชีพ ให้แต่ละอาชีพคัดเลือกกันเองเป็นผู้แทน 1 คน ยกเว้นเกษตรกรชาวนา ให้มีผู้แทนได้ 3 คน ผู้ใช้แรงงาน 3 คน ข้าราชการทั่วประเทศ 2 คน ตำรวจ 1 คน ทหาร 1 คน ผู้แทนศาสนาพุทธ ศาสนาคริสต์ ศาสนาอิสลาม ศาสนาละ 1 คน ผู้ส่งออก 1 คน ผู้ประกอบการอุตสาหกรรม 2 คน ผู้ประกอบการบริการ 1 คน ผู้ประกอบการธนาคารการเงิน 1 คน และผู้ประกอบการอาชีอื่นๆ ก็จะมีผู้แทนราษฎรประเภทนี้ประมาณ 100 คน
ผู้แทนราษฎรประเภทสรรหา ให้มีคณะกรรมการสรรหาประกอบด้วยประธานองคมนตรี ประธานศาลฎีกา ประธานศาลปกครองสูงสุด ประธานคณะกรรมการ ป.ป.ช. ประธานคณะกรรมการตรวจเงินแผ่นดิน ประธานสภาหอการค้า ประธานสภาอุตสาหกรรม นายกสมาคมธนาคาร และผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย สรรหาผู้ทรงคุณวุฒิโดยรวมกับผู้แทนราษฎรประเภทพื้นที่และประเภทอาชีพแล้วไม่เกิน 300 คน
ด้วยระบบการเลือกตั้งผู้แทนราษฎรดังกล่าวก็จะมีผู้แทนราษฎรที่เป็นผู้แทนราษฎรจริงๆ ไม่ต้องขึ้นต่อนายทาสเพียงคนเดียวเหมือนกับที่ผ่านมาและจะทำลายระบบการซื้อเสียงให้หายไปอย่างสิ้นเชิง
ประการที่สอง สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจะสังกัดพรรคหรือไม่สังกัดพรรคการเมืองก็ได้ ให้เป็นไปตามใจสมัคร เพื่อลดทอนบทบาทและอำนาจของพรรคการเมืองหรือนัยหนึ่งก็คือทำลายการผูกขาดหรือการลงทุนตั้งพรรคการเมืองแบบที่เป็นมาตลอดระยะเวลา 80 ปีที่ผ่านมา เพราะระบบพรรคการเมืองที่ผ่านมานั้นมีฐานะเป็นแค่บริษัทการเมืองหรือสมาคมการเมือง ที่มีแก๊งการเมืองควบคุมบงการโดยไม่ฟังเสียงราษฎรอย่างแท้จริง
ประการที่สาม ให้คงมีคณะกรรมการการเลือกตั้งในส่วนกลาง แต่ให้ยกเลิกองค์กรและพนักงานประจำของ กกต.ประจำในพื้นที่ต่างๆ ทั่วประเทศ ซึ่งได้พัฒนากลายเป็นแก๊งธุรกิจในการทำมาหากินกับการเลือกตั้งไปแล้ว ที่สำคัญ ให้ยกเลิกอำนาจในการแจกใบแดง ใบเหลือง ของ กกต. และให้เป็นหน้าที่ของผู้เสียหายที่จะร้องต่อศาลแพ่ง หรือศาลจังหวัดต่างๆ โดยให้มีแผนกคดีเลือกตั้งขึ้นในศาลแพ่งและในศาลจังหวัดต่างๆ เพื่อพิจารณาปัญหาเกี่ยวกับการเลือกตั้ง
ประการที่สี่ ให้ กกต.กลางมีอำนาจในการขอความร่วมมือให้กรุงเทพมหานครและองค์การบริหารส่วนจังหวัดทั่วประเทศจัดการเลือกตั้งให้เป็นไปตามกฎหมาย หรือถ้าองค์การบริหารส่วนจังหวัดไม่มีความพร้อม ก็ให้มอบแก่จังหวัดต่างๆ เป็นผู้จัดการเลือกตั้ง
