ปัญญาพลวัตร
โดย...พิชาย รัตนดิลก ณ ภูเก็ต
แม้ยังไม่ทราบว่าจะพิชิตระบอบทักษิณได้อย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาดเมื่อไร แต่ในยามนี้ประชาชนก็รู้สึกโล่งใจไปบ้างไม่มากก็น้อย ด้วยการตัดสินอย่างเที่ยงธรรมของศาลรัฐธรรมนูญที่ทำให้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร พ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี
ยิ่งลักษณ์ ชินวัตรเป็นนักการเมืองที่มีเส้นทางที่แปลกประหลาดพิกลแตกต่างจากนักการเมืองธรรมดาทั่วไป จากนักธุรกิจบ้านจัดสรรที่ไม่รู้ประสีประสากิจการบ้านเมือง อาศัยเวลาเพียง ๔๙ วันในเวทีการเมือง ก็ก้าวไปสู่ตำแหน่งนายกรัฐมนตรีหญิงคนแรกของประเทศไทย ได้อย่างน่าพิศวง
โดยปกติทั่วไปนักการเมืองในระบอบประชาธิปไตยมักมีเส้นทางการเติบโตแบบค่อยเป็นค่อยไป สั่งสมประประการณ์และความรอบรู้รื่องการเมือง จนกระทั่งได้รับการยอมรับจากคนวงการเดียวกันหรือพรรคเดียวกัน จากนั้นก็ได้รับสนับสนุนให้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองที่สำคัญมากขึ้นตามลำดับ
แต่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในกรณี น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตรเบี่ยงเบนไปจากบรรทัดฐานปกติของระบอบประชาธิปไตยทั่วไป หากมิใช่ (ซึ่งไม่ใช่แน่นอน) ว่านักการเมืองผู้นั้นมีความสามารถโดดเด่นเป็นพิเศษจนผู้คนในแวดวงการเมืองยอมรับและยกย่องให้เป็นผู้นำ ก็ย่อมเป็นเพราะมีพลังอำนาจพิเศษบางอย่างที่ทำให้บรรทัดฐานที่มีอยู่เดิมถูกทำลายลงไป
การทำลายบรรทัดฐานของระบอบประชาธิปไตย หรือการละเมิดเบี่ยงเบนไปจากบรรทัดฐาน ย่อมเป็นสิ่งบ่งชี้ถึงความไร้มาตรฐานและความล้าหลังของระบอบประชาธิปไตยในสังคมไทยเป็นอย่างดี
ด้วยเหตุนี้เมื่อเธอดำรงตำแหน่งและต้องแสดงบทบาทนายกรัฐมนตรี เธอจึงแสดงการกระทำหลายอย่างโดยไม่รู้ และไม่เข้าใจในบทบาทในตำแหน่งที่เธอสวมอยู่ เธอยังคงดำรงวิธีคิดแบบนักธุรกิจที่ได้รับมรดกจากครอบครัว จึงทำให้บทบาทที่เธอแสดงออกมาดูขาดๆ เกินๆ พิกล
บทบาทหลักที่เธอแสดงออกมาอย่างโดดเด่นคือการเดินทางท่องเที่ยวไปยังนานาประเทศ การเดินสายโชว์ตัว การทำตัวเสมือนเป็นเจ้าแม่บอกเลขให้ผู้คนนำไปเล่นหวยใต้ดิน และการนั่งเป็นประธานในที่ประชุมโดยไม่รู้เรื่องการประชุมแต่อย่างใด
สำหรับคุณลักษณะด้านในที่เกี่ยวข้องกับสมองและปัญญา สิ่งที่ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร แสดงออกมาสะท้อนถึงความจำกัดอย่างรุนแรงของศักยภาพทางสมองในการคิดและวิเคราะห์ เพื่อเข้าใจโลกและความเป็นจริง เธอจึงมักใช้เหตุผลที่มักจะย้อนกลับมาทำร้ายตนเองเสมอ แม้กระทั่งในวันสุดท้ายที่เธอต่อสู้เพื่อดำรงสถานภาพในตำแหน่งนายกรัฐมนตรี
เหตุผลที่เธอมักใช้อยู่เสมอคือ “ความไม่รู้” “การนั่งเฉยๆเป็นประธานในที่ประชุม” แต่ท้ายที่สุดเหตุผลเหล่านี้ก็มาทำลายเธอเอง เพราะหากเพียงเธอรู้เรื่องสักเล็กน้อย เธอก็คงไม่ร่วมผลักดันให้เกิดการย้ายคุณถวิล เปลี่ยนศรี อย่างไม่เป็นธรรมเพื่อเปิดทางให้ญาติของเธอนั่งตำแหน่ง ผบ.ตร. เพราะนั่นเป็นเรื่องผิดรัฐธรรมนูญ ไม่ใช่เป็นการใช้อำนาจตามหลักนิติรัฐ และยังเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับหลักการขัดกันของผลประโยชน์อีกด้วย แต่ด้วยความไม่รู้และความเข้าใจที่คลุมเคลือ เธอจึงทำไปตามที่พี่ชายและคนรอบข้างบอกให้ทำ
