ASTVผู้จัดการรายวัน-ประชุมผู้ถือหุ้นการบินไทยป่วน รายย่อย โวยตั้ง"อำพน"นั่งบอร์ดอีกวาระ ชี้ทำขาดทุนถึง 2 ปี พร้อม เรียกร้องให้ขอโทษผู้ถือหุ้นและไม่ให้กลับมาเป็นบอร์ดอีก ชี้เคยบอกเองว่าถ้าขาดทุนซ้ำอีกจะลาออก พร้อมเสนอลดจำนวนบอร์ดเหลือ 9 คน ลดค่าใช้จ่ายเบี้ยประชุมของบริษัทฯ ด้าน”ประจิน”ปรับปรุงโครงสร้างและอำนาจหน้าที่ให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น ประเมินผล 6 เดือน ส่วน”โชคชัย”รักษาการดีดี ยันผลประกอบการทรุดเหตุทัวร์จีนและปญหาการเมืองในประเทศ
วานนี้ (29 เม.ย.) บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) จัดประชุมใหญ่สามัญผู้ถือหุ้นประจำปี 2557 โดยมีพลอากาศเอกประจิน จั่นตอง ผู้บัญชาการทหารอากาศ เป็นประธาน ซึ่งหลังจาเลขาฯที่ประชุมได้แจ้งกำหนดการประชุมและทำความเข้าใจถึงขั้นตอนการลงคะแนนโดยมีวาระพิจารณาแต่งตั้งกรรมการ 5 คนโดย 1 ใน 5 คือนายอำพน กิตติอำพน ที่ได้รับการเสนอชื่อกลับเข้ามาเป็นกรรมการต่ออีกวาระหนึ่งพร้อมด้วย นายธีรศักดิ์ สุวรรณยศ นายสุธรรม ศิริทิพย์สาคร ส่วนกรรมการใหม่ 2 คน คือ นายรังสรรค์ ศรีวรศาสตร์ (แทนนายสรจักร เกษมสุวรรณ) พลอากาศโท ศิวเกียรติ์ ชเยมะ (แทนนายจุตินันท์ ภิรมย์ภักดี)
โดยผู้ถือหุ้นรายหนึ่งได้เสนอให้ผู้ถือหุ้นรายย่อยออกจากห้องประชุม เพื่อให้การประชุมดำเนินต่อไปไม่ได้ เพราะไม่อยากเป็นเครื่องมือในการตั้งกรรมการบอร์ด ซึ่งทางกระทรวงการคลังได้ใช้สิทธิ์ผู้ถือหุ้นใหญ่เสนอชื่อเข้ามาแล้ว ถึงแม้ผู้ถือหุ้นรายย่อยจะคัดค้านอย่างไรก็ไม่มีผล โดยขอให้ประธานรับข้อเสนอทบทวนจำนวนกรรมการบอร์ดการบินไทยที่มีถึง 15 คนว่าควรลดเหลือ 9 คน เพื่อลดภาระค่าเบี้ยประชุมลง ในภาวะที่บริษัทประสบกับการขาดทุนอย่างหนัก
นอกจากนี้ยังมีผู้ถือหุ้นได้เรียกร้องให้นายอำพน กิตติอำพน อดีตประธานบอร์ดการบินไทย ออกมาขอโทษผู้ถือหุ้น และลาออกจากกรรมการบอร์ดไป เพราะนายอำพนเป็นผู้ที่ทำให้บริษัทขาดทุนเป็นครั้งที่สองแล้ว ซึ่งนายอำพนเคยประกาศต่อที่ประชุมผู้ถือหุ้นเมื่อปีที่มีการขาดทุนครั้งแรกว่าถ้าขาดุนอีกครั้งจะลาออก แต่กลับได้รับการเสนอชื่อกลับมาเป็นกรรมการบอร์ดอีกวาระ ที่ผ่านมาการทำหน้าที่ประธานบอร์ดของนายอำพนได้สร้างปัญหาในองค์กร ทำให้พนักงานขาดขวัญและกำลังใจ ไม่รักษาประโยชน์ของบริษัท เช่น มีการทยอยซื้อเครื่องบินถึง 58 