ประการที่ห้า ให้มีการตรวจสอบประวัติผู้ที่จะสมัครเป็นผู้แทนราษฎรทั่วประเทศโดยทางสาธารณะ โดยให้ประกาศประวัติโดยเปิดเผยต่อสาธารณะก่อนวันเลือกตั้ง 30 วัน และให้ผู้มีส่วนได้เสียมีโอกาสตรวจสอบ คัดค้าน หรือโต้แย้ง และให้คณะผู้บริหารการเลือกตั้งวินิจฉัยให้แล้วเสร็จก่อนเลือกตั้งไม่น้อยกว่า 15 วัน ถ้าผู้สมัครรับเลือกตั้งไม่เห็นด้วยก็ให้อุทธรณ์ต่อศาลได้
ประการที่หก ผู้สมัครรับเลือกตั้งทุกคนต้องมีคุณสมบัติที่สำคัญคือ
(1) เป็นผู้มีเชื้อชาติไทย และสัญชาติไทยโดยการเกิด และมีอายุไม่น้อยกว่า 30 ปี และไม่เกินกว่า 70 ปี
(2) ไม่เคยถูกศาลพิพากษาจำคุก ไม่ว่าจะมีการรอลงอาญา หรือรอการลงโทษ หรือพ้นโทษแล้วหรือไม่
(3) ไม่เป็นผู้ทุจริตในหน้าที่ราชการ ไม่เคยถูก ป.ป.ช. ชี้มูลความผิด ไม่เคยถูกลงโทษทางวินัยในทางราชการ ไม่เคยถูกฟ้องล้มละลาย และไม่เคยถูกเพิกถอนสิทธิเลือกตั้ง
(4) จะเป็นผู้แทนราษฎร หรือสมาชิกรัฐสภา รวมระยะเวลาเกิน 8 ปีไม่ได้
(5) จะดำรงตำแหน่งทางการเมืองใดๆ ไม่ได้ ยกเว้นจะพ้นจากตำแหน่งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแล้วไม่น้อยกว่า 5 ปี
การปฏิรูปการเลือกตั้งดังกล่าวจะทำให้ได้คนดีมีฝีมือ เห็นแก่ประโยชน์แก่ประเทศชาติเข้ามาเป็นผู้แทนราษฎร และป้องกันมิให้มักใหญ่ใฝ่สูง ไปดำรงตำแหน่งทางการเมืองอื่นในระหว่างที่ดำรงตำแหน่งหรือพ้นตำแหน่งไม่เกิน 5 ปีได้ เป็นการยกเลิกการผูกขาดตำแหน่งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรดังที่เคยเป็นมาตลอดระยะเวลา 80 ปีที่ผ่านมา.
เพราะถ้าหากการเลือกตั้งยังเป็นแบบเส็งเคร็งดังเดิม ก็จะได้เหล่าสัตว์เดรัจฉานหรือมหาโจรเข้ามาปล้นบ้านปล้นเมืองเหมือนที่ปรากฏให้เห็นอย่างชัดเจนตลอดระยะเวลา 12 ปีที่ผ่านมานี้
นั่นคือถ้าหากการเลือกตั้งยังเป็นแบบเส็งเคร็งแบบเดิมก็จะให้ผลดังเดิม คือจะได้เหล่าสัตว์เดรัจฉานหรือมหาโจรเข้ามาปล้นบ้านปล้นเมือง ก่อกรรมทำเข็ญแก่ประเทศชาติและประชาชนต่อไปอีก รัฐบาลประเภทอัปรีย์ไป จัญไรมา ก็จะดำรงอยู่ต่อไปอีก ความฉิบหายวายวอดและความล่มจมของประเทศชาติและประชาชนก็จะต่อเนื่องต่อไปอีก
