ASTVผู้จัดการสุดสัปดาห์ -เวลานี้ เพลงที่กำลังดังเปรี้ยงปร้าง แถมชื่อเพลงยังได้กลายเป็นคำฮิตที่ผู้คนใช้กันอย่างแพร่หลายในโลกสังคมออนไลน์และชีวิตประจำวันก็คือเพลงที่มีชื่อว่า “อย่ามโน” ของ 2 สาวสุดแซ่บ ใบเตย อาร์สยามและกิ๊บซี่ เกิร์ลลี่เบอร์รี่ จากค่ายเฮียฮ้อ
โดยเฉพาะท่อนฮุคที่หลายคนคุ้นหูกันเป็นอย่างดี
“อย่ามนม อย่ามโน ท่องนะโมไว้เลย
อย่ามนม อย่ามโน เก็บอาการบ้างนะ
อย่ามนม อย่ามโน ท่องนะโมไว้เลย
อย่ามโนแต่ช่วยโชว์ข้างในว่าคิดอะไรอะ”
ประมาณว่า ขอความกรุณาอย่าจินตนาการหรือมโนภาพหรือเข้าใจไปเองอย่างที่ตัวเองอยากให้เป็น
ทั้งนี้ ถ้าจะว่าไปแล้วเพลงดังกล่าวช่างบังเอิญสอดรับกับสถานการณ์ทางการเมืองของประเทศไทยในเวลานี้เสียยิ่งกระไร เพราะเมื่อพินิจพิเคราะห์ดูแล้วจะเห็นได้ว่า ตัวละครเอกทั้ง 3 คนต่าง “มโน” กันไปเอง
ไม่ว่าจะเป็น พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบก ไม่ว่าจะเป็นนายจตุพร พรหมพันธุ์ ประธานแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ(นปช.) คนใหม่ หรือแม้กระทั่งนายสุเทพ เทือกสุบรรณ เลขาธิการคณะกรรมการประชาชนเพื่อการเปลี่ยนแปลงประเทศไทยให้เป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์ อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขหรือกปปส. ก็ล้วนแล้วแต่ “มโน” กระทั่งไม่รู้ว่าอะไรคือความจริง หรืออะไรคือความฝันที่ยังมาไม่ถึง
กล่าวสำหรับ พล.อ.ประยุทธ์นั้น ต้องบอกว่า “บิ๊กตู่” มโนไปเรื่อยเปื่อยหลายต่อหลายเรื่องด้วยกัน เรื่องแรกที่มโนชัดเจนที่สุดก็คือกรณีที่คนเสื้อแดงและแกนนำพรรคเพื่อไทยประกาศที่จะแยกดินแดนด้วยการจัดตั้ง “สปป.อีสานล้านนา” ซึ่ง พล.อ.ประยุทธ์มโนไปเองว่า เป็นเรื่องเล็กๆ ไม่จำเป็นต้องทำอะไรให้ใหญ่โตเกินไป ส่งนายทหารพระธรรมนูญไปแจ้งความดำเนินคดีแค่นั้นก็พอ และก็น่าจะหยุดยั้งขบวนการแบ่งแยกประเทศได้
แต่ในความเป็นจริงแล้ว ต้องบอกว่า แนวคิดเรื่องแบ่งแยกดินแดนไม่ใช่เรื่องเล่นๆ หากแพร่หลายในกลุ่มคนเสื้อแดงมาอย่างยาวนานและต่อเนื่อง แถมยังลงลึกลงไปในระดับหมู่บ้านอีกต่างหาก กรณีป้ายผ้าขอแบ่งแยกประเทศที่ติดอยู่ในจังหวัดต่างๆ รวมทั้งหลักฐานจากการปราศรัยบนเวทีคนเสื้อแดงที่นครราชสีมาและคำให้สัมภาษณ์ของแกนนำพรรคเพื่อไทยคือประจักษ์พยานที่ชัดเจน
และผลพวงของการมโนของ พล.อ.ประยุทธ์ ทำให้หลังจากส่งทหารตัวกระจ้อยร่อยไปแจ้งความดำเนินคดีจนกระทั่งถึงบัดนี้ คดีก็ยังไม่มีความคืบหน้าอะไรให้เห็นเลยแม้แต่น้อย
เรื่องมโนเรื่องที่สองของ พล.อ.ประยุทธ์ก็คือ มโนเรื่อง พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ ส่งสัญญาณถึง พล.อ.ประยุทธ์โดยอยากให้ผู้บัญชาการทหารบกได้อ่านข้อความที่จารึกเอาไว้ใต้อนุสาวรีย์พล.อ.กฤษณ์ สีวะรา ซึ่งเขียนเอาไว้ว่า “ทหารเรายืนอยู่บนเกียรติอันสูงส่ง ที่ประชาชนคนไทยหวังเป็นที่พึ่งขั้นสุดท้ายของเขา”
