ผู้ว่าการธปท.เล็งปรับลดการขยายตัวเศรษฐกิจไทยใหม่ คาดปีนี้ต่ำกว่า 2.7% และส่งออกต่ำกว่า 4.5% จากประมาณการเดิม หลังข้อมูลจริงออกมาต่ำกว่าคาดการณ์มาก ชี้ถึงสิ้นปี 57 จีดีพีไทยไม่ติดลบ แม้เกิดกรณีเลวร้ายสุด ระบุพื้นฐานเศรษฐกิจไทยยังปึ๊ก ห่วงระยะปานกลาง ขาดการลงทุน จะบั่นทอนความเข้มแข็งเศรษฐกิจไทย ย้ำระดับอัตราดอกเบี้ยนโยบายปัจจุบันเหมาะสมเศรษฐกิจไทย เผยเงินบาทไม่ผันผวนช่วงศาลรัฐธรรมนูญตัดสินคดียิ่งลักษณ์
นายประสาร ไตรรัตน์วรกุล ผู้ว่าการ ธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) เปิดเผยว่า ในการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน(กนง.)ครั้งถัดไปช่วงเดือนมิ.ย.นี้จะมีการปรับตัวเลขเศรษฐกิจไทยปีนี้ต่ำกว่า 2.7% ประมาณการเดิม เนื่องจากข้อมูลเศรษฐกิจไทยจริงช่วงไตรมาสแรกต่ำกว่าคาดการณ์ไว้มาก ซึ่งทยอยประกาศออกมาเดือนพ.ค.นี้ พร้อมกันนี้จะปรับลดมูลค่าการส่งออกไทยลดลงกว่า 4.5% ประมาณการเดิมช่วงเดือนมี.ค.ที่ผ่านมาเช่นกัน หลังจากตัวเลขจริงของภาคส่งออกไทยต่ำกว่าคาดการณ์ไว้มาก
“”ต้องดูข้อมูลจริงเป็นระยะๆ เท่าที่ประเมิน แม้กรณีเลวร้ายสุด อัตราการขยายตัวเศรษฐกิจไทยปี 57 ไม่ถึงขั้นติดลบ และจนถึงสิ้นปีนี้เห็นว่าเศรษฐกิจไทยยังรับได้ ยังไม่เห็นสัญญาว่าจะเกิดวิกฤตเศรษฐกิจแต่อย่างใด แม้ตอนนี้มีคนขายของได้น้อยลง ลูกจ้างรายได้น้อย และคนจ้าง จ้างงานน้อยลง อย่างไรก็ตาม ระยะสั้น พื้นฐานเศรษฐกิจไทยยังแข็งแรงสามารถทำงานได้
แต่ห่วงระยะปานกลาง หากขาดการลงทุน ความเข้มแข็งเศรษฐกิจไทยลดลง จึงควรช่วยกันแก้ไขปัญหาอ่อนแออยู่ เพราะไม่เช่นนั้นผลจะปรากฎในวันข้างหน้าได้จากปัญหาที่เกิดขึ้นในขณะนี้”
ทั้งนี้ บอร์ด กนง.พยายามอย่างเต็มที่ในการดำเนินนโยบายการเงินขณะนี้ โดยสถานะของนโยบายการเงินผ่อนคลายค่อนข้างมากแล้วในปัจจุบัน เพื่อประคองเศรษฐกิจ ซึ่งตอนนี้อัตราเงินเฟ้อทั่วไปอยู่ที่ 2.5% และอัตราดอกเบี้ยนโยบายอยู่ที่ 2%ต่อปี ถือว่านโยบายการเงินเหมาะสม ขณะเดียวกันสภาพคล่องในระบบสูงเห็นได้จากสถาบันการเงินไม่วิ่งระดมเงินฝากเหมือนช่วงที่ผ่านมา
เพราะนโยบายการเงินผ่อนคลายมากๆ ส่วนจะให้เศรษฐกิจไทยโตใกล้ศักยภาพก็ต้องอาศัยหลายปัจจัยประกอบกัน
นอกจากนี้ จากการสำรวจความคิดเห็นของผู้ประกอบการไทยล่าสุด พบว่า อัตราดอกเบี้ยระดับปัจจจุบันยังเอื้อต่อการทำธุรกิจ โดยเห็นว่าดอกเบี้ยไม่แพงและไม่ได้มีปัญหาสภาพคล่อง แต่สิ่งที่ภาคธุรกิจต้องการมากกว่า คือ ปัญหาการเมืองคลี่คลายและกำลังซื้อลูกค้ากลับมา
**บาทไม่ผันผวนแม้ยิ่งลักษณ์พ้นตำแหน่ง**
ผู้ว่าการธปท.กล่าวว่า การเคลื่อนไหวของค่าเงินบาทในปัจจุบัน สะท้อนว่าตลาดการเงินมีความเชื่อมั่น แม้เกิดเหตุการณ์พิเศษทางการเมืองกรณีศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยให้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร พ้นตำแหน่งนายกรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 7 พ.ค.ที่ผ่านมากรณีโยกย้ายนายถวิล เปลี่ยนศรีไม่ชอบด้วยกฎหมาย แต่เงินบาทไม่ผันผวน ชี้ให้เห็นว่าต่างชาติเชื่อมั่นเศรษฐกิจมหภาคของไทยอยู่ในเกณฑ์ที่ดี