ซึ่งบัดนี้ประเทศชาติและประชาชนทนรับชะตากรรมแบบนี้ไม่ไหวแล้ว และไม่มีใครยอมรับอีกต่อไปแล้ว เสียงกึกก้องยิ่งกว่าเสียงคลื่นในพระสมุทรดังกระหึ่มมาเป็นเวลาหกเดือนเศษแล้วว่า ประเทศนี้ต้องการปฏิรูปใหญ่ เพื่อให้ได้รัฐบาลที่เป็นธรรมาธิปัตย์มาครองแผ่นดินโดยธรรม เพื่อประโยชน์สุขแห่งมหาชนชาวสยามสืบไป
การเลือกตั้งแบบเส็งเคร็งคือต้นเหตุของผลทั้งหลายที่เกิดขึ้นกับประเทศไทยในระยะเวลา 12 ปีที่ผ่านมานี้ ดังนั้นเมื่อจะแก้ไขผลที่เป็นอยู่ก็ต้องแก้ไขที่เหตุ คือต้องแก้ไขการเลือกตั้งหรือต้องปฏิรูปการเลือกตั้งกันเสียใหม่ไม่ให้เป็นแบบเส็งเคร็งกันอีกต่อไป
ทำไมการเลือกตั้งที่เป็นมา 12 ปีนี้เป็นแบบเส็งเคร็ง? ก็เพราะว่า
ประการแรก ผู้บริหารการเลือกตั้งอยู่ในอำนาจของนักการเมือง รับสินบาท คาดสินบน ไม่มีคุณธรรมในจิตใจหลงเหลือ ยอมตนลงเป็นทาส เปิดช่องทางสร้างโอกาสให้พวกโจรานุโจรและเหล่าสัตว์เดรัจฉานเข้ามาเป็นผู้แทนราษฎร
ประการที่สอง การเลือกตั้งเต็มไปด้วยการโกงทุกขั้นทุกตอนทุกรูปทุกแบบ จึงไม่สามารถได้มาซึ่งผู้แทนราษฎรอย่างแท้จริง ผลการเลือกตั้ง 12 ปีที่ผ่านมาได้แต่ข้าทาสของคนคนเดียว และข้าทาสของคนคนเดียวนั้นก็ไม่ฟังเสียงราษฎรซึ่งเป็นเจ้าของอำนาจอธิปไตย คงฟังแต่นายทาสเพียงคนเดียว
ประการที่สาม การเลือกตั้งไม่เป็นไปโดยสุจริตและเที่ยงธรรม ใช้อำนาจเงิน อำนาจรัฐ และอำนาจเถื่อนจ้างวาน ข่มขู่ บังคับราษฎร ให้ต้องเลือกคนที่นายทาสต้องการ
ทำให้อำนาจอธิปไตยของปวงชนถูกปล้นสะดมไปเป็นของเหล่าโจรานุโจร ถึงขนาดตั้งวงศ์ไพบูลย์สืบทอดความเป็นผู้แทนราษฎรจากพ่อสู่เมียสู่ญาติโกโหติกาจนกลายเป็นแก๊งโจรในทุกพื้นที่เลือกตั้ง ในขณะที่ประชาชนยากจน ยากไร้ และกลายเป็นทาสเด่นชัดมากขึ้นทุกที
สภาพเช่นนี้จึงต้องปฏิรูปการเลือกตั้งก่อนเพื่อน! แนวทางปฏิรูปการเลือกตั้งต้องไม่ให้อำนาจไปรวมศูนย์อยู่ที่ กกต.เพียงห้าคน ซึ่งตลอดระยะเวลา 12 ปีที่ผ่านมานี้ก็เห็นได้ชัดเจนแล้วว่าไม่สามารถทำให้การเลือกตั้งเป็นไปโดยสุจริตและเที่ยงธรรมและทำให้ได้มาซึ่งผู้แทนราษฎรที่แท้จริงเลย
แนวทางในการปฏิรูปการเลือกตั้งจึงควรมีดังต่อไปนี้
ประการที่หนึ่ง ผู้แทนราษฎรจะต้องไม่ถือเขตพื้นที่เป็นหลักอีกต่อไป แต่จะใช้ระบบสามประสาน ดังนี้คือ