ลำแต่กลับขาดทุนเกือบทุกเส้นทางไม่ว่าเส้นทางบินใกล้หรือไกล เมื่อขาดทุนก็นำมาจอดไว้เฉยๆ ทำให้เสียค่าจอด เสียค่าซ่อมบำรุงและค่าต่อใบอนุญาตตามกฎการบิน เพราะการซื้อเครื่องบินใหม่ โดยไม่มีการเพิ่มเส้นทางหรือเพิ่มเที่ยวบินเพื่อเพิ่มรายได้ แต่กลับทำให้บริษัทมีรายจ่ายเพิ่มผูกพันระยะยาว ทำให้บริษัทขาดทุน อีกทั้งการซื้อเครื่องใหม่เพื่อทดแทนเครื่องเก่าแต่กลับขายเครื่องบินเก่าไม่ได้ต้องจอดทิ้งไว้ ยิ่งทำให้ขาดทุนซ้ำอีก
อย่างไรก็ตาม ผู้ถือหุ้นรายย่อย มีความเห็นเป็น 2 ฝ่าย โดยส่วนใหญ่ต้องการให้ดำเนินการประชุมต่อตามวาระเพื่อรับฟังแนวทางในการแก้ปัญหาขาดทุน จากนั้นพลอากาศเอกประจิน ประธานที่ประชุมได้ดำเนินการประชุมต่อตามวาระ
โดยพลอากาศเอกประจิน กล่าวว่า บริษัทต้องเผชิญกับภาวะการแข่งขันที่รุนแรง จึงต้องมีการปรับเปลี่ยนนโยบายต่างๆ เช่นปรับปรุงโครงสร้างและอำนาจหน้าที่ให้มีประสิทธิภาพมากขึ้นโดยจะประเมินผลการใช้โครงสร้างใหม่ 6 เดือนหากส่วนใดไม่เหมาะสมจะต้องปรับปรุงแก้ไขต่อไป ซึ่งการแก้วิกฤติของการบินไทยจะต้องมีการปรับปรุงหลายๆเรื่องไปพร้อมกัน
เรื่องเร่งด่วนจะต้องแก้ไขทันทีในเวลาไม่เกิน 3-6 เดือน ปัญหาที่ต้องแก้ไขแบบค่อยเป็นค่อยไปใช้เวลา 1-2 ปีส่วนปัญหาที่ซับซ้อนต้องใช้เวลา 3-5 ปี โดยเรื่องเร่งด่วน คือ เสริมสร้างความเชื่อมั่นของลูกค้า ผู้ถือหุ้น พนักงาน และผู้มีส่วนได้ส่วนเสียอื่นๆ พร้อมทั้งเร่งฟื้นฟูความสัมพันธ์ระหว่างบอร์ด ฝ่ายบริหาร พนักงาน ในการทำงานร่วมกัน
โดยต้องปรับการทำงานให้มีความคล่องตัว รวดเร็วและทันต่อสถานการณ์ทางธุรกิจที่เปลี่ยนแปลง ต้องบริหารจัดการแบบ Real Time มากขึ้นซึ่งได้มอบหมายให้นายโชคชัย ปัญญายงค์ รักษาการกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ (ดีดี) ตั้งวอรูมติดตามสถานการณ์ใน 4 เดือน เพื่อให้การดำเนินงานโดยเฉพาะด้าน Operation & Service เข้าถึงข้อมูลได้รวดเร็วขึ้นและแก้ไขได้ทันท่วงที
ด้านนายโชคชัย ปัญญายงค์ รักษาการ ดีดีการบินไทยกล่าวว่า ตั้งแต่ปี 52 สัดส่วนผู้โดยสารพรีเมี่ยมลดลงเรื่อยๆ ประกอบกับบริษัทมีรายได้เป็นเงินสกุลต่างประเทศถึง 70% ซึ่งค่าเงินผันผวนทำให้รายได้จากการขายลดลงถึง 4% ในขณะที่ค่าใช้จ่ายซึ่งส่วนใหญ่เป็นเงินบาทเพิ่มขึ้น โดยในปี 56 บริษัทรับมอบเครื่องบินใหม่ จำนวน 17 ลำ ทำให้ต้นทุนต่อหน่วยลง 2%อัตราการใช้น้ำมันเชื้อเพลิงลดลง 3.1% (เฉลี่ยใช้น้ำมันปีละ 8.5 หมื่นล้านบาท) มีการบริหารความเสี่ยงราคาน้ำมันผันผวน ประมาณ 70%และได้รับเงินชดเชย 56 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 1,885 ล้านบาท ซึ่งสิ้นสุด 31 ธ.ค.56 ฝูงบินมี 100 ลำ อายุเฉลี่ย 9.3 ปี
