นายพานทองแท้ ชินวัตร บุตรชาย พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี โพสต์เฟซบุ๊กส่วนตัว Oak Panthongtae Shinawatra มีเนื้อหาว่า ผู้ชายชื่อ สนธิ ลิ้มทองกุล มองข้ามช็อตไปแล้ว โดยการออกมาเบรกข้อเสนอของคณะกรรมการประชาชนเพื่อเปลี่ยนแปลงประเทศไทยให้เป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข (กปปส.) และพรรคประชาธิปัตย์ โดยนายสนธิ มองว่า อาจเป็นการดึงเบื้องสูงมาแปดเปื้อนการเมือง
ทั้งนี้ ต้องรอดูว่า จะมีผู้ที่ชอบแอบอ้างความจงรักภักดีกลุ่มไหน ที่ยังดึงดันจะดำเนินการต่อโดยไม่สนใจข้อห่วงใยนี้หรือไม่ ในขณะที่ประเทศประชาธิปไตยทั่วโลก กำลังจับตามอง และตำหนิประเทศไทย ที่ผ่ามมาร่วมครึ่งปีแล้วยังไม่สามารถจัดการเลือกตั้งที่เป็นปัจจัยพื้นฐานของระบอบประชาธิปไตยได้ และในขณะที่ความวุ่นวายในเมืองไทยครั้งนี้ชัดเจนว่า เป็นความขัดแย้งระหว่างประชาชน กับอภิสิทธิ์ชนในการเลือกรัฐบาล เลือกนายกรัฐมนตรี มาบริหารประเทศ
ประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศต้องการการเลือกตั้งแบบ One Man One Vote มาตรฐานเดียวกับระบอบประชาธิปไตย ที่แพร่หลายและใช้กันอยู่ทั่วโลก แต่อภิสิทธิ์ชนซึ่งสถาปนาตัวเองขึ้นเป็นองค์รัฏฐาธิปัตย์ต้องการเลือกนายกรัฐมนตรี และคณะรัฐมนตรีแทนการเลือกตั้งของพี่น้องประชาชน ในเมื่อความต้องการของอภิสิทธิ์ชนทั้งหลายขัดต่อกระแสประชาธิปไตยที่เบ่งบานไปทั่วโลก การกระทำที่ไม่เป็นประชาธิปไตยนี้ ย่อมเสี่ยงต่อการถูกประณามจากคนทั้งโลกว่า ประเทศไทยกำลังทำตัวเป็นตัวถ่วงความเจริญของโลก
อย่างไรก็ตาม คำถามของนายสนธิ คือ แล้วทำไมเหล่าคนดีที่อ้างความจงรักภักดีมาตลอดนี้ จึงไม่รับผิดชอบการกระทำของตนเอง ทำไม จึงยังดำเนินการด้วยวิธีที่เป็นการระคายเคืองเบื้องพระยุคลบาท โดยใช้วิธีอ้าง มาตรา 3 หรือ มาตรา 7 ที่จะต้องทูลเกล้าฯ เพื่อจะให้พระองค์ทรงลงพระปรมาภิไธย ทั้งๆ ที่พระองค์เคยรับสั่งไว้ว่า นายกรัฐมนตรี มาตรา 7 ไม่เป็นประชาธิปไตย ถึงแม้จุดยืนทางการเมืองจะต่างกันสุดขั้ว แต่ต้องยอมรับความคิดอันแหลมคมของ นายสนธิ ที่มองไปข้างหน้าได้ไกล และปกป้องไม่ยอมให้สิ่งที่ไม่เป็นประชาธิปไตยนี้ขึ้นไประคายเคืองสถาบันพระมหากษัตริย์ตามแบบวิธีการของ กปปส. และพรรคประชาธิปัตย์ และต่างกันตรงที่ นายสนธิ ยุให้ทหารออกมาทำการปฏิวัติรัฐประหาร ซึ่งเป็นการกระทำที่ต้องฉีกรัฐธรรมนูญ ภาระทั้งหมดจะตกอยู่กับทหาร ต่างชาติประณามหยามเหยียดอย่างไร เป็นเรื่องของทหาร ทหารจะต้องรับผิดชอบการกระทำของตนด้วยเดิมพันที่สูงเท่าชีวิต