ผู้แทนราษฎรประเภทพื้นที่ ให้มีการเลือกตั้งโดยถือจังหวัดเป็นเขตเลือกตั้ง โดยมีผู้แทนราษฎรอย่างน้อยจังหวัดละ 1 คน ถ้าจังหวัดใดมีผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งเกิน 500,000 คน ก็ให้มีผู้แทนราษฎรเพิ่มขึ้นอีก 1 คน และถ้าจังหวัดใดมีผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งเกิน 1 ล้านคน ก็ให้มีผู้แทนราษฎรเพิ่มขึ้นได้อีก 1 คน โดยสรุปคือแต่ละจังหวัดจะมีผู้แทนราษฎรอย่างน้อย 1 คน อย่างมากที่สุด 3 คน ซึ่งจะมีจำนวนผู้แทนราษฎรประเภทนี้ประมาณ 120 คน
ผู้แทนราษฎรประเภทอาชีพ ให้มีการกำหนดประเภทอาชีพของผู้มีสิทธิเลือกตั้งทั่วประเทศจำนวน 50 อาชีพ ให้แต่ละอาชีพคัดเลือกกันเองเป็นผู้แทน 1 คน ยกเว้นเกษตรกรชาวนา ให้มีผู้แทนได้ 3 คน ผู้ใช้แรงงาน 3 คน ข้าราชการทั่วประเทศ 2 คน ตำรวจ 1 คน ทหาร 1 คน ผู้แทนศาสนาพุทธ ศาสนาคริสต์ ศาสนาอิสลาม ศาสนาละ 1 คน ผู้ส่งออก 1 คน ผู้ประกอบการอุตสาหกรรม 2 คน ผู้ประกอบการบริการ 1 คน ผู้ประกอบการธนาคารการเงิน 1 คน และผู้ประกอบการอาชีอื่นๆ ก็จะมีผู้แทนราษฎรประเภทนี้ประมาณ 100 คน
ผู้แทนราษฎรประเภทสรรหา ให้มีคณะกรรมการสรรหาประกอบด้วยประธานองคมนตรี ประธานศาลฎีกา ประธานศาลปกครองสูงสุด ประธานคณะกรรมการ ป.ป.ช. ประธานคณะกรรมการตรวจเงินแผ่นดิน ประธานสภาหอการค้า ประธานสภาอุตสาหกรรม นายกสมาคมธนาคาร และผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย สรรหาผู้ทรงคุณวุฒิโดยรวมกับผู้แทนราษฎรประเภทพื้นที่และประเภทอาชีพแล้วไม่เกิน 300 คน
ด้วยระบบการเลือกตั้งผู้แทนราษฎรดังกล่าวก็จะมีผู้แทนราษฎรที่เป็นผู้แทนราษฎรจริงๆ ไม่ต้องขึ้นต่อนายทาสเพียงคนเดียวเหมือนกับที่ผ่านมาและจะทำลายระบบการซื้อเสียงให้หายไปอย่างสิ้นเชิง
ประการที่สอง สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจะสังกัดพรรคหรือไม่สังกัดพรรคการเมืองก็ได้ ให้เป็นไปตามใจสมัคร เพื่อลดทอนบทบาทและอำนาจของพรรคการเมืองหรือนัยหนึ่งก็คือทำลายการผูกขาดหรือการลงทุนตั้งพรรคการเมืองแบบที่เป็นมาตลอดระยะเวลา 80 ปีที่ผ่านมา เพราะระบบพรรคการเมืองที่ผ่านมานั้นมีฐานะเป็นแค่บริษัทการเมืองหรือสมาคมการเมือง ที่มีแก๊งการเมืองควบคุมบงการโดยไม่ฟังเสียงราษฎรอย่างแท้จริง