โดยมีการรับมอบเครื่องบินใหม่ 17 ลำปลดระวางเครื่องบินเก่า 16 ลำ โดยมีจำนวนที่นั่งเพิ่มขึ้นจากปี 55 ประมาณ 8.1% ขนส่งผู้โดยสารรวม 21.5 ล้านคนเพิ่มขึ้นจากปีก่อน 9 แสนคน ขนส่งพัสดุภัณฑ์ 655,570 ตัน ลดลง 23,562 ตัน มีรายได้รวม 206,336 ล้านบาทเพิ่มขึ้นจากปีก่อน 4,952 ล้านบาท ขาดทุนสุทธิ 12,000 ล้านบาท โดยปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่อการดำเนินงานคือ ปัญหาทัวร์จีนกรณีทัวร์ศูนย์เหรียญและปัญหาความไม่สงบทางการเมืองในประเทศ
ทั้งนี้ ที่ประชุมเห็นชอบวาระแต่งตั้งกรรมการ 5 คนแทนกรรมการที่ครบวาระ และเห็นชอบการยกเลิกวงเงินคงเหลือสำหรับออกและเสนอขายหุ้นกู้เดิมและอนุมัติให้บริษัทฯ ออกและเสนอขายหุ้นกู้ในวงเงินรวมไม่เกิน 40,000 ล้านบาทภายใน 5 ปี (เม.ย.53-เม.ย. 58) ซึ่งบริษัทฯได้ออกและเสนอขายตราสารหนี้ประเทหุ้นกู้ภายในประเทศไปแล้ว 8 ครั้ง ปัจจุบันคงเหลือที่สามารถออกหุ้นกู้ภายในประเทศได้อีก 6,300 ล้านบาท ซึ่งบริษัทฯมีความต้องการใช้เงินทุนอีกจำนวนหนึ่งเพื่อชำระคืนเงินกู้ที่ครบกำหนดหรือชำระคืนเงินกู้ที่มีต้นทุนทางการเงินสูงกว่า หรือเป็นเงินทุนหมุนเวียน
วานนี้ (29 เม.ย.) บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) จัดประชุมใหญ่สามัญผู้ถือหุ้นประจำปี 2557 โดยมีพลอากาศเอกประจิน จั่นตอง ผู้บัญชาการทหารอากาศ เป็นประธาน ซึ่งหลังจาเลขาฯที่ประชุมได้แจ้งกำหนดการประชุมและทำความเข้าใจถึงขั้นตอนการลงคะแนนโดยมีวาระพิจารณาแต่งตั้งกรรมการ 5 คนโดย 1 ใน 5 คือนายอำพน กิตติอำพน ที่ได้รับการเสนอชื่อกลับเข้ามาเป็นกรรมการต่ออีกวาระหนึ่งพร้อมด้วย นายธีรศักดิ์ สุวรรณยศ นายสุธรรม ศิริทิพย์สาคร ส่วนกรรมการใหม่ 2 คน คือ นายรังสรรค์ ศรีวรศาสตร์ (แทนนายสรจักร เกษมสุวรรณ) พลอากาศโท ศิวเกียรติ์ ชเยมะ (แทนนายจุตินันท์ ภิรมย์ภักดี)
