xs
xsm
sm
md
lg

อนาคตเศรษฐกิจไทย

เผยแพร่:   โดย: ชวินทร์ ลีนะบรรจง, สุวินัย ภรณวลัย

                    เลือกตั้งมิใช่ปฏิรูป
         ยิ่งลักษณ์อยู่ไปก็มิได้ทำประโยชน์อันใดให้ประเทศ

ได้รับคำถามอยู่เสมอว่า เศรษฐกิจไทยปีนี้จะไปอยู่ที่จุดใด จะทราบคำตอบคงจะต้องดูที่ไปที่มาคนกุมบังเหียนเศรษฐกิจเสียก่อน

หากได้คนโง่ + มีแนวคิดที่ผิด = ย่อยยับ

นี่คือพื้นฐานสภาพข้อเท็จจริง หรือ Thesis ที่เป็นอยู่ในขณะนี้ ขณะที่กลุ่มต่างๆ เช่น กปปส.มีความพยายามออกมาเปลี่ยนแปลงสภาพที่เป็นอยู่ก็จะกลายเป็น Anti-Thesis

มาเริ่มต้นที่ “แนวคิดที่ผิด” ทางเศรษฐกิจเสียก่อนว่าเป็นอย่างไร

หลักเศรษฐศาสตร์ที่ทักษิณและยิ่งลักษณ์ไม่เคยเข้าใจเลยแม้แต่น้อยก็คือ การกำหนดรายได้ประชาชาติให้เพิ่มขึ้นนั้นมิได้ขึ้นอยู่กับการเพิ่มการบริโภคแต่เพียงด้านเดียว หากแต่ขึ้นอยู่กับการออมเป็นสำคัญควบคู่ไปด้วยกัน

รายได้ = รายจ่าย หมายถึง = รายจ่ายเพื่อการบริโภค + ส่วนที่ไม่ได้ใช้ออก หรือการออมนั่นเอง

แนวคิดของระบอบทักษิณที่ปรากฏคิดแต่เพียงว่า หากรายได้ = บริโภค + ออม การออกแบบนโยบายประชานิยมเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจโดยการเพิ่มเงินในกระเป๋าประชาชนให้มีมากขึ้นจะทำให้ประชาชนบริโภคมากขึ้น สุดท้ายแล้วจะทำให้รายได้เพิ่มมากขึ้น

ผิดเพราะรู้ไม่จริงไม่ถ่องแท้ อย่าลืมว่าเมื่อบริโภคเพิ่มขึ้น ออมซึ่งเป็นอีกองค์ประกอบในสมการข้างต้นก็จะต้องลดลงในสัดส่วนเท่าๆ กัน เมื่อการออมลดลงประเทศจะปรับปรุงเพิ่มศักยภาพการผลิตในอนาคตเพื่อรองรับอุปสงค์รวมจากการบริโภคที่เพิ่มขึ้นได้อย่างไร

บุคคลทั่วไปไม่ออม ก็เท่ากับว่าโอกาสในปรับปรุงทักษะ เช่น การส่งลูกไปเรียนหนังสือก็จะหมดไป เช่นเดียวกับนิติบุคคลหากไม่ออมกำไรที่ได้มาเพื่อนำไปปรับปรุงหรือซื้อเทคโนโลยีที่ติดมาจากเครื่องจักรรุ่นใหม่ๆ การผลิตที่มีประสิทธิภาพในอนาคตก็ไม่สามารถทำได้ เมื่อไม่มีการออมก็ไม่มีการลงทุน การเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันทั้งในเชิงบุคคลหรือนิติบุคคลของประเทศก็ทำไม่ได้

ผลก็คืออุปทานรวมก็ไม่สามารถขยายตัวตามอุปสงค์รวมที่เพิ่มขึ้นจากการกระตุ้นเศรษฐกิจด้วยการกระตุ้นการบริโภคได้ ยิ่งกู้เงินมากระตุ้นสร้างอุปสงค์เทียมก็ยิ่งเป็นการเพิ่มภาระ ประเทศไทยจึงติดกับดักของการพัฒนากลายเป็นประเทศที่เริ่มยกระดับรายได้ตนเองให้สูงขึ้นเกินกว่าประเทศด้อยพัฒนาทั่วไปได้ แต่ไม่สามารถยกระดับให้กลายเป็นประเทศที่พัฒนาแล้วได้เพราะขาดซึ่งนวัตกรรมที่จำเป็นสำหรับการยกระดับการผลิต กลายเป็นห่านที่บินอยู่กลางฝูง ไล่กวดตัวหน้าไม่ทัน ขณะที่กำลังจะโดนตัวหลังแซงหน้า