“ที่ผ่านมามีนักลงทุนต่างชาติสอบถามบ้างว่าเกิดอะไรขึ้น จะจบอย่างไร สำหรับปัญหาการเมืองไทย แต่เขามองว่าเรายังมีปัจจัยพื้นฐานที่ดี ทำให้หวังเรื่องนี้ได้ โดยขณะนี้อัตราแลกเปลี่ยน ตลาดการเงิน ตลาดเครดิต ระบบสถาบันการเงิน ดุลบัญชีเดินสะพัด ดุลการชำระเงินของไทยค่อนข้างมีเสถียรภาพ จึงไม่เห็นสัญญาณอะไรน่าตกใจหรือขาดความเชื่อมั่น”
ต่อข้อซักถามที่ว่า หากสถานการณ์ทางการเมืองแย่กว่าปัจจุบัน ซึ่งขณะนี้สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริต(ป.ป.ช.)พิจารณาโครงการจำนำข้าวของรัฐบาลน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ทางธปท.ได้เตรียมแผนสำรองรับมือไว้อย่างไรบ้าง นายประสาร กล่าวว่า ปกติการบริหารงานควรมีแผนสำรองในสถานการณ์ต่างๆ หลากหลายรูปแบบ แต่ความคิดของผมและคนไทยส่วนใหญ่ไม่ต้องการให้เกิดเหตุการณ์ปะทะกัน และเท่าที่ดูโจทย์ความขัดแย้งกันอยู่วิสัยคุยกันได้ จึงควรเร่งแก้ปัญหาอ่อนแอ
อย่างไรก็ตาม ทุกสำนักมองค่อนไปว่าเศรษฐกิจโลกจะฟื้นตัวขึ้น ทำให้ภาคส่งออกไทยกระเตื้องขึ้น แม้ปีนี้การเติบโตส่งออกต่ำกว่าปีก่อน อีกทั้งภาคส่งออกอย่างเดียวคงไม่สามารถชดเชยอุปสงค์ภายในประเทศขาดหายไปได้ทั้งหมด แต่หวังว่าถ้าการเมืองคลี่คลายในทิศทางดีขึ้น เศรษฐกิจไทยจะสามารถฟื้นตัวได้เร็วและการขยายตัวเศรษฐกิจไทยจะดีขึ้นในปีหน้า.
นายประสาร ไตรรัตน์วรกุล ผู้ว่าการ ธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) เปิดเผยว่า ในการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน(กนง.)ครั้งถัดไปช่วงเดือนมิ.ย.นี้จะมีการปรับตัวเลขเศรษฐกิจไทยปีนี้ต่ำกว่า 2.7% ประมาณการเดิม เนื่องจากข้อมูลเศรษฐกิจไทยจริงช่วงไตรมาสแรกต่ำกว่าคาดการณ์ไว้มาก ซึ่งทยอยประกาศออกมาเดือนพ.ค.นี้ พร้อมกันนี้จะปรับลดมูลค่าการส่งออกไทยลดลงกว่า 4.5% ประมาณการเดิมช่วงเดือนมี.ค.ที่ผ่านมาเช่นกัน หลังจากตัวเลขจริงของภาคส่งออกไทยต่ำกว่าคาดการณ์ไว้มาก
“”ต้องดูข้อมูลจริงเป็นระยะๆ เท่าที่ประเมิน แม้กรณีเลวร้ายสุด อัตราการขยายตัวเศรษฐกิจไทยปี 57 ไม่ถึงขั้นติดลบ และจนถึงสิ้นปีนี้เห็นว่าเศรษฐกิจไทยยังรับได้ ยังไม่เห็นสัญญาว่าจะเกิดวิกฤตเศรษฐกิจแต่อย่างใด แม้ตอนนี้มีคนขายของได้น้อยลง ลูกจ้างรายได้น้อย และคนจ้าง จ้างงานน้อยลง อย่างไรก็ตาม ระยะสั้น พื้นฐานเศรษฐกิจไทยยังแข็งแรงสามารถทำงานได้
แต่ห่วงระยะปานกลาง หากขาดการลงทุน ความเข้มแข็งเศรษฐกิจไทยลดลง จึงควรช่วยกันแก้ไขปัญหาอ่อนแออยู่ เพราะไม่เช่นนั้นผลจะปรากฎในวันข้างหน้าได้จากปัญหาที่เกิดขึ้นในขณะนี้”