โดยผู้ถือหุ้นรายหนึ่งได้เสนอให้ผู้ถือหุ้นรายย่อยออกจากห้องประชุม เพื่อให้การประชุมดำเนินต่อไปไม่ได้ เพราะไม่อยากเป็นเครื่องมือในการตั้งกรรมการบอร์ด ซึ่งทางกระทรวงการคลังได้ใช้สิทธิ์ผู้ถือหุ้นใหญ่เสนอชื่อเข้ามาแล้ว ถึงแม้ผู้ถือหุ้นรายย่อยจะคัดค้านอย่างไรก็ไม่มีผล โดยขอให้ประธานรับข้อเสนอทบทวนจำนวนกรรมการบอร์ดการบินไทยที่มีถึง 15 คนว่าควรลดเหลือ 9 คน เพื่อลดภาระค่าเบี้ยประชุมลง ในภาวะที่บริษัทประสบกับการขาดทุนอย่างหนัก
นอกจากนี้ยังมีผู้ถือหุ้นได้เรียกร้องให้นายอำพน กิตติอำพน อดีตประธานบอร์ดการบินไทย ออกมาขอโทษผู้ถือหุ้น และลาออกจากกรรมการบอร์ดไป เพราะนายอำพนเป็นผู้ที่ทำให้บริษัทขาดทุนเป็นครั้งที่สองแล้ว ซึ่งนายอำพนเคยประกาศต่อที่ประชุมผู้ถือหุ้นเมื่อปีที่มีการขาดทุนครั้งแรกว่าถ้าขาดุนอีกครั้งจะลาออก แต่กลับได้รับการเสนอชื่อกลับมาเป็นกรรมการบอร์ดอีกวาระ ที่ผ่านมาการทำหน้าที่ประธานบอร์ดของนายอำพนได้สร้างปัญหาในองค์กร ทำให้พนักงานขาดขวัญและกำลังใจ ไม่รักษาประโยชน์ของบริษัท เช่น มีการทยอยซื้อเครื่องบินถึง 58 ลำแต่กลับขาดทุนเกือบทุกเส้นทางไม่ว่าเส้นทางบินใกล้หรือไกล เมื่อขาดทุนก็นำมาจอดไว้เฉยๆ ทำให้เสียค่าจอด เสียค่าซ่อมบำรุงและค่าต่อใบอนุญาตตามกฎการบิน เพราะการซื้อเครื่องบินใหม่ โดยไม่มีการเพิ่มเส้นทางหรือเพิ่มเที่ยวบินเพื่อเพิ่มรายได้ แต่กลับทำให้บริษัทมีรายจ่ายเพิ่มผูกพันระยะยาว ทำให้บริษัทขาดทุน อีกทั้งการซื้อเครื่องใหม่เพื่อทดแทนเครื่องเก่าแต่กลับขายเครื่องบินเก่าไม่ได้ต้องจอดทิ้งไว้ ยิ่งทำให้ขาดทุนซ้ำอีก
อย่างไรก็ตาม ผู้ถือหุ้นรายย่อย มีความเห็นเป็น 2 ฝ่าย โดยส่วนใหญ่ต้องการให้ดำเนินการประชุมต่อตามวาระเพื่อรับฟังแนวทางในการแก้ปัญหาขาดทุน จากนั้นพลอากาศเอกประจิน ประธานที่ประชุมได้ดำเนินการประชุมต่อตามวาระ
โดยพลอากาศเอกประจิน กล่าวว่า บริษัทต้องเผชิญกับภาวะการแข่งขันที่รุนแรง จึงต้องมีการปรับเปลี่ยนนโยบายต่างๆ เช่นปรับปรุงโครงสร้างและอำนาจหน้าที่ให้มีประสิทธิภาพมากขึ้นโดยจะประเมินผลการใช้โครงสร้างใหม่ 6 เดือนหากส่วนใดไม่เหมาะสมจะต้องปรับปรุงแก้ไขต่อไป ซึ่งการแก้วิกฤติของการบินไทยจะต้องมีการปรับปรุงหลายๆเรื่องไปพร้อมกัน
เรื่องเร่งด่วนจะต้องแก้ไขทันทีในเวลาไม่เกิน 3-6 เดือน ปัญหาที่ต้องแก้ไขแบบค่อยเป็นค่อยไปใช้เวลา 1-2 ปีส่วนปัญหาที่ซับซ้อนต้องใช้เวลา 3-5 ปี โดยเรื่องเร่งด่วน คือ เสริมสร้างความเชื่อมั่นของลูกค้า ผู้ถือหุ้น พนักงาน และผู้มีส่วนได้ส่วนเสียอื่นๆ พร้อมทั้งเร่งฟื้นฟูความสัมพันธ์ระหว่างบอร์ด ฝ่ายบริหาร พนักงาน ในการทำงานร่วมกัน
