ASTVผู้จัดการสุดสัปดาห์ -ในที่สุด “นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” และ “พรรคประชาธิปัตย์” ก็สำแดงตัวตนออกมาให้เห็นแล้วว่า พวกเขาคือ “นักการเมือง” ที่ถ้าเปรียบเทียบกับบัว 4 เหล่าก็เป็นได้แค่เพียง “บัวในโคลนตม” ที่ไม่มีวันเข้าใจในการต่อสู้ของมวลมหาประชาชนที่ต้องการโค่นล้มระบอบทักษิณและต้องการปฏิรูปประเทศไทยให้เป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์ก่อนส่งมอบต่อให้กับบรรดานักการเมืองหรือนักเลือกตั้งเข้ามาบริหารประเทศ
การที่นายอภิสิทธิ์ประกาศตัวเป็น “คนกลาง”ในการเจรจากับฝ่ายต่างๆ มิใช่เป็นการหาทางออกให้กับประเทศ หากแต่คือการหาทางออกให้กับนักโทษชายหนีคดีทักษิณ ชินวัตรและรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ซึ่งมิได้แตกต่างอะไรกับ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบกเลยแม้แต่น้อย
แน่นอน คนที่เจ็บปวดที่สุดเห็นจะหนีไม่พ้นคนที่ทำให้อดีตนักเรียนออกซฟอร์ดผู้นี้ก้าวขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรีของประเทศไทยสมความมุ่งมาดปรารถนา
ดังนั้น จงอย่าแปลกใจว่าทำไม “นายสุเทพ เทือกสุบรรณ” เลขาธิการคณะกรรมการประชาชนเพื่อการเปลี่ยนแปลงประเทศไทยให้เป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์อันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข หรือ กปปส.ถึงกับเบรกแตกและด่ากราดอย่างไม่ไว้หน้าว่า “อย่าสะเออะมาเป็นคนกลาง” เพราะนี่คือ “การเตะตัดขา” หรือ “การทำลาย” กำนันสุเทพโดยตรง
แม้นายสุเทพจะไม่ได้เอ่ยชื่อว่าเป็นใคร แต่ทุกคนย่อมรู้อยู่แก่ใจว่า หมายถึงนายอภิสิทธิ์ ผู้เป็นหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์
คำถามที่เชื่อว่า ทุกคนอยากรู้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งมวลชน กปปส.ก็คือ ทำไมนายอภิสิทธิ์ถึงคิดเช่นนั้น และใครคือจิ๊กซอว์ตัวสำคัญแห่ง Oxford Deal ซึ่งเวลานี้กำลังตกเป็นเป้าของการวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักในทุกองคาพยพของสังคม โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่ศรัทธาในพรรคประชาธิปัตย์มาอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากวิเคราะห์สถานการณ์ทั้งหลายทั้งปวงแล้วมิอาจมองเป็นอื่นได้
-1-
ปรากฏการณ์อภิสิทธิ์ ปรากฏการณ์ดื้อตาใส
จุดเริ่มต้นของสิ่งที่หลายคนใช้คำว่า “ปรากฏการณ์อภิสิทธิ์” เกิดขึ้นเมื่อมีความพยายามของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ได้เผยแพร่คลิปผ่านทางยูทูบความยาว 3.49 นาที เรื่อง “อภิสิทธิ์เดินหน้าหาคำตอบให้ประเทศ” โดยระบุถึงกระบวนการเริ่มต้นในการค้นหาคำตอบของสถานการณ์ทางการเมืองที่จะสามารถนำไปสู่การเดินหน้าประเทศอย่างมั่นคงและมีความเชื่อมั่น และขอโอกาสในการเดินสายเจรจาเพื่อแก้ไขปัญหาประเทศ
จากนั้นนายอภิสิทธิ์ก็เดินสายไปพบปะบุคคลและองค์กรต่างๆ ไม่เว้นแต่ละวัน โดยในวันแรกคือวันที่ 25 เมษายน นายอภิสิทธ์ได้ควงนายชำนิ ศักดิเศรษฐ์ รองหัวหน้าพรรคและนายชวนนท์ อินทรโกมาลย์สุต โฆษกพรรค เดินทางเข้าพบนายกิตติพงษ์ กิตยารักษ์ ปลัดกระทรวงยุติธรรม นายอิสระ ว่องกุศลกิจ ประธานกรรมการหอการค้าไทยและสภาหองการค้าแห่งประเทศไทย นายวิชัย อัศรัสกร รองประธานกรรมการหอการค้าไทยและนพ.สมศักดิ์ ชุณหรัศมิ์ เลขาธิการมูลนิธิสาธารณสุขแห่งชาติ ในฐานะตัวแทนเครือข่ายเดินหน้าปฏิรูปประเทศไทย ตามต่อด้วยการพบ พล.อ.ธนะศักดิ์ ปฏิมาประกร ผู้บัญชาการทหารสูงสุด คณะกรรมการการเลือกตั้ง และประกาศชัดว่าจะต้องหารือกับรัฐบาล แกนนำและมวลชนต่างๆ รวมถึงไม่ปฏิเสธที่จะพุดคุยกับนักโทษชายหนีคดีทักษิณ ชินวัตรเพื่อนำคำตอบมาประกอบกัน ฯลฯ