ญี่ปุ่นใช้เวลาเพียง 2 ทศวรรษหลังสงครามโลก เช่นเดียวกับเกาหลีใช้ประมาณ 35 ปีหลังจากปฏิวัติของนายพลฮี แต่ไทยใช้เวลาไป 11 แผนพัฒนาฯหรือกว่า 55 ปีแล้วก็ยังไม่สามารถขยับตัวไปเป็นประเทศที่พัฒนาแล้วได้ไม่ว่าจะมองจากแง่มุมใด จะต้องรอไปอีกกี่แผนพัฒนาฯ?

กลับมาที่ปัจจัยสำคัญคือ คน “โง่” ที่ยิ่งลักษณ์เป็นตัวอย่างที่ดีที่สุด

ตารางข้างล่างแสดงถึงการไร้ซึ่งความสามารถทางเศรษฐกิจของสิ่งที่ทักษิณคิด (ผิด) และยิ่งลักษณ์ทำ(ผิด)ในตลอดช่วงอายุรัฐบาลของเธอ

สิ่งที่เห็นได้ชัดเจนก็คือ การควบคุมเศรษฐกิจให้เป็นไปในทิศทางที่ต้องการนั้นทำไม่ได้เลย ตัวเลขจากการคาดการณ์โดยหน่วยงานสำนักงานเศรษฐกิจการคลังซึ่งถือได้ว่าเป็นมันสมองของรมต.คลังนั้นไม่ต่ำเกินไปก็สูงเกินตัวเลขจริงอยู่ตลอดเวลา แม้จะคาดการณ์ในช่วงสั้นๆ ไม่เกิน 3 เดือนล่วงหน้า เช่น คาดการณ์ ณ เดือน ก.ย. หรือแม้แต่ ธ.ค. สำหรับในปีนั้นก็ยังไม่ใกล้เคียงถูกต้องแต่อย่างใดทั้งที่รับรู้ข้อมูลมาเกือบครบปีแล้วก็ตาม

ในอีกด้านหนึ่งผลงานทางเศรษฐกิจไม่น่าประทับใจเลยก็ว่าได้ ภาวะเศรษฐกิจโลกและราคาน้ำมันต่างอยู่ในภาวะปกติ แต่เศรษฐกิจประเทศไทยกลับโตเฉลี่ยไม่เกินร้อยละ 3 ต่อปี (0.1+6.5+2.9+?)

ปีที่ GDP เติบโตดีที่สุดดูเหมือนจะเป็นปี พ.ศ. 2555 ที่โตถึงร้อยละ 6.5 เมื่อเทียบกับปี พ.ศ. 2554 แต่ก็เป็นผลมาจากวิบัติเศรษฐกิจที่เกิดจากน้ำท่วมด้วยฝีมือมนุษย์โลภมากต่างหาก บุคคลและนิติบุคคลต่างจึงต้องชะลอการบริโภคนำเงินมาเพิ่มการลงทุนเพื่อซ่อมแซมความเสียหายจากน้ำท่วมปีที่ผ่านมา

ในปีถัดไป (พ.ศ. 2556) ผลงานจากนโยบายวิบัติต่างๆ ที่นำเสนอ เช่น รถคันแรก (ปลายปี 54-55) และจำนำข้าว (ปลายปี 54-ปัจจุบัน) ได้ออกฤทธิ์สร้างหายนะกับเศรษฐกิจไทยจนเติบโตได้เพียงร้อยละ 2.9

รถคันแรกได้กวาดเอาอุปสงค์ในอนาคตมากองไว้ในปี พ.ศ. 2555 เพียงปีเดียว แต่ที่ร้ายไปกว่านั้นก็คือ ผู้ซื้อส่วนมากเป็นผู้ที่ไม่มีศักยภาพ แม้ตัวเลขหนี้เสียยังต่ำแต่ก็เป็นเพราะผู้ซื้อหรือผู้ที่เกี่ยวข้อง เช่น ญาติหรือนายจ้างต่างต้องยอมลดการบริโภคส่วนอื่นๆ ลงเพื่อมาช่วยเหลือมิให้ต้องเป็น NPL ดังนั้นด้วยจำนวนยอดขายกว่า 1 ล้านคันก็หมายถึงครัวเรือนกว่า 1 ล้านครัวเรือนที่ต้องลดการบริโภคนำเงินมาผ่อนรถให้ต่างชาตินำกำไรกลับ ทิ้งภาวะรถติดและการใช้น้ำมันเพิ่มเอาไว้เบื้องหลังนั่นเอง

