ASTVผู้จัดการรายวัน- ข่าวร้ายรับวันแรงงาน ภาคอุตสาหกรรมส่งสัญญาณไม่รับแรงงานเพิ่มหลังการเมืองฉุดการบริโภคชะลอตัวหลายโรงงานไม่สามารถเดินเครื่องกำลังผลิตเต็มที่ เอสเอ็มอีเริ่มเห็นปลดคนแล้ว หากการเมืองไม่จบเร็วปีนี้ ตกงานแตะระดับ 5 แสนคนหลังนักศึกษาจบใหม่เพิ่มเข้ามาอีก
นายวัลลภ วิตนากร รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย(ส.อ.ท.) เปิดเผยว่า จากปัจจัยการเมืองที่ฉุดให้การบริโภคในประเทศชะลอตัว ประกอบกับการส่งออกมี.ค.ส่งสัญญาณติดลบทำให้ยอดขายของผู้ผลิตลดลงฉุดให้การใช้อัตรากำลังการผลิตไม่เต็มที่จึงทำให้โรงงานต่างๆ ปัจจุบัน ปรับลดกำลังการผลิตลงส่งผลให้ไม่มีนโยบายรับแรงงานเพิ่ม ไม่มีการทำงานล่วงเวลาหรือโอที ขณะที่ผู้ประกอบการขนาดกลางและย่อม(เอสเอ็มอี)เริ่มลดเงินเดือนและบางรายเริ่มปลดแรงงานแล้วหากการยืดเยื้อคาดว่าปีนี้จะมีแรงงานตกงานเพิ่มขึ้นเป็นไม่น้อยกว่าระดับ 5 แสนคน
ปัจจุบันตัวเลขสำนักงานสถิติแห่งชาติระบุว่าแรงงานไทยตกงานค่อนข้างต่ำเป้นอันดับที่ 2 ของโลกโดยมีอัตราว่างงาน 0.9% ของกำลังแรงงานหรือปริมาณ 3.41 แสนคนอย่างไรก็ตามเดือนพ.ค.จะมีนักศึกษาจบใหม่อีกประมาณ 4 แสนกว่าคนและในจำนวนดังกล่าวเป็นนักศึกษาที่จบระดับอุมศึกษาถึง 3 แสนคน ประมาณการณ์ว่าในจำนวนนี้จะเป็นสายอาชีพครึ่งหนึ่งดังนั้นที่เหลือ 1.5 แสนคนค่อนข้างชัดเจนว่าจะตกงานดังนั้นหากการเมืองยังคงยืดเยื้ออย่างต่ำปีนี้อัตราการว่างงานก็จะเพิ่มเป็น 4.9-5 แสนคนหรือคิดเป็น 1.1%
ทั้งนี้ที่ผ่านมาการขยายการลงทุนของภาคเอกชนและการลงทุนใหม่ๆที่เกิดขึ้นจะมีส่วนสำคัญต่อการดูดซับแรงงานที่จบใหม่เข้าสู่ระบบแต่เนื่องจากปัจจัยการเมืองของไทยที่มีปัญหายืดเยื้อมาตั้งแต่ปลายจนถึงขณะนี้ก็ยังไม่มีสัญญาณว่าจะจบอย่างไรทำให้การลงทุนทั้งสองส่วนต้องชะลอออกไปก่อนจนกว่าการเมืองจะชัดเจนจึงทำให้การว่างงานส่วนนี้จึงว่างขึ้น
อย่างไรก็ตามแม้ว่าล่าสุดรัฐบาลจะมีการตั้งคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนหรือบอร์ดบีโอไอชุดใหม่แล้วเพื่อเร่งอนุมัติการลงทุนค้างท่อกว่า 6 แสนล้านบาทถือเป็นสัญญาณที่ดีต่อการลงทุนแต่เชื่อว่าการลงทุนจริงจะเกิดขึ้นก็ต่อเมื่อภาพการเมืองของไทยชัดเจน
“เอกชนอยากเห็นคือ การเลือกตั้งรัฐบาลโดยเร็ว และให้เร่งอนุมัติงบประมาณกระตุ้นเศรษฐกิจเร่งด่วน เพราะหากไม่มีส่วนนี้ออกมา เศรษฐกิจเข้าสู่ภาวะถดถอย แรงงานจะตกงานเป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะเด็กจบใหม่ ยิ่งสายงานที่ไม่ใช่ช่างโรงงานที่มีปัญหาขาดแคลนแรงงาน เป็นเด็กสายงานประจำออฟฟิศ เด็กกลุ่มนี้จะเสี่ยงตกงานมากที่สุด”นายวัลลภ กล่าว