“ก็คุยได้นะ อะไรที่จะเป็นทางออกของประเทศก็พร้อมจะคุยกับทุกคน ทุกฝ่าย หากฝ่ายใดติดต่อมาขอพบก็ยินดีที่จะพูดคุยเพื่อต้องการให้เกิดการยอมรับและกว้างขวางที่สุด”นายอภิสิทธิ์ตอบเมื่อถูกถามว่าจะคุยกับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ ได้หรือไม่
ทั้งนี้ กล่าวโดยสรุปแล้วแก่นแกนความคิดที่สำคัญของนายอภิสิทธิ์มี 3 ข้อด้วยกันคือ
1.การแก้ปัญหาประเทศต้องผูกพันกับการปฏิรูปและการปฏิรูปต้องไม่ใช่การแก้วิกฤตเฉพาะหน้า แต่ต้องแก้วิกฤตปัญหาระยะยาว
2.การปฏิรูปจะเดินต่อไปได้ สังคมต้องยกเลิกถกเถียงกันว่าจะปฏิรูปก่อนเลือกตั้งหรือเลือกตั้งแล้วปฏิรูป เพราะที่สุดแล้วการเลือกตั้งต้องเป็นส่วนหนึ่งของการปฏิรูป
และ 3.แลกเปลี่ยนแนวความคิดถึงขั้นตอน กลไกทางกฎหมายและทางการเมือง มีความคิดเห็นที่หลากหลายแต่หลักการตรงกัน
นัยจากหลักคิดที่สำคัญยิ่งของนายอภิสิทธิ์ก็คือ เขาได้ปฏิเสธแนวทางของนายสุเทพอย่างสิ้นเชิงด้วยการตั้งคำถามว่า “การปฏิรูปจะเดินต่อไปได้ สังคมต้องยกเลิกถกเถียงกันว่าจะปฏิรูปก่อนเลือกตั้งหรือเลือกตั้งแล้วปฏิรูป” หรือหมายความว่า นายอภิสิทธิ์ที่เคยประกาศเสียงดังฟังชัดว่าต้องปฏิรูปก่อนเลือกตั้งได้กลับหลังหันให้แนวทางนี้อย่างสิ้นเชิง
หากยังจำกันได้ก่อนหน้านี้เมื่อครั้งเลือกตั้ง 2 กุมภาพันธ์ 2557 นายอภิสิทธิ์ก็เคยให้เหตุผลที่พรรคประชาธิปัตย์ไม่ลงเลือกตั้งทั่วไปว่า เพราะเห็นว่านักการเมืองคือตัวปัญหาที่ทำให้เกิดวิกฤตในบ้านเมือง พรรคประชาธิปัตย์จึงขอเว้นวรรคไม่ลงเลือกตั้งครั้งนั้น
แต่วันนี้นายอภิสิทธิ์ประกาศเสียงดังฟังชัดอีกเช่นกันว่า “การเลือกตั้งสำคัญที่สุด” และเดินหน้าอาสาเป็นตัวกลางในการสร้าง “ความปรองดอง” ระหว่างขั้วอำนาจต่างๆ ในบ้านนี้เมืองนี้
ด้วยเหตุดังกล่าวการเคลื่อนของนายอภิสิทธิ์ในครั้งนี้มิอาจตีความเป็นอย่างอื่นได้ว่า ทั้งตัวนายอภิสิทธิ์เองและพรรคประชาธิปัตย์ “ไม่เห็นด้วย” กับแนวทางในการต่อสู้ของนายสุเทพ ไม่เชื่อว่าพลังของมวลมหาประชาชนจะสามารถ “ปฏิรูปก่อนการเลือกตั้ง” ได้สำเร็จ
แน่นอน ในชั้นต้นมีการวิเคราะห์กันว่า การเคลื่อนไหวของนายอภิสิทธิ์เป็นการหาทางลงให้กับนายสุเทพและกปปส.หรือไม่ เพราะต้องยอมรับว่า วันนี้มวลชนและพลังของ กปปส.ไม่เหมือนเดิม และยิ่งนานวันไปก็ยิ่งอ่อนล้าเป็นลำดับจากยุทธศาสตร์และยุทธวิธีขั้นเทพคือการเดินไปเดินมาเพื่อรอ “มะม่วงหล่น”
แต่หลังจากตรวจสอบข้อมูลในเบื้องลึกแล้ว ก็ได้รับคำยืนยันว่า นายสุเทพไม่พอใจการเคลื่อนไหวของนายอภิสิทธิ์ถึงกับ “ควันออกหู” เลยทีเดียว
“ไม่ว่าใครก็ตามอย่าบังอาจตั้งตัวเป็นคนกลางมาเจรจา ไม่ว่าจะเป็นคนที่ผมรู้จัก คนทำงานหรือสนิทสนม อย่ามาสะเออะและขอบอกว่า นายสุเทพที่เล่นการเมืองมา 36 ปีขณะนี้ไม่มีแล้ว วันนี้ผมเป็นเพียงกำนันสุเทพที่เป็นร่างทรงของประชาชนเท่านั้น ดังนั้นผมจึงไม่ฟังใครนอกจากประชาชน โดยประชาชนต้องการให้มีการปฏิรูป เราจึงต้องขับไล่รัฐบาลออกไปเพื่อที่จะเดินหน้าปฏิรูปประเทศให้ดีขึ้นด้วยมือของประชาชน”นายสุเทพประกาศขณะขั้นปราศรัยบริเวณหน้าอาคาร 1 การบินไทย
ถ้านายสุเทพไม่ฉุนขาดคงไม่กล้าใช้คำว่า “สะเออะ” ซึ่งแม้จะไม่ได้มีการเอ่ยชื่อโดยตรง แต่ทุกคนย่อมรู้อยู่แก่ใจว่าหมายถึงนายอภิสิทธิ์ ผู้เป็นหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์