ในช่วงแรก พล.อ.ประยุทธ์มโนสุดๆ ด้วยการส่งลูกน้องออกมาแก้ข่าวว่า พล.อ.เปรมไม่ได้หมายถึงตนเอง แต่สุดท้ายก็จำนนด้วยหลักฐาน ทว่า ก็ยังไม่ยอมแพ้ แถมมโนเข้าข้างตัวเองอีกต่างหากว่า พล.อ.เปรมไม่ได้ส่งสัญญาณอะไร พร้อมทั้งตีความเสร็จสรรพอีกต่างหากว่า ความเป็นกลางอย่างที่ตนเองพร่ำบ่น 3 เวลาหลังอาหารและก่อนนอนคือสิ่งที่ถูกต้อง เนื่องจากสามารถทำให้ปัญหาความขัดแจ้งที่เกิดขึ้นจบลงได้
ทั้งๆ ที่ในความเป็นจริงแล้ว กรณีที่เกิดขึ้นคือสัญญาณที่ไม่ธรรมดาซึ่ง พล.อ.เปรมต้องการส่งถึง พล.อ.ประยุทธ์โดยตรง ซึ่งเมื่อ พล.อ.ประยุทธ์พยายามมโนไปในทางนั้น ก็คงไม่มีประโยชน์อะไรที่จะให้พล.อ.ประยุทธ์เข้าใจถึงสาส์นที่ พล.อ.เปรมส่งถึง
เรื่องแปลกแต่จริงมีอยู่ว่า ขณะที่ พล.อ.ประยุทธ์พยายามมโนเข้าข้างตัวเองว่าเรื่องใหญ่เรื่องโตของบ้านเมืองอย่างเรื่องแบ่งแยกดินแดนเป็นเรื่องเล็กๆ แต่เรื่องเล็กๆ ที่ไม่เป็นเรื่อง พล.อ.ประยุทธ์กลับให้ความใส่ใจจนเกินความพอดี ทั้งกรณีผัดกระเพราะที่สร้างความหัอร่องอหายให้สังคมจนถึงทุกวันนี้ หรือเรื่องการตัดต่อภาพที่ พล.อ.ประยุทธ์สั่งลูกน้องให้ข่มขู่ฟ่อๆ อยู่ทุกวี่วัน
สำหรับกรณี ฯพณฯ ประธาน นปช.คนใหม่จตุพร พรหมพันธุ์ นั้น ก็ต้องบอกว่า มีความเชี่ยวชาญชำนาญเป็นพิเศษในการใช้ศาสตร์ว่าด้วยเรื่องมโน โดยเฉพาะความพยายามสร้างเรื่องให้สังคมได้ตระหนักว่า พลังของคนเสื้อแดงนั้นยิ่งใหญ่เกรียงไกรเพียงใด ทั้งในเรื่องคุณภาพและปริมาณ ทั้งๆ ที่ในความเป็นจริงแล้ว ตกต่ำสุดขีด เนื่องเพราะคนเสื้อแดงจำนวนมากได้รับรู้แล้วว่า พวก เขาเป็นเพียง เบี้ยในกระดานเพื่อให้นายใหญ่กลับบ้านได้โดยไม่ต้องรับโทษทัณฑ์ และพร้อมจะถีบหัวส่งตลอดเวลาถ้าหากบรรลุถึงเป้าหมายสูงสุด
ขณะที่รัฐบาลนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตรก็มิได้วิเศษวิโสอะไร กรณีโครงการรับจำนำข้าวที่ไม่สามารถจ่ายเงินให้ชาวนา รวมถึงข้อกล่าวหาและความผิดอีกกระบุงซึ่งล้วนแล้วแต่มีมูลคือใบเสร็จที่ไม่อาจปฏิเสธความจริงได้
ดังนั้น วันนี้คนเสื้อแดงจึงไม่ได้มีความน่ากลัวอย่างที่ตุ๊ดตู่มโน ดังจะเห็นได้จากการชุมนุมใหญ่ที่อยุธยาก็มีรายงานว่ามีคนเข้าร่วมน้อย โดยเฉพาะหลังการปราศรัยของอ้ายเต้นจนต้องใช้วิธีโกหกว่า “เดี๋ยวจะมีการ์ดนำเสื้อไปแจก” เพื่อดึงมวลชนให้นั่งฟังต่อ แต่มวลชนก็ยังคงทยอยออก สุดท้ายแค่ 4 ทุ่มก็ต้องตัดสินใจปิดเวที เพราะคนเสื้อแดงหายเหี้ยนเหลือแต่สนามโล่งโจ้ง เหลือแต่เศษขยะเกลื่อนกลาดไว้ให้ดูต่างหน้า
หรือเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นระหว่าง “ตู่-เต้น” ขึ้นเวทีเปิดตัว-หาเสียงให้พี่สาว “ยุทธ ตู้เย็น” ชิงเก้าอี้นายก อบจ.เชียงราย แทนเมียที่ถูกเพิกถอนสิทธิ 10 ปี ซึ่งในช่วงแรกประชาชนไปรับฟังการปราศรัยกันหนาแน่น แต่ปรากฏว่าช่วงที่นายณัฐวุฒิปราศรัยมีประชาชนจำนวนมากได้ลุกเดินออกจากสนาม ขณะที่หลายคนก็ไปนั่งรออยู่ที่รถที่จอดอยู่รอบๆ สนามด้วย ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่า คนเสื้อแดงใกล้ล่มสลายเข้าไปทุกที