ส่วนผมและพี่น้องในฝั่งประชาธิปไตย รวมถึงพรรคการเมืองทุกพรรค ยกเว้นพรรคประชาธิปัตย์ ยืนยันในระบอบประชาธิปไตยว่า การเลือกตั้ง คือ คำตอบพื้นฐานที่ชัดตรงที่สุด การปฏิรูปการเมือง ปฏิรูปประเทศ หรืออะไรก็แล้วแต่ เป็นเพียงข้ออ้างเท่านั้น ประชาธิปไตยจะต้องมีการเลือกตั้งก่อน และจึงดำเนินการเรื่องอื่นๆต่อ ซึ่งจะกระทำการรัฐประหาร หรือจะเดินหน้าเลือกตั้งอย่างน้อยยังดีกว่า พวกที่กระหายอำนาจ แต่ไม่ยอมรับผิดชอบการกระทำของตน และผลักภาระความรับผิดชอบ ไปให้ไกลๆ ตัว กล้าทำแต่ไม่กล้ารับผิดชอบ แบบนี้เรียกว่าไม่ใช่ลูกผู้ชายตัวจริง
ทั้งนี้ นายสนธิ ลิ้มทองกุล อดีตแกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ได้ขึ้นปราศรัยบนเวทีกองทัพธรรมที่หน้าสถานีโทรทัศน์กองทัพบกช่อง 5 (ททบ.5) เมื่อคืนวันที่ 9 พ.ค. โดยกล่าวช่วงหนึ่งว่า แม้จะไม่ได้ออกมาร่วมกับพี่น้องประชาชน แต่สิ่งที่ตนมั่นใจว่า สิ่งที่ตนเคยพูดไว้ ไม่ผิด ว่าแม้พี่น้องประชาชนจำนวนมากจะเสียสละออกมาทำเพื่อบ้านเมือง แต่หากต้องการชนะ ทหารต้องออกมาทำหน้าที่ของทหาร เราต้องสู้ เพื่อให้ทหารสำนึกถึงเกียรติ และศักดิ์ศรีของตัวเอง เป็นทหารของพระมหากษัตริย์ ไม่ใช่ทหารของระบอบทักษิณ
วันนี้ไม่ใช่เรื่อง มาตรา 3 หรือ มาตรา 7 อีกต่อไป เพราะเรื่องดังกล่าว ถือเป็นการกดดัน และระคายเคืองเบื้องพระยุคลบาท ดังนั้นทหารต้องออกมาทำหน้าที่ ไม่ให้มีใครกดดันองค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ หรือต้องให้พระองค์เลือกข้าง แต่ทหารเลือกข้างได้ และต้องออกมาบอกว่า พระองค์ไม่ต้อง ทหารทำเอง
"การรัฐประหารไม่ใช่เรื่องที่ผิด หากทำเพื่อให้คนดีมีความสามารถเข้ามาเปลี่ยนแปลงประเทศ เพื่อคน 65 ล้านคน และถือเป็นเรื่องสิริมงคล แต่การรัฐประหารแล้วเอาประเทศมาเป็นสมบัติผลัดกันชมแบบที่ พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน กับ พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ ทำนั้น เป็นเรื่องที่น่ารังเกียจ ฝากไปถึงทหารที่ยังมีความจงรักภักดีกับพระบามสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ว่า ต้องเลือกข้าง เพื่อไม่ให้มีเรื่องระคายเคืองเบื้องพระยุคลบาท ต้องออกมาบอกว่า หยุด ชินวัตรออกไป ไม่ต้องใช้ มาตรา 3 หรือ มาตรา 7 ทหารจะจัดการเอง"
นอกจากนี้ นานสนธิ ยังกล่าวอีกว่า ประชาธิปไตยไม่ใช่เรื่องของ 1 สิทธิ์ 1 เสียงเท่านั้น แต่เป็นเรื่องที่ต้องทำให้คน 65 ล้านคนได้รับการจัดสรรผลประโยชน์อย่างทั่วถึง ไม่ใช่แค่นักการเมืองเท่านั้นที่จะเข้ามากอบโกยผลประโยชน์ พี่น้องประชาชนต้องไม่หลงประเด็น การต่อสู้ครั้งนี้ ต้องเอาชาติเป็นตัวตั้ง ไม่ใช่เอาการปฏิรูปการเมืองเป็นตัวตั้ง ทั้งนี้ก็เพื่อให้มีการปฏิรูปประเทศ เพื่อคน 65 ล้านคน ไม่ใช่แค่การปฏิรูปการเมือง เพื่อให้นักการเมือง หรือพรรคการเมืองใด กลับเข้ามาแสวงหาผลประโยชน์ด้วยวิธีที่แยบยลอีกต่อไป