แถมมิใช่ “ควันออกหู” แค่ครั้งเดียว หากแต่นายสุเทพเปิดฉากวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักหน่วงอย่างต่อเนื่อง อย่างน้อยก็ไม่ต่ำกว่า 2 ครั้งด้วยกัน
“ใครจะเกรงใจหรือเกรงกลัวระบอบทักษิณเป็นสิทธิของแต่ละท่าน แล้วใครก็ตามอย่ามาชวนเราให้ถอยคนละก้าว มานั่งพูดคุยกัน อยากบอกว่าไม่มีทางแน่นอน ขอให้เข้าใจว่า ใครก็ตามที่มีข้อเสนอให้เคารพกฎหมาย ให้ไปเลือกตั้ง ขอบอกเลยว่าจะไม่ไปเลือกตั้ง และจะไม่มีการเลือกตั้งอย่างแน่นอน”นายสุเทพประกาศบนเวทีสวนลุมพินีอีกครั้ง
ทั้งนี้ มีข้อมูลยืนยันชัดเจนด้วยว่า การเคลื่อนไหวของนายอภิสิทธิ์ในครั้งนี้ นายสุเทพไม่เคยได้รับรู้มาก่อน หรือหมายความว่า นายอภิสิทธิ์ไม่เคยนำแนวทางการเคลื่อนไหวมาขอหยั่งเสียงหรือสอบถามความคิดเห็นจากนายสุเทพเลยแม้แต่น้อย
แน่นอน ประเด็นไม่ได้อยู่แค่เพียงการนายอภิสิทธิ์ไม่ต้องการให้สังคมเห็นว่า พรรคประชาธิปัตย์เป็นอันหนึ่งอันเดียวกับ กปปส.เท่านั้น หากแต่พรรคประชาธิปัตย์ประสงค์ให้สังคมเห็นว่า พรรคมีแนวทางในการเคลื่อนไหวและตัดสินใจเป็นของตนเอง หรือไม่นายอภิสิทธิ์ก็รู้อยู่เต็มอกว่านายสุเทพไม่เห็นด้วย จึงตัดสินใจดำเนินการในทันที ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร เพราะทุกคนรู้ดีว่านายอภิสิทธิ์นั้น “ดื้อตาใส” เพียงใด
คำถามจึงมีอยู่ว่า ทำไมนายอภิสิทธิ์ถึงได้ปฏิบัติการที่นอกจากจะขัดแย้งกับนายสุเทพและกปปส.แล้ว ยังถือเป็น “การดับอนาคตทางการเมือง” ของตนเองอีกด้วย เพราะหลังจากที่ปล่อยของออกมาเสียงวิพากษ์วิจารณ์จากทั้งแนวร่วมระดับแกนนำของ กปปส. มวลชนที่เข้าร่วมชุมนุม ฐานเสียงของพรรคประชาธิปัตย์ก็ดังอึงมี่ไปในทางลบทั้งสิ้น
า นายสุเทพที่เล่นการเมืองมา 36 ปั้ติ ในฐานะตัวแทนเครือข่ายเดินหน้าปฏิรูปประเทศไก่อนอื่นต้องทำความเข้าใจก่อนว่า นับตั้งแต่นายสุเทพ เทือกสุบรรณ นำทัพประชาชนเริ่มต้นชุมนุมที่สถานีรถไฟสามเสนและกลายเป็น กปปส.เมื่อกว่า 6 เดือนที่ผ่านมานั้น คุณค่าที่มีอยู่ในตัวของนายอภิสิทธิ์ได้ลดน้อยลงไปเป็นลำดับ กลายเป็น “ดาวเคราะห์” ที่ไม่มีแสงสว่างในตัวเองและถูกชักนำให้เคลื่อนตามการชี้นำของมวลมหาประชาชน กปปส.มาอย่างต่อเนื่อง แถมเป็นการชี้นำที่พรรคประชาธิปัตย์ไม่ได้เห็นชอบด้วยทั้งหมดอีกต่างหาก กระทั่งนักการเมืองพรรคประชาธิปัตย์เริ่มตั้งคำถามถามว่า แล้ว...พรรคประชาธิปัตย์ซึ่งยึดมั่นในระบบรัฐสภาอยู่ที่ไหน? แล้ว...หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ที่ชื่อนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะอยู่ที่ไหน?
นั่นเป็นหนึ่งในเหตุผลว่า ทำไมนายอภิสิทธิ์ถึงต้องช่วงชิงการนำเพื่อเรียกคะแนนศรัทธาให้กลับคืนมาก่อนที่คนจะลืมหน้าตาหล่อๆ ไป
และที่สำคัญคือถ้าหากการปฏิรูปประสบความสำเร็จย่อมหมายความว่า ไม่เพียงแค่พรรคเพื่อไทยและนักการเมืองในสังกัดเท่านั้นที่ต้องเว้นวรรคทางการเมือง หากแต่นายอภิสิทธิ์และพรรคประชาธิปัตย์ก็ต้องถูกแช่แข็งไปพร้อมๆ กันด้วย ซึ่งนั่นมิใช่แนวทางของเหล่า “นักการเมือง” อาชีพ หรือผู้มีอาชีพเป็นนักการเมือง
สนธิ ลิ้มทองกุล อดีตแกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยวิเคราะห์แบบฟันธงถึงท่าทีที่เปลี่ยนไปของนายอภิสิทธิ์ว่า “นายอภิสิทธิ์ใช้ไม่ได้ ชอบสวมบทพระเอก ตอนมีอำนาจไม่เคยคิดปฏิรูป วันนี้จะมาเป็นตัวกลางหาทางออกให้ทุกคน เสนอให้ทุกคนมาทำสัตยาบันกันว่าหลังเลือกตั้งต้องปฏิรูป ผมขอถามว่าคนปฏิรูปคือใครก็คือนักการเมือง มันจึงเป็นการทำเพื่อนักการเมืองทั้งนั้น เกมที่เดินคือเจรจาต่อรองให้กลุ่มทักษิณเลิกเล่นการมือง แล้วบอกหาทางออกให้ประเทศ มันไม่ใช่ เพราะแบบนี้ทุกคนกำลังช่วยทักษิณ”