ทั้งนี้ บอร์ด กนง.พยายามอย่างเต็มที่ในการดำเนินนโยบายการเงินขณะนี้ โดยสถานะของนโยบายการเงินผ่อนคลายค่อนข้างมากแล้วในปัจจุบัน เพื่อประคองเศรษฐกิจ ซึ่งตอนนี้อัตราเงินเฟ้อทั่วไปอยู่ที่ 2.5% และอัตราดอกเบี้ยนโยบายอยู่ที่ 2%ต่อปี ถือว่านโยบายการเงินเหมาะสม ขณะเดียวกันสภาพคล่องในระบบสูงเห็นได้จากสถาบันการเงินไม่วิ่งระดมเงินฝากเหมือนช่วงที่ผ่านมา
เพราะนโยบายการเงินผ่อนคลายมากๆ ส่วนจะให้เศรษฐกิจไทยโตใกล้ศักยภาพก็ต้องอาศัยหลายปัจจัยประกอบกัน
นอกจากนี้ จากการสำรวจความคิดเห็นของผู้ประกอบการไทยล่าสุด พบว่า อัตราดอกเบี้ยระดับปัจจจุบันยังเอื้อต่อการทำธุรกิจ โดยเห็นว่าดอกเบี้ยไม่แพงและไม่ได้มีปัญหาสภาพคล่อง แต่สิ่งที่ภาคธุรกิจต้องการมากกว่า คือ ปัญหาการเมืองคลี่คลายและกำลังซื้อลูกค้ากลับมา
**บาทไม่ผันผวนแม้ยิ่งลักษณ์พ้นตำแหน่ง**
ผู้ว่าการธปท.กล่าวว่า การเคลื่อนไหวของค่าเงินบาทในปัจจุบัน สะท้อนว่าตลาดการเงินมีความเชื่อมั่น แม้เกิดเหตุการณ์พิเศษทางการเมืองกรณีศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยให้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร พ้นตำแหน่งนายกรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 7 พ.ค.ที่ผ่านมากรณีโยกย้ายนายถวิล เปลี่ยนศรีไม่ชอบด้วยกฎหมาย แต่เงินบาทไม่ผันผวน ชี้ให้เห็นว่าต่างชาติเชื่อมั่นเศรษฐกิจมหภาคของไทยอยู่ในเกณฑ์ที่ดี
“ที่ผ่านมามีนักลงทุนต่างชาติสอบถามบ้างว่าเกิดอะไรขึ้น จะจบอย่างไร สำหรับปัญหาการเมืองไทย แต่เขามองว่าเรายังมีปัจจัยพื้นฐานที่ดี ทำให้หวังเรื่องนี้ได้ โดยขณะนี้อัตราแลกเปลี่ยน ตลาดการเงิน ตลาดเครดิต ระบบสถาบันการเงิน ดุลบัญชีเดินสะพัด ดุลการชำระเงินของไทยค่อนข้างมีเสถียรภาพ จึงไม่เห็นสัญญาณอะไรน่าตกใจหรือขาดความเชื่อมั่น”
ต่อข้อซักถามที่ว่า หากสถานการณ์ทางการเมืองแย่กว่าปัจจุบัน ซึ่งขณะนี้สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริต(ป.ป.ช.)พิจารณาโครงการจำนำข้าวของรัฐบาลน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ทางธปท.ได้เตรียมแผนสำรองรับมือไว้อย่างไรบ้าง นายประสาร กล่าวว่า ปกติการบริหารงานควรมีแผนสำรองในสถานการณ์ต่างๆ หลากหลายรูปแบบ แต่ความคิดของผมและคนไทยส่วนใหญ่ไม่ต้องการให้เกิดเหตุการณ์ปะทะกัน และเท่าที่ดูโจทย์ความขัดแย้งกันอยู่วิสัยคุยกันได้ จึงควรเร่งแก้ปัญหาอ่อนแอ
อย่างไรก็ตาม ทุกสำนักมองค่อนไปว่าเศรษฐกิจโลกจะฟื้นตัวขึ้น ทำให้ภาคส่งออกไทยกระเตื้องขึ้น แม้ปีนี้การเติบโตส่งออกต่ำกว่าปีก่อน อีกทั้งภาคส่งออกอย่างเดียวคงไม่สามารถชดเชยอุปสงค์ภายในประเทศขาดหายไปได้ทั้งหมด แต่หวังว่าถ้าการเมืองคลี่คลายในทิศทางดีขึ้น เศรษฐกิจไทยจะสามารถฟื้นตัวได้เร็วและการขยายตัวเศรษฐกิจไทยจะดีขึ้นในปีหน้า.