"เราต้องไม่หลงประเด็น อย่าไปหลงวาทกรรมใดๆ ไม่ประนีประนอมทั้งสิ้น นายกฯ คนกลางเราไม่เอา เราต้องการคนที่กล้าหาญเข้ามากำจัดระบอบทักษิณให้สิ้นซาก ส่วนนักการเมืองที่บอกจะเว้นวรรค 1 ปี แล้วให้มีการปฏิรูปนั้น เป็นไปไม่ได้ นักการเมืองต้องออกไป ต้องเสียสละ หยุดเล่นการเมืองไปอย่างน้อย 5 ปี " นายสนธิ กล่าว
ทั้งนี้ ต้องรอดูว่า จะมีผู้ที่ชอบแอบอ้างความจงรักภักดีกลุ่มไหน ที่ยังดึงดันจะดำเนินการต่อโดยไม่สนใจข้อห่วงใยนี้หรือไม่ ในขณะที่ประเทศประชาธิปไตยทั่วโลก กำลังจับตามอง และตำหนิประเทศไทย ที่ผ่ามมาร่วมครึ่งปีแล้วยังไม่สามารถจัดการเลือกตั้งที่เป็นปัจจัยพื้นฐานของระบอบประชาธิปไตยได้ และในขณะที่ความวุ่นวายในเมืองไทยครั้งนี้ชัดเจนว่า เป็นความขัดแย้งระหว่างประชาชน กับอภิสิทธิ์ชนในการเลือกรัฐบาล เลือกนายกรัฐมนตรี มาบริหารประเทศ
ประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศต้องการการเลือกตั้งแบบ One Man One Vote มาตรฐานเดียวกับระบอบประชาธิปไตย ที่แพร่หลายและใช้กันอยู่ทั่วโลก แต่อภิสิทธิ์ชนซึ่งสถาปนาตัวเองขึ้นเป็นองค์รัฏฐาธิปัตย์ต้องการเลือกนายกรัฐมนตรี และคณะรัฐมนตรีแทนการเลือกตั้งของพี่น้องประชาชน ในเมื่อความต้องการของอภิสิทธิ์ชนทั้งหลายขัดต่อกระแสประชาธิปไตยที่เบ่งบานไปทั่วโลก การกระทำที่ไม่เป็นประชาธิปไตยนี้ ย่อมเสี่ยงต่อการถูกประณามจากคนทั้งโลกว่า ประเทศไทยกำลังทำตัวเป็นตัวถ่วงความเจริญของโลก
อย่างไรก็ตาม คำถามของนายสนธิ คือ แล้วทำไมเหล่าคนดีที่อ้างความจงรักภักดีมาตลอดนี้ จึงไม่รับผิดชอบการกระทำของตนเอง ทำไม จึงยังดำเนินการด้วยวิธีที่เป็นการระคายเคืองเบื้องพระยุคลบาท โดยใช้วิธีอ้าง มาตรา 3 หรือ มาตรา 7 ที่จะต้องทูลเกล้าฯ เพื่อจะให้พระองค์ทรงลงพระปรมาภิไธย ทั้งๆ ที่พระองค์เคยรับสั่งไว้ว่า นายกรัฐมนตรี มาตรา 7 ไม่เป็นประชาธิปไตย ถึงแม้จุดยืนทางการเมืองจะต่างกันสุดขั้ว แต่ต้องยอมรับความคิดอันแหลมคมของ นายสนธิ ที่มองไปข้างหน้าได้ไกล และปกป้องไม่ยอมให้สิ่งที่ไม่เป็นประชาธิปไตยนี้ขึ้นไประคายเคืองสถาบันพระมหากษัตริย์ตามแบบวิธีการของ กปปส. และพรรคประชาธิปัตย์ และต่างกันตรงที่ นายสนธิ ยุให้ทหารออกมาทำการปฏิวัติรัฐประหาร ซึ่งเป็นการกระทำที่ต้องฉีกรัฐธรรมนูญ ภาระทั้งหมดจะตกอยู่กับทหาร ต่างชาติประณามหยามเหยียดอย่างไร เป็นเรื่องของทหาร ทหารจะต้องรับผิดชอบการกระทำของตนด้วยเดิมพันที่สูงเท่าชีวิต
ส่วนผมและพี่น้องในฝั่งประชาธิปไตย รวมถึงพรรคการเมืองทุกพรรค ยกเว้นพรรคประชาธิปัตย์ ยืนยันในระบอบประชาธิปไตยว่า การเลือกตั้ง คือ คำตอบพื้นฐานที่ชัดตรงที่สุด การปฏิรูปการเมือง ปฏิรูปประเทศ หรืออะไรก็แล้วแต่ เป็นเพียงข้ออ้างเท่านั้น ประชาธิปไตยจะต้องมีการเลือกตั้งก่อน และจึงดำเนินการเรื่องอื่นๆต่อ ซึ่งจะกระทำการรัฐประหาร หรือจะเดินหน้าเลือกตั้งอย่างน้อยยังดีกว่า พวกที่กระหายอำนาจ แต่ไม่ยอมรับผิดชอบการกระทำของตน และผลักภาระความรับผิดชอบ ไปให้ไกลๆ ตัว กล้าทำแต่ไม่กล้ารับผิดชอบ แบบนี้เรียกว่าไม่ใช่ลูกผู้ชายตัวจริง