“ผมต้องขอชมเชย นายสุเทพ ที่ออกมาพูดถึงคนรู้จักว่าอย่าสะเออะเสนอตัวเป็นคนกลาง และต้องให้กำลังใจ นายสุเทพต้องไม่ยอมแพ้ในเรื่องนี้ ต้องอึดสู้ต่อ เพราะอย่างไรทักษิณก็ไม่รอดแล้ว…ถ้าไม่ปฏิรูปก่อน คนที่เตะตัดขานายสุเทพวันนี้ คือนายอภิสิทธิ์ ไม่ใช่ผม แต่ยังดีที่นายสุเทพออกมาพูด ไม่เช่นนั้น 6 เดือนที่ผ่านมาสูญเปล่า เพียงเพราะนายอภิสิทธิ์กระสันอยากเลือกตั้ง”นายสนธิแจกแจง
ความจริงต้องบอกว่า ท่าทีของนายอภิสิทธิ์และสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์ที่ประสานเสียงไปในทิศทางเดียวกันนั้น ไม่ใช่เรื่องที่น่าแปลกใจอะไร เพราะมีคำยืนยันจากนายเสรี วงษ์มณฑา นักวิชาการด้านสื่อสารมวลชนชื่อดัง และหนึ่งแนวร่วมของ กปปส.ชัดเจนว่า
“ แกนนำและสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์นั้นไม่เห็นด้วยกับ กปปส. ตั้งแต่นายสุเทพ เทือกสุบรรณ และแกนนำ กปปส.ประกาศยุทธศาสตร์ชัตดาวน์กรุงเทพฯ ในเดือนมกราคม 2557”
“หลังเวทีไม่มีใครด่าคุณอภิสิทธิ์ แต่ก็ไม่มีใครแก้ตัวให้คุณอภิสิทธิ์ คือทุกคนคงจะรู้น้ำเสียงเวลาพี่ถาม ทุกคนก็จะหลีกเลี่ยง และเวลาพี่นั่งรอจะขึ้นเวทีก็ไม่มีใครพูด ไม่มีใครถกเรื่องอภิสิทธิ์เลยแม้แต่น้อย ... พี่อยู่ที่เวทีมาเป็น 6 เดือน พี่เห็นประชาธิปัตย์มาที่นี่เฉพาะ พูดถึงประชาธิปัตย์พวกที่ไม่ขึ้นเวทีนะ มาเฉพาะช่วงราชดำเนิน พอชัตดาวน์เขาหายไปเลย เพราะตอนนั้นพี่บอกได้เลย นี่เอาความลับมาเปิดเผยว่า พวกประชาธิปัตย์ส่วนใหญ่ไม่เห็นด้วยกับการชัตดาวน์ เหลืออยู่ไม่กี่คนที่มาหรือขึ้นเวที” นายเสรีให้สัมภาษณ์ “รัชชพล เหล่าวานิช” ทางสถานีวิทยุเอฟเอ็ม 101 Radio Report One
ความหมายของ ดร.เสรี มิอาจตีความเป็นอื่นได้ว่า นายอภิสิทธิ์และพรรคประชาธิปัตย์รังเกียจการเมืองข้างถนน และเป็นคำยืนยันที่ชัดเจนยิ่งว่า นายอภิสิทธิ์ไม่เห็นด้วยกับแนวทางการเคลื่อนไหวของนายสุเทพและมวลมหาประชาชน กปปส.
นอกจากนี้ น่าจะยังมีเหตุผลซึ่งมีความเป็นได้สูงยิ่งว่า เป็นเพราะนายอภิสิทธิ์และพรรคประชาธิปัตย์พินิจพิเคราะห์เหตุและผลโดยละเอียดถี่ถ้วนแล้วเห็นว่า “ทฤษฎีมะม่วงหล่น” ที่นายสุเทพและกปปส.เฝ้ารอคอยอย่างใจจดใจจ่อนั้น จะไม่ประสบความสำเร็จอย่างที่คาดหวังใหม่ คือจะไม่ทำให้ประเทศตกอยู่ในสภาวะสุญญากาศตามคำพิพากษาของศาลรัฐธรรมนูญในคดีโยกย้ายนายถวิล เปลี่ยนศรี เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ(สมช.)และสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ(ป.ป.ช.)ในคดีทุจริตการรับจำนำข้าว
เพราะถึงอย่างไร “ความเป็นรัฐบาลรักษาการ” ก็ยังมีสภาพบังคับใช้อยู่ตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ ซึ่งเมื่อเป็นเช่นนั้น ทฤษฎีมะม่วงหล่นจึงไม่ประสบความสำเร็จในเชิงรูปธรรม และสุดท้ายการเมืองก็มิอาจหลีกเลี่ยงการเข้าสู่โหมดเลือกตั้งได้
ดังเช่นที่นายนพดล ปัทมะ กรรมการกิจการพรรคเพื่อไทย(พท.) และที่ปรึกษาทางกฎหมายของนักโทษชายหนีคดีวิเคราะห์เอาไว้อย่างน่าฟังว่า “ที่บ้านเมืองมาถึงจุดวิกฤตที่สุดในขณะนี้ นายอภิสิทธิ์อาจสำนึกและเห็นว่าแนวทางของ กปปส.และการบอยคอตการเลือกตั้งของพรรคประชาธิปัตย์ไปไม่ได้และถึงทางตัน ความตั้งใจให้เกิดสุญญากาศทางการเมืองทำให้พวกตนอาจขาดอากาศหายใจเสียเอง”
-2-
ใครคือ “ไอ้โม่ง” แห่ง Oxford Deal?