จะมีก็แต่ “กองกำลังติดอาวุธ” สัญชาติไทยและต่างด้าวเท่านั้นที่ยังคงมีอิทธิฤทธิ์ในการสร้างความปั่นป่วนให้กับบ้านกับเมือง
ยิ่งกองกำลังที่ “แรมโบ้อีสาน-นายสุภรณ์ อัตถาวงศ์” ประกาศรวบรวมนับแสนคน ยิ่งเพ้อฝันไปกันใหญ่ ถามคำเดียวว่า นายสุภรณ์จะเอาเงินจากไหนมาหล่อเลี้ยงกองกำลังนับแสนคน เนื่องจากโอกาสที่ผู้สมัครเข้าร่วมกับนายสุภรณ์ด้วยอุดมการณ์อย่างแท้จริงมีไม่มากนัก
แถมไม่รู้ว่า M-79 ที่ไปหล่นใกล้ๆ บ้าน ฯพณฯประธาน นปช.คนใหม่ จะเป็นการมโนด้วยฝีมือของคนกันเองเพื่อสร้างสถานการณ์ให้กับตัวเองหรือไม่อีกต่างหาก
เช่นเดียวกับนายสุเทพ เทือกสุบรรณที่ไม่สามารถกระทำการปฏิวัติประชาชนได้สำเร็จ ทั้งๆ ที่ประชาชนหลายล้านคนทั่วประเทศพร้อมใจกันออกมาขับไล่รัฐบาลยิ่งลักษณ์และระบอบทักษิณ จนสังคมตั้งข้อกังขาว่า นายสุเทพกำลังมโนอะไรอยู่ ยิ่งเมื่อนายสุเทพประกาศเลิกชัตดาวน์กรุงเทพฯ พร้อมทั้งยุบทุกเวทีเหลือเพียงเวทีที่สวนลุมพินีเพียงแห่งเดียว และพยายามมโนว่า การต่อสู้ของมวลมหาประชาชนกำลังจะสิ้นสุด มะม่วงใกล้จะหล่นจากต้นแล้ว ก็ยิ่งทำให้มวลมหาประชาชนมโนกันไปร้อยแปดพันเก้า
ที่สำคัญคือ เมื่อไล่เรียงไทม์ไลน์ของคดีความต่างๆ แล้วก็ยังต้องบอกว่าห่างไกลจากคำว่าชัยชนะพอสมควร โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อรัฐบาลยิ่งลักษณ์ยังประกาศชัดเจนแล้วว่า จะไม่ ยอมรับอำนาจขององค์กรอิสระและกระบวนการยุติธรรมที่ตัดสินเป็นโทษกับตัวเอง
แถมการปฏิรูปก่อนเลือกตั้งที่นายสุเทพประกาศตั้งแต่เริ่มชุมนุม และขณะนี้กำลังขะมักเขม้นตัวเป็นเกลียวหัวเป็นน็อต ก็ยังมโนหรือมองไม่เห็นแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์ว่าจะเกิดขึ้นได้อย่างไร ตราบใดที่มวลมหาประชาชนยังไม่ชนะ นี่ไม่นับรวมถึงการปฏิรูปพลังงานซึ่งเป็นเรื่องที่สำคัญที่สุดซึ่งหล่นหายไปจากเวที กปปส.ด้วยความตั้งใจ โดยกำนันสุเทพมโนไปเองว่า ไม่ใช่เรื่องสำคัญเร่งด่วน
ดังนั้น มวลมหาประชาชนจึงอาจจะต้องมโนกันไปเองว่า ประเทศไทยจะก้าวเข้าสู่ยุคท้องฟ้าสีทองผ่องอำไพในเร็ววันนี้ เพราะไม่เช่นนั้นจะเสียกำลังใจไปเปล่าๆ แต่ก็ใช่ว่าจะไม่สามารถมโนได้เอาเสียเลย เนื่องจากจับยามสามตาดูแล้วเห็นว่า แม้รัฐบาลยิ่งลักษณ์จะดื้อด้านและดันทุรังสักเพียงใด แต่สุดท้ายแล้วพวกเขาก็ไม่มีวันชนะ
เว้นไว้เสียแต่ว่าจะมี “ใครบางคน” มาทำให้ความหวังในการมโนของมวลมหาประชาชนที่กำลังจะกลายเป็นความจริงกลายเป็นความฝันเพราะอิทธิฤทธิ์ของสิ่งมีชีวิตที่เรียกว่า “นักการเมือง” ซึ่งไม่ว่าจะยุคไหนสมัยไหนคำว่า “ไม่มีมิตรแท้และศัตรูที่ถาวร” ก็ยังเป็นอมตะเสมอ