ทั้งนี้ นายสนธิ ลิ้มทองกุล อดีตแกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ได้ขึ้นปราศรัยบนเวทีกองทัพธรรมที่หน้าสถานีโทรทัศน์กองทัพบกช่อง 5 (ททบ.5) เมื่อคืนวันที่ 9 พ.ค. โดยกล่าวช่วงหนึ่งว่า แม้จะไม่ได้ออกมาร่วมกับพี่น้องประชาชน แต่สิ่งที่ตนมั่นใจว่า สิ่งที่ตนเคยพูดไว้ ไม่ผิด ว่าแม้พี่น้องประชาชนจำนวนมากจะเสียสละออกมาทำเพื่อบ้านเมือง แต่หากต้องการชนะ ทหารต้องออกมาทำหน้าที่ของทหาร เราต้องสู้ เพื่อให้ทหารสำนึกถึงเกียรติ และศักดิ์ศรีของตัวเอง เป็นทหารของพระมหากษัตริย์ ไม่ใช่ทหารของระบอบทักษิณ
วันนี้ไม่ใช่เรื่อง มาตรา 3 หรือ มาตรา 7 อีกต่อไป เพราะเรื่องดังกล่าว ถือเป็นการกดดัน และระคายเคืองเบื้องพระยุคลบาท ดังนั้นทหารต้องออกมาทำหน้าที่ ไม่ให้มีใครกดดันองค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ หรือต้องให้พระองค์เลือกข้าง แต่ทหารเลือกข้างได้ และต้องออกมาบอกว่า พระองค์ไม่ต้อง ทหารทำเอง
"การรัฐประหารไม่ใช่เรื่องที่ผิด หากทำเพื่อให้คนดีมีความสามารถเข้ามาเปลี่ยนแปลงประเทศ เพื่อคน 65 ล้านคน และถือเป็นเรื่องสิริมงคล แต่การรัฐประหารแล้วเอาประเทศมาเป็นสมบัติผลัดกันชมแบบที่ พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน กับ พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ ทำนั้น เป็นเรื่องที่น่ารังเกียจ ฝากไปถึงทหารที่ยังมีความจงรักภักดีกับพระบามสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ว่า ต้องเลือกข้าง เพื่อไม่ให้มีเรื่องระคายเคืองเบื้องพระยุคลบาท ต้องออกมาบอกว่า หยุด ชินวัตรออกไป ไม่ต้องใช้ มาตรา 3 หรือ มาตรา 7 ทหารจะจัดการเอง"
นอกจากนี้ นานสนธิ ยังกล่าวอีกว่า ประชาธิปไตยไม่ใช่เรื่องของ 1 สิทธิ์ 1 เสียงเท่านั้น แต่เป็นเรื่องที่ต้องทำให้คน 65 ล้านคนได้รับการจัดสรรผลประโยชน์อย่างทั่วถึง ไม่ใช่แค่นักการเมืองเท่านั้นที่จะเข้ามากอบโกยผลประโยชน์ พี่น้องประชาชนต้องไม่หลงประเด็น การต่อสู้ครั้งนี้ ต้องเอาชาติเป็นตัวตั้ง ไม่ใช่เอาการปฏิรูปการเมืองเป็นตัวตั้ง ทั้งนี้ก็เพื่อให้มีการปฏิรูปประเทศ เพื่อคน 65 ล้านคน ไม่ใช่แค่การปฏิรูปการเมือง เพื่อให้นักการเมือง หรือพรรคการเมืองใด กลับเข้ามาแสวงหาผลประโยชน์ด้วยวิธีที่แยบยลอีกต่อไป
"เราต้องไม่หลงประเด็น อย่าไปหลงวาทกรรมใดๆ ไม่ประนีประนอมทั้งสิ้น นายกฯ คนกลางเราไม่เอา เราต้องการคนที่กล้าหาญเข้ามากำจัดระบอบทักษิณให้สิ้นซาก ส่วนนักการเมืองที่บอกจะเว้นวรรค 1 ปี แล้วให้มีการปฏิรูปนั้น เป็นไปไม่ได้ นักการเมืองต้องออกไป ต้องเสียสละ หยุดเล่นการเมืองไปอย่างน้อย 5 ปี " นายสนธิ กล่าว