โดยต้องปรับการทำงานให้มีความคล่องตัว รวดเร็วและทันต่อสถานการณ์ทางธุรกิจที่เปลี่ยนแปลง ต้องบริหารจัดการแบบ Real Time มากขึ้นซึ่งได้มอบหมายให้นายโชคชัย ปัญญายงค์ รักษาการกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ (ดีดี) ตั้งวอรูมติดตามสถานการณ์ใน 4 เดือน เพื่อให้การดำเนินงานโดยเฉพาะด้าน Operation & Service เข้าถึงข้อมูลได้รวดเร็วขึ้นและแก้ไขได้ทันท่วงที
ด้านนายโชคชัย ปัญญายงค์ รักษาการ ดีดีการบินไทยกล่าวว่า ตั้งแต่ปี 52 สัดส่วนผู้โดยสารพรีเมี่ยมลดลงเรื่อยๆ ประกอบกับบริษัทมีรายได้เป็นเงินสกุลต่างประเทศถึง 70% ซึ่งค่าเงินผันผวนทำให้รายได้จากการขายลดลงถึง 4% ในขณะที่ค่าใช้จ่ายซึ่งส่วนใหญ่เป็นเงินบาทเพิ่มขึ้น โดยในปี 56 บริษัทรับมอบเครื่องบินใหม่ จำนวน 17 ลำ ทำให้ต้นทุนต่อหน่วยลง 2%อัตราการใช้น้ำมันเชื้อเพลิงลดลง 3.1% (เฉลี่ยใช้น้ำมันปีละ 8.5 หมื่นล้านบาท) มีการบริหารความเสี่ยงราคาน้ำมันผันผวน ประมาณ 70%และได้รับเงินชดเชย 56 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 1,885 ล้านบาท ซึ่งสิ้นสุด 31 ธ.ค.56 ฝูงบินมี 100 ลำ อายุเฉลี่ย 9.3 ปี
โดยมีการรับมอบเครื่องบินใหม่ 17 ลำปลดระวางเครื่องบินเก่า 16 ลำ โดยมีจำนวนที่นั่งเพิ่มขึ้นจากปี 55 ประมาณ 8.1% ขนส่งผู้โดยสารรวม 21.5 ล้านคนเพิ่มขึ้นจากปีก่อน 9 แสนคน ขนส่งพัสดุภัณฑ์ 655,570 ตัน ลดลง 23,562 ตัน มีรายได้รวม 206,336 ล้านบาทเพิ่มขึ้นจากปีก่อน 4,952 ล้านบาท ขาดทุนสุทธิ 12,000 ล้านบาท โดยปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่อการดำเนินงานคือ ปัญหาทัวร์จีนกรณีทัวร์ศูนย์เหรียญและปัญหาความไม่สงบทางการเมืองในประเทศ
ทั้งนี้ ที่ประชุมเห็นชอบวาระแต่งตั้งกรรมการ 5 คนแทนกรรมการที่ครบวาระ และเห็นชอบการยกเลิกวงเงินคงเหลือสำหรับออกและเสนอขายหุ้นกู้เดิมและอนุมัติให้บริษัทฯ ออกและเสนอขายหุ้นกู้ในวงเงินรวมไม่เกิน 40,000 ล้านบาทภายใน 5 ปี (เม.ย.53-เม.ย. 58) ซึ่งบริษัทฯได้ออกและเสนอขายตราสารหนี้ประเทหุ้นกู้ภายในประเทศไปแล้ว 8 ครั้ง ปัจจุบันคงเหลือที่สามารถออกหุ้นกู้ภายในประเทศได้อีก 6,300 ล้านบาท ซึ่งบริษัทฯมีความต้องการใช้เงินทุนอีกจำนวนหนึ่งเพื่อชำระคืนเงินกู้ที่ครบกำหนดหรือชำระคืนเงินกู้ที่มีต้นทุนทางการเงินสูงกว่า หรือเป็นเงินทุนหมุนเวียน