นายสุเทพ เทือกสุบรรณ อดีตเลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ นำมวลชนโค่นล้มระบอบทักษิณดำเนินมาได้ 6 เดือนแล้ว เป็นการสร้างสถิติใหม่ประท้วงรัฐบาลที่มีผู้ออกมาร่วมชุมนุมมากที่สุดเป็นประวัติการณ์นับล้านคน และระยะเวลายาวนานมากที่สุด แต่รัฐบาลนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ยังคงเป็นรัฐบาล (รักษาการ) ที่ไม่รู้สึกรู้สากับเสียงคัดค้านก่นด่าได้ต่อไป แม้จะเข้าทำเนียบฯ ไม่ได้นานแล้ว แต่ก็ย้ายที่ประชุมคณะรัฐมนตรีไปเรื่อย เช่นเดียวกับรัฐบาลนายสมัคร สุนทรเวช นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ ก่อนโน้น
นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นั่นถึงกับประกาศว่า นางพร้อมจะตายเพื่อประชาธิปไตย ซึ่งก็เช่นเดียวกับนายสุเทพ เทือกสุบรรณ ที่ยืนยันอยู่ทุกค่ำคืนกับประชาชนว่า ที่ออกมาต่อสู้ครั้งนี้ก็เพื่อให้ประเทศชาติเป็นประชาธิปไตยจริงๆ
ต่างก็อ้างคำว่าประชาธิปไตยด้วยกันทั้งนางสาวยิ่งลักษณ์ และนายสุเทพ ประชาธิปไตยของทั้งสองคนน่าจะแตกต่างกัน
ประชาธิปไตยของนางสาวยิ่งลักษณ์คือนางมาจากการเลือกตั้ง มาจากเสียงข้างมาก เพราะประชาชนเลือกพรรคเพื่อไทยที่นางสาวยิ่งลักษณ์สังกัดน่าจะไม่ต่ำกว่า 15 ล้านเสียง โดยที่นางไม่เคยข้องแวะกับการเมืองมาก่อน เพียงแต่เป็นคนที่พี่ชายของนางคือ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เลือกให้เป็นนายกรัฐมนตรี นางก็ได้รับเลือก และเป็นนายกรัฐมนตรีมา 2 ปีกว่า เจอกับการชุมนุมประท้วงที่พรรคเพื่อไทยและพรรคร่วมรัฐบาลอื่นๆ ผ่านร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรม นางสาวยิ่งลักษณ์ก็ประกาศยุบสภา
ประชาธิปไตยของนางสาวยิ่งลักษณ์ นักการเมือง หรือตัวนางเองที่ถูกกำหนดให้เป็นนายกรัฐมนตรี ไม่จำเป็นต้องรักษาคำพูด จะโกหกมดเท็จถือเป็นเรื่องปกติธรรมดา ดังจะเห็นได้จากก่อนการเลือกตั้งระหว่างหาเสียงมีคำถามว่า มีผู้คนสงสัยว่านางจะมาเป็นนายกรัฐมนตรีเพื่อที่จะนิรโทษกรรมให้พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร หรือไม่?
นางสาวยิ่งลักษณ์ตอบชัดถ้อยชัดคำว่า พรรคเพื่อไทยคงไม่อนุญาตให้ดิฉันทำเพื่อคนคนเดียวหรอกค่ะ
แต่ปรากฏว่า สิ่งที่รัฐบาลนางสาวยิ่งลักษณ์มุ่งมั่นทำตลอดมาตั้งแต่วันแรกที่เข้ารับตำแหน่งจนกระทั่งทุกวันนี้ ล้วนแต่ทำเพื่อทักษิณพี่ชายของนางทั้งสิ้น ดังจะเห็นจากการล็อบบี้สถานทูตญี่ปุ่นขอวีซ่าให้ทักษิณเข้าญี่ปุ่น คืนหนังสือเดินทางให้ทักษิณ ทั้งที่ทักษิณถูกศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองตัดสินจำคุก พยายามจะให้ทักษิณพ้นโทษตั้งแต่วันเฉลิมพระชนมพรรษาปี 2554 แต่กระแสคัดค้านสูงจึงได้หยุด หลังจากนั้นก็เพียรพยายามเสนอร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรม จนในที่สุดก็เข็นให้ผ่านวาระที่ 3 จนกระทั่งเกิดการประท้วงมาถึงทุกวันนี้
ประชาธิปไตยในความหมายของนางสาวยิ่งลักษณ์คือการปิดบังซ่อนเร้น ดังจะเห็นจากนโยบายรับจำนำข้าวที่ทำให้ประเทศฉิบหายไปกับนโยบายนี้น่าจะไม่ต่ำกว่า 4 แสนล้านบาท โดยที่ไม่มีใครทราบว่าข้าวที่รัฐบาลรับจำนำไว้มีจำนวนเท่าใด คุณภาพเป็นอย่างไร ขายไปให้ใครบ้าง ราคาเท่าไร ทั้งๆ ที่เรื่องเช่นนี้ไม่ใช่เรื่องที่จะต้องปกปิด และรัฐบาลที่ผ่านมาก็ไม่เคยถือเป็นเรื่องลับ