กระนั้นก็ดี คำถามที่เกิดขึ้นถัดมาก็คือ นายอภิสิทธิ์และพรรคประชาธิปัตย์มั่นใจได้ว่า แนวทางทางการเมืองที่พวกเขากำลังชูธงอยู่นั้น มีโอกาสประสบความสำเร็จมากกว่าล้มเหลว
แน่นอน ความมั่นใจของนายอภิสิทธิ์จะเกิดขึ้นไม่ได้เลยถ้าเขาไม่ได้รับสัญญาณอะไรบางประการ
และสัญญาณอันเป็นที่มาของ “ความสะเออะ” ในครั้งนี้ มีข้อมูลหลักฐานยืนยันได้ว่ามีที่มาจากอภิมหาโปรเจ็กต์ซึ่งรู้กันในชื่อ Oxford Deal
“ความจริงมีหลายคนคัดค้านและไม่เห็นด้วยนะกับการเคลื่อนไหวในจังหวะนี้ของคุณอภิสิทธิ์ เพราะเห็นว่าควรจะรอดูศาลรัฐธรรมนูญตัดสินก่อนมาผลจะออกมาเป็นอย่างไร แต่คุณอภิสิทธิ์เชื่อมั่นในระบบ และคิดว่าระบบรัฐสภาที่เป็นอยู่ในปัจจุบันจะสามารถแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นในขณะนี้ได้”แหล่งข่าวระดับสูงในพรรคประชาธิปัตย์ให้ข้อเท็จจริง
พล.ร.ท.ประทีป ชื่นอารมณ์ อดีตผู้บัญชาการหน่วยปฏิบัติการลำน้ำโขง(นปข.) เปิดเผยในรายการสภาท่าพระอาทิตย์ทางสถานีโทรทัศน์เอเอสทีวีถึงปรากฏการณ์การณ์อภิสิทธิ์และ Oxford Deal ว่า “มีสัญญาณที่ส่งมาให้และมีน้ำหนัก ที่นายอภิสิทธิ์ตัดสินใจว่าต้องทำ ตัดสินใจออกมาเล่นหมากเก็บท่ามกลางการเล่นหมากรุกของนายสุเทพ เป็นเพราะว่าเกิดจากสัญญาณที่เรียกว่าดีลหรือไม่ จากสายข่าวที่บอกว่ามีตัวละครสำคัญรูปร่างสูง เป็นนักการเมืองไทย ไปทำดีลที่อังกฤษกับผู้หญิงที่ไว้ผมทรงสูงชะโชกหรือทรงกระบังลม คุยกันแล้วตกลงกันเป็นมั่นเหมาะ ที่เรียกว่าออกซฟอร์ดดีลก็เพราะนายอภิสิทธิ์จบจากมหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ด ตัวละครสำคัญคนนี้ก็จบจากออกซฟอร์ดเช่นกัน โดยไปตกลงกันเมื่อไม่นานมานี้ ก่อนนายอภิสิทธิ์ออกมาขับเคลื่อน ปรากฏการณ์นี้มันมีการคุยกันก่อนเป็นดีลที่สำคัญแล้วถึงออกมาปฏิบัติการ มันสอดคล้องกับที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์บอกว่าเป็นนิมิตหมายที่ดี อย่างไรก็ตาม ผมก็ไม่แน่ใจร้อยเปอร์เซ็นต์ว่า ตัวละครตัวนี้เป็นนักการเมืองรูปร่างสูงหรือไม่”
ตัวละครตัวนี้ ในเบื้องต้นหลายคนตั้งข้อสงสัยไปที่ “นายกรณ์ จาติกวณิช” แต่เมื่อตรวจสอบข้อมูลเชิงลึกแล้วพบว่า นายกรณ์มิได้เกี่ยวข้อง มิหนำซ้ำ ยังมีความเป็นไปได้ด้วยว่าไม่เห็นด้วยกับวิธีการของนายอภิสิทธิ์เสียด้วยซ้ำไป
ปัญหาจึงมาหยุดลงตรงที่ว่าแล้วใครคือไอ้โม่งแห่ง Oxford Deal ตัวจริง ซึ่งเป็นตัวเชื่อมระหว่างนายอภิสิทธิ์และนายใหญ่คนเสื้อแดง?
ด้วยเหตุดังกล่าวจึงจำต้องมาวิเคราะห์สถานการณ์ รวมทั้งประมวลผลจากข้อมูลของแหล่งข่าวระดับสูงภายในพรรคประชาธิปัตย์ว่า ข้อเท็จจริงในเรื่องนี้เป็นอย่างไร
ความจริงถ้าจะว่าไปแล้ว การเคลื่อนไหวของนายอภิสิทธิ์สอดคล้องกับความเคลื่อนไหวของนักโทษชายหนีคดีทักษิณ ชินวัตรที่ออกมาประกาศก่อนหน้านี้ว่า ตระกูลชินวัตรพร้อมจะถอยในทางการเมือง และชัดเจนว่าต้องการให้ทุกฝ่ายเดินหน้าไปสู่การเลือกตั้งอย่างพอเหมาะพอเจาะ
“ถ้าทุกฝ่ายคืนความยุติธรรมให้ประเทศแล้วขอให้จบ จะให้คนตระกูลชินวัตรเลิกเล่นการเมืองก็พร้อม เพราะถ้าปล่อยอย่างนี้ไปเรื่อยๆ ก็เสี่ยงเกิดความรุนแรง”นช.ทักษิณกล่าว
ความเคลื่อนไหวของนักโทษชายหนีคดีทักษิณและนายอภิสิทธิ์ดำเนินไปในทิศทางเดียว กระทั่งทำให้สามารถบ่งชี้ได้ว่ามีการตกลงในทางลับกับนายใหญ่คนเสื้อแดง โดยมีข้อแลกเปลี่ยนบางประการเพื่อทำให้พรรคประชาธิปัตย์มั่นใจที่จะกระโดดเข้าสู่สนามเลือกตั้งอีกครั้ง
ดังนั้น จงอย่าแปลกใจที่ “นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” รักษาการนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ผู้เป็นน้องสาวของนักโทษชายหนีคดีทักษิณ ชินวัตร จึงเห็นดีเห็นงามกับการเคลื่อนไหวของนายอภิสิทธิ์ในครั้งนี้ ดังปรากฏในคำให้สัมภาษณ์ว่า....