หรือหากเธอรู้จักใช้สมองคิดวิเคราะห์ผลกระทบที่เกิดขึ้นจากนโยบายจำนำข้าว เธอก็คงจะระงับยับยั้งนโยบายนี้ตั้งแต่เกิดความเสียหายอย่างมหาศาลในช่วงปีแรกของการนำนโยบายไปปฏิบัติ แต่นั่นแหละด้วยความที่เธอเป็นนายกรัฐมนตรีแต่เพียงในนาม เป็นเพียงผู้นำเครื่องห่อหุ้มมาสวมใส่ให้ดูเสมือนเป็นนายกรัฐมนตรี บทบาทที่เธอแสดงออกมาจึงหาใช้บทบาทในฐานะนายกรัฐมนตรีผู้ทรงอำนาจแต่อย่างใด
ในอีกด้านหนึ่ง มีคนจำนวนไม่น้อยคิดว่า เมื่อคนที่มีคุณลักษณะและพฤติกรรมอย่างยิ่งลักษณ์ ชินวัตรเป็นนายกรัฐมนตรีได้ คนไทยทุกคนก็สามารถเป็นนายกรัฐมนตรีได้
กระแสความคิดแบบนี้แพร่กระจายออกไปไม่น้อย มองมุมหนึ่งก็อาจคิดได้ว่า น่าจะดีเพราะว่ายิ่งลักษณ์ ชินวัตร ได้สร้างความคิดเชิงความเท่าเทียมในโอกาสขึ้นมา ไม่ว่าจะเป็นคนโง่ หรือ ฉลาด คนขี้โกง หรือ คนซื่อสัตย์ คนไม่รับผิดชอบ หรือคนรับผิดชอบ ทุกคนมีความเท่าเทียมกันหมดในการสวมบทบาทเป็นนายกรัฐมนตรี หากเงื่อนไขเชิงอำนาจทางการเมืองเกื้อหนุนให้เป็น
แต่ในอีกด้านหนึ่ง วิธีคิดแบบนี้จะทำอันตรายและความหายนะแก่สังคมได้อย่างลึกซึ้ง เพราะว่า จะทำให้ผู้คนไม่สนใจว่าใครหรือคนที่มีคุณสมบัติอย่างไรมาเป็นประมุขฝ่ายบริหาร ซึ่งเท่ากับเป็นการเปิดโอกาสให้คนชั่วร้ายทั้งหลายเข้าไปใช้อำนาจทางการเมืองอย่างราบรื่นนั่นเอง
หากสังคมไทยรู้จักเรียนรู้ การเกิดขึ้นของยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ก็จะเป็นบทเรียนสำคัญ ที่คนไทยทุกคนจะต้องจดจำ เป็นบทเรียนที่เจ็บปวด สร้างบาดแผล และรอยมลทินที่แปดเปื้อนประวัติศาสตร์ทางการเมืองไปอีกยาวนาน และเมื่อได้รับบทเรียนแล้ว ก็ต้องรู้จักจดจำและหาหนทางป้องกันไม่ให้เหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นได้อีก
สำหรับยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ในอนาคตเธออาจต้องประสบกับชะตากรรมที่เลวร้ายกว่าการพ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี จากการกระทำของเธอ เธออาจถูกตั้งข้อหาทุจริตเรื่องจำนำข้าว ข้อหาเจ้าหน้าที่ของรัฐใช้อำนาจหน้าที่ในทางที่มิชอบ และข้อหามีส่วนร่วมในการส่งเอกสารเท็จให้ศาลรัฐธรรมนูญ แต่ละข้อหานั้นต่างก็มีหลักฐานชัดเจน และบางเรื่องหลักฐานเหล่านั้นก็ถูกระบุมาโดยองค์กรยุติธรรมเอง ดังนั้นในปีหรือสองปีข้างหน้าประชาชนไทยก็คงได้ยินข่าวการเดินขึ้นศาลของยิ่งลักษณ์ ชินวัตร หรือ ไม่ก็อาจจะได้ยินข่าวว่าเธอได้ย้ายไปอยู่ต่างประเทศแล้ว อันเป็นการเดินตามรอยที่พี่ชายเธอ
ขอให้เหตุการณ์ที่มีคนแบบยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นั่งตำแหน่งนายกรัฐมนตรี เป็นเพียงเหตุการณ์เดียวและเป็นข้อยกเว้นพิเศษทางการเมืองเท่านั้น
แต่หากจะป้องกันไม่ให้เหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นอีก สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ การสร้างระบอบประชาธิไตยในเชิงเนื้อหาและจิตวิญญาณให้เกิดขึ้นในสังคมไทยให้ได้ เพราะหากสังคมไทยยังตกอยู่ในปลักตมของประชาธิปไตยในเชิงรูปแบบหรือลัทธิคลั่งเลือกตั้ง ก็ไม่มีหลักประกันอะไรเลยที่จะบอกว่า เหตุการณ์แบบคนอย่างยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรีจะไม่เกิดขึ้นอีก
การป้องกันเรื่องนี้ได้ ก็คงจะมีแต่การปฏิรูปประเทศอย่างเป็นระบบและรอบด้านเท่านั้น ส่วนการปฏิรูปแบบผิวเผินไม่มีทางที่จะขจัดรอยมลทินทางการเมืองออกไปได้ มันอาจทำให้รอยจางลงไป แต่เมื่อเวลาผ่านไปรอยนั้นก็จะผุดขึ้นมาอีก