ประการที่สาม ให้คงมีคณะกรรมการการเลือกตั้งในส่วนกลาง แต่ให้ยกเลิกองค์กรและพนักงานประจำของ กกต.ประจำในพื้นที่ต่างๆ ทั่วประเทศ ซึ่งได้พัฒนากลายเป็นแก๊งธุรกิจในการทำมาหากินกับการเลือกตั้งไปแล้ว ที่สำคัญ ให้ยกเลิกอำนาจในการแจกใบแดง ใบเหลือง ของ กกต. และให้เป็นหน้าที่ของผู้เสียหายที่จะร้องต่อศาลแพ่ง หรือศาลจังหวัดต่างๆ โดยให้มีแผนกคดีเลือกตั้งขึ้นในศาลแพ่งและในศาลจังหวัดต่างๆ เพื่อพิจารณาปัญหาเกี่ยวกับการเลือกตั้ง
ประการที่สี่ ให้ กกต.กลางมีอำนาจในการขอความร่วมมือให้กรุงเทพมหานครและองค์การบริหารส่วนจังหวัดทั่วประเทศจัดการเลือกตั้งให้เป็นไปตามกฎหมาย หรือถ้าองค์การบริหารส่วนจังหวัดไม่มีความพร้อม ก็ให้มอบแก่จังหวัดต่างๆ เป็นผู้จัดการเลือกตั้ง
ประการที่ห้า ให้มีการตรวจสอบประวัติผู้ที่จะสมัครเป็นผู้แทนราษฎรทั่วประเทศโดยทางสาธารณะ โดยให้ประกาศประวัติโดยเปิดเผยต่อสาธารณะก่อนวันเลือกตั้ง 30 วัน และให้ผู้มีส่วนได้เสียมีโอกาสตรวจสอบ คัดค้าน หรือโต้แย้ง และให้คณะผู้บริหารการเลือกตั้งวินิจฉัยให้แล้วเสร็จก่อนเลือกตั้งไม่น้อยกว่า 15 วัน ถ้าผู้สมัครรับเลือกตั้งไม่เห็นด้วยก็ให้อุทธรณ์ต่อศาลได้
ประการที่หก ผู้สมัครรับเลือกตั้งทุกคนต้องมีคุณสมบัติที่สำคัญคือ
(1) เป็นผู้มีเชื้อชาติไทย และสัญชาติไทยโดยการเกิด และมีอายุไม่น้อยกว่า 30 ปี และไม่เกินกว่า 70 ปี
(2) ไม่เคยถูกศาลพิพากษาจำคุก ไม่ว่าจะมีการรอลงอาญา หรือรอการลงโทษ หรือพ้นโทษแล้วหรือไม่
(3) ไม่เป็นผู้ทุจริตในหน้าที่ราชการ ไม่เคยถูก ป.ป.ช. ชี้มูลความผิด ไม่เคยถูกลงโทษทางวินัยในทางราชการ ไม่เคยถูกฟ้องล้มละลาย และไม่เคยถูกเพิกถอนสิทธิเลือกตั้ง
(4) จะเป็นผู้แทนราษฎร หรือสมาชิกรัฐสภา รวมระยะเวลาเกิน 8 ปีไม่ได้
(5) จะดำรงตำแหน่งทางการเมืองใดๆ ไม่ได้ ยกเว้นจะพ้นจากตำแหน่งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแล้วไม่น้อยกว่า 5 ปี
การปฏิรูปการเลือกตั้งดังกล่าวจะทำให้ได้คนดีมีฝีมือ เห็นแก่ประโยชน์แก่ประเทศชาติเข้ามาเป็นผู้แทนราษฎร และป้องกันมิให้มักใหญ่ใฝ่สูง ไปดำรงตำแหน่งทางการเมืองอื่นในระหว่างที่ดำรงตำแหน่งหรือพ้นตำแหน่งไม่เกิน 5 ปีได้ เป็นการยกเลิกการผูกขาดตำแหน่งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรดังที่เคยเป็นมาตลอดระยะเวลา 80 ปีที่ผ่านมา.