“เป็นนิมิตหมายอันดีที่หันหามาเจรจากัน และเป็นจุดเริ่มต้นที่ดี อย่างน้อยเพื่อหาจุดร่วม เดินหน้าสู่การเลือกตั้ง ให้อยู่ในกรอบ แต่ต้องขอดูรายละเอียดการหารือ ขณะที่การพูดคุยกับรัฐบาลและนายกรัฐมนตรี โดยตรงนั้นยังไม่ได้รับการนัดหมาย แต่รัฐบาลและตนเองพร้อมเปิดกว้างตลอด ให้มีการพูดคุยกัน เพื่อหาทิศทาง กลับเข้าสู่ประชาธิปไตย และรัฐธรรมนูญ และรู้สึกดี ที่นายอภิสิทธิ์ ไม่อยากให้มีการเกิดการปฏิวัติรัฐประหาร หรือใช้ความรุนแรงในการหาทางออกส่วนจะต้องพูดคุยกับพันตำรวจโททักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ด้วยหรือไม่ เห็นว่านายอภิสิทธิ์ ต้องคุยกับทุกคน เพราะยังไม่แน่ใจว่าแนวความคิดนี้จะเป็นจุดร่วมที่คนส่วนใหญ่เห็นด้วยหรือไม่ ในส่วนของรัฐบาลเองเปิดโอกาสให้ทุกคน ในการเสนอแนวทางหาทางออกของประเทศ ซึ่งวันนี้น่าจะเห็นความชัดเจน เพราะเป็นการแก้ปัญหาตามกรอบรัฐธรรมนูญต่างจากก่อนหน้านี้ที่เป็นข้อเสนอนอกกรอบรัฐธรรมนูญซึ่งไม่สามารถดำเนินการได้”
สอดคล้องกับสิ่งที่ “ไพศาล พืชมงคล” อดีตสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติวิเคราะห์เอาไว้ว่า “มีการเจรจากันเพื่อที่จะให้นายอภิสิทธิ์เป็นนายกฯ แล้วมีคนเอาแผนงานไปเสนอผู้ใหญ่คนหนึ่ง เพื่อว่าเมื่อเป็นนายกฯ แล้วจะทำอะไร นี่จึงเป็นที่มาของการเจรจา สำหรับระบอบทักษิณ การที่มีนายอภิสิทธิ์เป็นนายกฯ ดีกว่าถูกทหารปฏิวัติ ดีกว่าให้มีการนำความกราบบังคมทูลฯ เสนอชื่อนายกฯ ตามมาตรา 7 ซึ่งอาจเป็นคนตงฉินของแผ่นดินเข้ามา แต่ถ้านายอภิสิทธิ์เป็นนายกฯ ระบอบทักษิณไม่กระเทือน ระบอบทักษิณจะได้ประโยชน์มากกว่าที่จะถูกปฏิวัติ หรือมีนายกฯ ตามมาตรา 7 เพราะไม่รู้เป็นใคร ถ้าไปเจอคนตงฉิน เป็นคนดีศรีแผ่นดินของบ้านเมืองขึ้นมา มันก็เสี่ยงต่อระบอบทักษิณ เพราะฉะนั้นถ้าเจรจากันให้คนอื่นเป็นนายกฯ สัก 1 ปี หลังจากนั้น ป.ป.ช. ก็ชี้มูลสัก 1 เรื่องก็ไปเหมือนกัน เขาบอกแล้วว่าเขาจะพัก 1 ปี ไม่ใช่พูดเฉยๆ มันมีการเตรียมการมามากมาย”
นั่นเป็นเรื่องที่ต้องพิสูจน์ความจริง
กระนั้นก็ดี การแสวงหาข้อเท็จจริงก็ได้มาหยุดลงตรงที่ว่า เมื่อนักโทษชายหนีคดีและระบอบทักษิณเป็นผู้ได้ประโยชน์สูงสุดจากการเลือกตั้ง เพราะการเลือกตั้งคือเป้าหมายสูงสุดที่ทำให้ระบอบทักษิณสามารถกลับคืนสู่อำนาจได้เร็วที่สุดและชอบธรรมที่สุดมากกว่าวิธีอื่นๆ ไมว่าจะเป็นการปฏิวัติหรือการคงสภาพรัฐบาลรักษาการ ดังนั้น เขาจึงจำเป็นต้องทำทุกทางเพื่อให้เกิดการเลือกตั้งดังจะเห็นจากการปล่อยข่าวเรื่องตระกูลชินวัตรจะวางมือทางการเมือง หรือการที่นางสาวยิ่งลักษณ์ไปเจรจากับกกต.และได้บทสรุปร่วมกันอย่างชื่นมื่นในเรื่องวันเลือกตั้งที่จะเกิดขึ้นในวันที่ 20 กรกฎาคม 2557
แล้วใครคือจิ๊กซอว์ที่เชื่อมระหว่างนักโทษชายหนีคดีทักษิณกับนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เพราะเชื่อได้ว่านักโทษชายหนีคดีทักษิณไม่ได้ต่อสายคุยกับนายอภิสิทธิ์โดยตรง
แน่นอน ตัวละครตัวนี้ต้องเป็นคนที่นักโทษชายหนีคดีทักษิณไว้ใจมาก และประกาศออกมาชัดเจนว่า ต้องการเห็นบ้านเมืองเดินหน้าไปสู่การเลือกตั้ง เผลอๆ จะมากกว่านายอภิสิทธิ์เสียด้วยซ้ำไปเเพราะเงื่อนไขครั้งนี้สมประโยชน์ สำหรับนายทหารที่ต้องการรอเวลาเกษียณอายุราชการ เพราะถ้าไม่อยากเปลืองตัว ไม่อยากถูกลากและถูกบีบให้ทำรัฐประหาร ก็ต้องทำทุกวิถีทางให้เกิดการเลือกตั้งให้จงได้