นายวัลลภ วิตนากร รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย(ส.อ.ท.) เปิดเผยว่า จากปัจจัยการเมืองที่ฉุดให้การบริโภคในประเทศชะลอตัว ประกอบกับการส่งออกมี.ค.ส่งสัญญาณติดลบทำให้ยอดขายของผู้ผลิตลดลงฉุดให้การใช้อัตรากำลังการผลิตไม่เต็มที่จึงทำให้โรงงานต่างๆ ปัจจุบัน ปรับลดกำลังการผลิตลงส่งผลให้ไม่มีนโยบายรับแรงงานเพิ่ม ไม่มีการทำงานล่วงเวลาหรือโอที ขณะที่ผู้ประกอบการขนาดกลางและย่อม(เอสเอ็มอี)เริ่มลดเงินเดือนและบางรายเริ่มปลดแรงงานแล้วหากการยืดเยื้อคาดว่าปีนี้จะมีแรงงานตกงานเพิ่มขึ้นเป็นไม่น้อยกว่าระดับ 5 แสนคน
ปัจจุบันตัวเลขสำนักงานสถิติแห่งชาติระบุว่าแรงงานไทยตกงานค่อนข้างต่ำเป้นอันดับที่ 2 ของโลกโดยมีอัตราว่างงาน 0.9% ของกำลังแรงงานหรือปริมาณ 3.41 แสนคนอย่างไรก็ตามเดือนพ.ค.จะมีนักศึกษาจบใหม่อีกประมาณ 4 แสนกว่าคนและในจำนวนดังกล่าวเป็นนักศึกษาที่จบระดับอุมศึกษาถึง 3 แสนคน ประมาณการณ์ว่าในจำนวนนี้จะเป็นสายอาชีพครึ่งหนึ่งดังนั้นที่เหลือ 1.5 แสนคนค่อนข้างชัดเจนว่าจะตกงานดังนั้นหากการเมืองยังคงยืดเยื้ออย่างต่ำปีนี้อัตราการว่างงานก็จะเพิ่มเป็น 4.9-5 แสนคนหรือคิดเป็น 1.1%
ทั้งนี้ที่ผ่านมาการขยายการลงทุนของภาคเอกชนและการลงทุนใหม่ๆที่เกิดขึ้นจะมีส่วนสำคัญต่อการดูดซับแรงงานที่จบใหม่เข้าสู่ระบบแต่เนื่องจากปัจจัยการเมืองของไทยที่มีปัญหายืดเยื้อมาตั้งแต่ปลายจนถึงขณะนี้ก็ยังไม่มีสัญญาณว่าจะจบอย่างไรทำให้การลงทุนทั้งสองส่วนต้องชะลอออกไปก่อนจนกว่าการเมืองจะชัดเจนจึงทำให้การว่างงานส่วนนี้จึงว่างขึ้น
อย่างไรก็ตามแม้ว่าล่าสุดรัฐบาลจะมีการตั้งคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนหรือบอร์ดบีโอไอชุดใหม่แล้วเพื่อเร่งอนุมัติการลงทุนค้างท่อกว่า 6 แสนล้านบาทถือเป็นสัญญาณที่ดีต่อการลงทุนแต่เชื่อว่าการลงทุนจริงจะเกิดขึ้นก็ต่อเมื่อภาพการเมืองของไทยชัดเจน
“เอกชนอยากเห็นคือ การเลือกตั้งรัฐบาลโดยเร็ว และให้เร่งอนุมัติงบประมาณกระตุ้นเศรษฐกิจเร่งด่วน เพราะหากไม่มีส่วนนี้ออกมา เศรษฐกิจเข้าสู่ภาวะถดถอย แรงงานจะตกงานเป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะเด็กจบใหม่ ยิ่งสายงานที่ไม่ใช่ช่างโรงงานที่มีปัญหาขาดแคลนแรงงาน เป็นเด็กสายงานประจำออฟฟิศ เด็กกลุ่มนี้จะเสี่ยงตกงานมากที่สุด”นายวัลลภ กล่าว