ส่วนการจำนำข้าวนั้น ก่อนมี กปปส.และการยุบสภาเบี้ยวหนี้ชาวนาครั้งมโหฬารก็มีการคาดการณ์ในระดับต่ำอยู่แล้ว เช่น ณ ก.ย. 56 ก็ปรับลดตัวเลขคาดการณ์ลงจากร้อยละ 5.2 ในห้วงเวลาเดียวกันของปีก่อนมาเป็น 3.7

การยุบสภาและเบี้ยวหนี้ชาวนาในวงกว้างที่เปรียบเสมือนฉ้อโกงประชาชนทำให้การบริโภคจากคนกลุ่มใหญ่ของประเทศหยุดชะงักและลดลงอย่างมีนัยสำคัญต่อเศรษฐกิจในเวลาต่อมาเพราะชาวนาถือเป็นคนกลุ่มรายได้ระดับล่างที่มีสัดส่วนการบริโภคต่อรายได้สูงกว่าคนกลุ่มรายได้ระดับบน

เศรษฐกิจปี พ.ศ. 2557 จึงไม่น่าจะเติบโตได้เกินร้อยละ 2.6 ตามที่ได้คาดการณ์ไว้ ณ มี.ค. 57 หากเติบโตในระดับ 0.9 หรือ 1.1 ก็ถือได้ว่าไม่โตเลยก็ว่าได้และโอกาสที่จะเกิดก็มิใช่ว่าจะมีต่ำแต่อย่างใดหากยังไม่มีรัฐบาลตัวจริงเกิดขึ้นมาในระยะเวลาอันใกล้นี้

ในอีกด้านหนึ่ง การปล่อยให้รัฐบาลในระบอบทักษิณ/ยิ่งลักษณ์กลับเข้ามาบริหารอีกครั้งก็มิได้เป็นการแก้ไขปัญหาแต่อย่างใด ประเด็นก็คือ ในระยะสั้นรัฐบาลใหม่แม้จะหาเงินกู้มาจ่ายค่าข้าวให้ชาวนาได้ แต่จะทำโครงการจำนำข้าวเช่นนี้ต่อไปได้อีกหรือ ในทำนองเดียวกัน โครงการจัดการน้ำ 3.5 แสนล้านหรือโครงการตามเงินกู้ 2.2 ล้านล้านบาทจะสานต่อไปได้โดยไม่ทำให้เศรษฐกิจไทยล่มสลายไปได้อย่างไร เหตุก็เพราะในระยะยาวการขาดทุนจากการสต็อกข้าวแล้วเน่าเสีย การลงทุนในโครงการขนาดใหญ่ที่ไร้ประสิทธิภาพขาดผลตอบแทน ทั้งหมดนี้จะมีผลทำให้เกิดภาระทางการคลังของประเทศที่ต้องนำเงินภาษีประชาชนมาชดใช้อย่างมหาศาล

ประชาชนในขณะนี้ตื่นตัวรู้เท่าทันมากแล้วว่าการเพิ่มหนี้สาธารณะนั้นมิใช่ทรัพย์สินหากแต่เป็นหนี้สินที่ไม่ตนเองก็ลูก+หลานต้องชดใช้ต่อไป รัฐบาลอาจสามารถเพิ่มเงินในกระเป๋าประชาชนได้ แต่ก็ไม่สามารถทำให้ประชาชนเพิ่มการใช้จ่ายได้เช่นเดียวกับเศรษฐกิจญี่ปุ่นหลังยุคฟองสบู่แตก ประชาชนจึงมีแนวโน้มที่จะออมเพื่อเหลือเงินไว้จ่ายภาษีในอนาคตจากความวิบัติหายนะที่รัฐบาลนี้สร้างไว้ให้

ไม่ว่าจะมองไปทางใด ยิ่งลักษณ์และพี่ชายคืออุปสรรคของการปฏิรูปประเทศนี้จริงๆ

กำลังโหลดความคิดเห็น