คนๆ นั้นมีความเป็นไปได้สูงยิ่งว่าคือ “พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา” ผู้บัญชาการทหารบก คนปัจจุบัน
“ทหารต้องรักษาความมีเสถียรภาพของรัฐไว้ให้ได้หากยังทะเลาะกันทุกหย่อมหญ้า มีความรุนแรงเกิดขึ้นหากทหารและตำรวจไม่ดูแลตรงนี้ก็ถือว่าเป็นรัฐที่ล้มเหลว วันนี้เราจึงพยายามรักษาตัวนี้ไว้เพื่อให้ทุกพวกทุกฝ่ายหาทางคลี่คลายลงให้ได้ ว่าจะทำอย่างไรไม่ให้ไปสู่ความเป็นรัฐที่ล้มเหลว จะอ้างเหตุผลโน้นนี่กันมันไม่มีทางจบอยู่แล้ว เพราะฉะนั้นต้องหาทางออกกันให้ได้ ทุกฝ่ายต้องออกมาหารือกัน ผมคิดว่าเงื่อนไขก็มีอยู่แล้ว เมื่อมีเงื่อนไข มันก็มีความขัดแย้งต้องว่าเงื่อนไขมันมีอะไรกัน ผมไม่รู้ไปเสนออะไรได้”
“ไม่ได้ว่าใครผิดใครถูก แต่หากจะให้พูดก็ผิดด้วยกันทั้งสองฝ่าย หรือจะว่าถูกก็ถูกด้วยกันทั้งสองฝ่าย ก็ต้องไปแก้กันเอง หรือจะให้กระบวนการยุติธรรมตัดสินออกมาแล้วก็ให้ไปแก้กัน หากยังไม่ทำอะไรกันเลยมันก็อยู่อย่างนี้ หาทางจบไม่ได้เพราะมันมีเงื่อนไขกันอยู่ ก็ต้องหาทางให้ได้ว่า มันผิดมันถูกที่ไหน. อย่าเอาทหารไปอยู่ข้างใดข้างหนึ่ง ทหารมีหน้ารักษากฎหมาย รักษากฎกติกากติกา ไม่เข้าข้างไหน”พล.อ.ประยุทธ์กล่าวขณะเดินทางไปร่วมงานสถาปนาหน่วย พล.ร.7 จ.เชียงใหม่ ซึ่งแสดงให้เห็นถึงจุดยืนอย่างชัดเจน
และถ้าจะมีใครสักคนที่ทำให้นายอภิสิทธิ์เชื่อใน Oxford Deal คนๆ นั้นก็น่าจะคือ พล.อ.ประยุทธ์ เพราะมีเก้าอี้ผู้บัญชาการทหารบกเป็นหลักประกัน
ทั้งนี้ กล่าวสำหรับนายอภิสิทธิ์หากจะแก้ตัวว่านายอภิสิทธิ์โดนหลอกด้วยความไร้เดียงสาก็ไม่น่าจะใช่ เพราะนายอภิสิทธิ์ไม่ใช่ตาสีตาสาหากแต่เคยเป็นถึงนายกรัฐมนตรีของประเทศไทย เป็นถึงหัวหน้าพรรคการเมืองที่เก่าแก่ที่สุดในประเทศไทย เว้นเสียแต่ว่าจะเป็นความยินยอมพร้อมใจจริง
แน่นอน การเคลื่อนไหวของนายอภิสิทธิ์ย่อมทำให้มวลชนและแนวร่วม กปปส.ไม่พอใจเป็นอย่างมาก เพราะทุกคนเห็นไม่เข้าใจว่าทำไมนายอภิสิทธิ์ถึงเลือกที่จะมีการเคลื่อนไหวในช่วงที่สถานการณ์กำลังเดินทางมาถึงจุดสุดท้าย และรัฐบาลยิ่งลักษณ์กำลังพินาศจากฝีมือของศาลรัฐธรรมนูญในคดีโยกย้ายนายถวิล เปลี่ยนศรี เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ(สมช.)และสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ(ป.ป.ช) ในคดีทุจริตรับจำนำข้าว
เว้นเสียแต่ประดา “แมลงสาบพันธุ์แท้” ที่หน้ามืดตามัวเชียร์กันอย่างไม่ลืมหูลืมตาเท่านั้นม
นายเสรี วงษ์มณฑา นักวิชาการด้านสื่อสารมวลชนชื่อดัง และหนึ่งแนวร่วมของ กปปส.ได้ให้สัมภาษณ์สถานีวิทยุเอฟเอ็ม 101 Radio Report One ซึ่งสะท้อนความไม่พอใจที่เกิดขึ้นในมวลชนกปปส.เอาไว้อย่างชัดเจนว่า สิ่งที่หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ทำอยู่ทุกวันนี้ไม่ถูกเวลาและขาดความชัดเจน การปฏิรูปภายใต้รัฐธรรมนูญควบคู่ไปกับการเลือกตั้ง การปฏิรูปก่อนการเลือกตั้งมีข้อจำกัด แปลว่าอะไร? คุณอภิสิทธิ์แปลว่าอะไร? แปลว่าตกลงคุณจะให้เลือกตั้งแล้วไปปฏิรูป แต่ถ้าเกิดเราฟังในรายการทีวี ลูกน้องแกเหมือนพยายามจะพูดว่าก็จะมีบางอย่างเริ่มต้นปฏิรูปไปก่อน แล้วก็เลือกตั้ง หลังจากนั้นก็ให้มีความมั่นใจว่าหลังจากเลือกตั้งแล้ว การปฏิรูปจะดำเนินการต่อไป ลูกน้องก็ตีความว่าอย่างนั้น แต่สำหรับมวลมหาประชาชนเราปักใจเชื่อแน่ว่า ถ้าจะปฏิรูปรอบนี้ขออย่ามีนักการเมืองเข้ามาเกี่ยวมาข้องได้ไหม”
“...พอวันนี้นายอภิสิทธิ์เดินสายหาทางออกให้ประเทศ จึงทำให้มีคนครหาว่านายอภิสิทธิ์อยากให้มีการเลือกตั้ง-อยากเป็นนายกฯ ขณะที่คนใกล้ชิดหรือคนที่เชียร์นายอภิสิทธิ์ก็จะออกมาแก้ตัวว่า นายอภิสิทธิ์อาจจะโดนลูกพรรคที่อยากลงเลือกตั้งบีบ ทำให้นายอภิสิทธิ์ต้องแสดงท่าทีเดินสายไกล่เกลี่ยกับทุกฝ่ายอยู่ในปัจจุบัน แต่คุณอภิสิทธิ์เดินผิดเส้นผิดทางเพราะความหยิ่งยโสอวดดีที่คิดว่าตัวเองเป็นคนเก่ง ... อย่างพี่ยังมองแกดีข้อหนึ่งว่า ในฐานะเป็นหัวหน้าพรรคฝ่ายค้านและเป็นอดีตนายกรัฐมนตรีจะนั่งงอมืองอเท้าอยู่เฉยๆ ไม่ทำอะไรเลยก็ไม่ได้ เพราะฉะนั้นแกลุกขึ้นมาทำน่ะดีแล้ว แต่ในยามวิกฤตอย่างนี้ต้องทำอย่างชัดเจน แจ่มแจ้ง โปร่งใส ไร้ความอยากรู้อยากเห็นจากสาธารณะ เผอิญสิ่งที่แกทำมันขาดข้อนี้ มันเต็มไปด้วยความกำกวม มันเต็มไปด้วยความลับ มันเต็มไปด้วยข้อน่าสงสัย ไม่ประจักษ์แจ้ง มิหนำซ้ำคำพูดของแกยังตีความไปด้วยว่า แกอยากเลือกตั้งก่อนปฏิรูป”
อย่างไรก็ตาม ในขณะที่นายอภิสิทธิ์กำลังเดินสายเพื่อเป็น “พระเอกขี่ม้าขาว” ในการปรองแดงนั้น ท้ายที่สุดแล้วดูเหมือนว่า ความพยายามของเขานอกจากจะยังย่ำอยู่กับที่และไม่เห็นผลเป็นรูปธรรมชัดเจนแล้ว ยังต้องบอกว่า ล้มเหลวไม่เป็นท่า เพราะไม่มีใครเล่นด้วย โดยเฉพาะนายสุเทพและกปปส.ที่ประกาศการเคลื่อนไหวครั้งใหญ่ออกมาเป็นที่เรียบร้อยแล้วเมื่อวันที่ 30 เมษายน 2557 ที่ผ่านมา โดยกำหนดนัดหมายแรกให้มาร่วมกันทำสัตยาธิษฐานเพื่อถวายพระพรชัยมงคลพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในวันฉัตรมงคล 5 พฤษภาคม จากนั้นได้กำหนดชุมนุมใหญ่เพื่อ “เผด็จศึก” รัฐบาลพร้อมสถาปนาอำนาจรัฏฐาธิปัตย์ในวันที่ 14 พฤษภาคม 2557 ท่ามกลางเสียงโห่ร้องยินดีของมวลมหาประชาชน
งานนี้ นายอภิสิทธิ์ถึงกับต้องแก้เกมเป็นพัลวันว่า ถ้าหากภารกิจครั้งนี้ประสบความสำเร็จ เขาจะไม่ลงสมัครรับเลือกตั้งในศึกเลือกตั้งที่กำลังจะมาถึงเพื่อแสดงความบริสุทธิ์ใจ
ทว่า นั่นสายเกินไปเสียแล้ว
เนื่องเพราะปฏิบัติการอภิสิทธิ์ภายใต้รหัส Oxford Deal ล้มเหลวไม่เป็นท่า และสังคมได้เห็นแล้วว่า นายอภิสิทธิ์มิได้ต้องการที่จะถอนรากถอนโคนระบอบทั้งสิ้นแต่ประการใด
ดังนั้น ความรับผิดชอบเดียวที่นายอภิสิทธิ์พึงกระทำก็คือ การประกาศลาออกจากตำแหน่งหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ในทันที ไม่เช่นนั้นแล้ว พรรคประชาธิปัตย์จะได้รับบทเรียนจากความสะเออะครั้งนี้ตอบแทนอย่างสาสมเลยทีเดียว โดยเฉพาะในพื้นที่กรุงเทพมหานครและภาคใต้
ส่วนปฏิบัติการภายใต้รหัส วันเผด็จศึก ของนายสุเทพที่จะเกิดขึ้นในวันที่ 14 พฤษภาคม 2557 นั้น เงื่อนปมแห่งความสำเร็จมีเพียงประการเดียวมวลมหาประชาชนออกมามากพอที่จะกดดันให้ทหารตัดสินใจเลือกข้าง แต่ทั้งนี้ทั้งนี้ก็ต้องขึ้นอยู่กับว่า “บิ๊กถั่งเช่า” จะเล่นด้วยหรือไม่ ถ้าบีบให้บิ๊กถั่งเช่าให้ยืนอยู่ข้างมวลมหาประชาชนไม่สำเร็จ โอกาสที่จะประสบความสำเร็จในการถอนรากถอนโคนระบอบทักษิณคงไม่ได้เกิดขึ้นง่ายๆ
ที่สำคัญคือ ใครที่คาดหวังว่า ทหารจะทำรัฐประหาร บอกได้เลยว่า ยาก เพราะยังมีอีกหนึ่งช่องที่บิ๊กถั่งเช่าเตรียมไว้คือการประกาศกฎอัยการศึกเพื่อควบคุมสถานการณ์ จากนั้นก็นำพาประเทศไปสู่การเลือกตั้งเหมือนดังเช่นที่นายใหญ่คนเสื้อแดงและนายใหญ่พรรคประชาธิปัตย์ต้องการ
ส่วนการปฏิรูป.....มิพักต้องเอ่ยถึง