ประชาธิปไตยในความหมายของนางสาวยิ่งลักษณ์คือไม่ต้องรับผิดชอบ เมื่อมีเสียงร้องต่อ ป.ป.ช.ว่ามีการทุจริตในโครงการรับจำนำข้าว และเมื่อนางถูก ป.ป.ช.ตรวจสอบ นางก็บอกว่า นางเพียงดูแลนโยบาย นางไม่ใช่ผู้ปฏิบัติ การที่ ป.ป.ช.ตรวจสอบนางจึงไม่ถูกต้อง บริษัทบริวารของนางต่างออกมาข่มขู่ ป.ป.ช.ว่าจะเอาผิดนางไม่ได้ มวลชนที่สนับสนุนนางต่างออกมาข่มขู่ว่า ถ้าหากพิจารณาแล้วตัดสินว่า นางสาวยิ่งลักษณ์มีความผิดบ้านเมืองอาจจะถึงขั้นจลาจล
ประชาธิปไตยในความหมายของนางสาวยิ่งลักษณ์คือ ศาลจะต้องพิจารณาตัดสินคดีความให้นางถูก หากไม่แล้วบ้านเมืองก็จะวุ่นวายไม่สงบสุข
ขณะเดียวกันบริษัทบริวารที่สนับสนุนนางก็ออกมาพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า ศาลจะตัดสินอย่างนั้นอย่างนี้ไม่ได้ ต้องตัดสินไม่เอาผิดนางสาวยิ่งลักษณ์
ขี้ข้าที่เป็นนักกฎหมายของนางบางคนถึงกับบอกว่า ศาลหยุดพิจารณาเรื่องนี้ได้แล้ว ฯลฯ
เรายังไม่ได้เห็นประชาธิปไตยของนายสุเทพ เทือกสุบรรณ เป็นรูปแบบใด แต่การที่นายสุเทพประกาศว่า ไม่เอาระบอบทักษิณ ก็น่าที่จะเป็นประชาธิปไตยที่ตรงข้ามกับประชาธิปไตยของนางสาวยิ่งลักษณ์อย่างสิ้นเชิง
เพราะถ้าหากนายสุเทพจะเอาอย่างนางสาวยิ่งลักษณ์ หรืออย่างต้นแบบคือ ทักษิณก็คงไม่ออกมาต่อต้าน ไม่ออกมาประกาศที่จะล้มล้าง หรือจะไม่ทำอะไรเลยอยู่เฉยๆ ไม่ต้องมาเหน็ดเหนื่อย ไม่ต้องมาเสี่ยงคุกเสี่ยงตะราง ทำตัวเป็นนักการเมืองประเภทเดียวกันกับนางสาวยิ่งลักษณ์หรือทักษิณ นายสุเทพก็น่าจะหาประโยชน์ได้
บรรดาลิ่วล้อ บริษัทบริวาร ขี้ข้าของทักษิณออกมาประกาศปกป้องประชาธิปไตยของทักษิณ โดยเอาการเลือกตั้งเป็นตัวชี้วัดประชาธิปไตยก็เพราะว่า การเลือกตั้งของพวกเขาเตรียมพร้อมสมบูรณ์แล้วตั้งแต่ทักษิณตั้งพรรคเพื่อไทยด้วยการต้อนนักการเมืองเข้าคอกซื้อมาเป็นรายตัว ซื้อมาเป็นฝูง เท่านั้นยังไม่พอ ยังซื้อมาเป็นพรรคๆ อีกตั้งหลายพรรคถึงเวลาเลือกตั้งก็ซื้อประชาชนที่มีสิทธิเลือกตั้ง ซื้อโดยตรงบ้าง ซื้อด้วยนโยบายประชานิยมเอาเงินภาษีของประชาชนไปซื้อบ้าง
พวกมันจึงได้ร้องเย้วๆ เลือกตั้ง ต้องเลือกตั้งอยู่ทุกวันนี้ไงล่ะครับ
นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นั่นถึงกับประกาศว่า นางพร้อมจะตายเพื่อประชาธิปไตย ซึ่งก็เช่นเดียวกับนายสุเทพ เทือกสุบรรณ ที่ยืนยันอยู่ทุกค่ำคืนกับประชาชนว่า ที่ออกมาต่อสู้ครั้งนี้ก็เพื่อให้ประเทศชาติเป็นประชาธิปไตยจริงๆ
ต่างก็อ้างคำว่าประชาธิปไตยด้วยกันทั้งนางสาวยิ่งลักษณ์ และนายสุเทพ ประชาธิปไตยของทั้งสองคนน่าจะแตกต่างกัน
ประชาธิปไตยของนางสาวยิ่งลักษณ์คือนางมาจากการเลือกตั้ง มาจากเสียงข้างมาก เพราะประชาชนเลือกพรรคเพื่อไทยที่นางสาวยิ่งลักษณ์สังกัดน่าจะไม่ต่ำกว่า 15 ล้านเสียง โดยที่นางไม่เคยข้องแวะกับการเมืองมาก่อน เพียงแต่เป็นคนที่พี่ชายของนางคือ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เลือกให้เป็นนายกรัฐมนตรี นางก็ได้รับเลือก และเป็นนายกรัฐมนตรีมา 2 ปีกว่า เจอกับการชุมนุมประท้วงที่พรรคเพื่อไทยและพรรคร่วมรัฐบาลอื่นๆ ผ่านร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรม นางสาวยิ่งลักษณ์ก็ประกาศยุบสภา
ประชาธิปไตยของนางสาวยิ่งลักษณ์ นักการเมือง หรือตัวนางเองที่ถูกกำหนดให้เป็นนายกรัฐมนตรี ไม่จำเป็นต้องรักษาคำพูด จะโกหกมดเท็จถือเป็นเรื่องปกติธรรมดา ดังจะเห็นได้จากก่อนการเลือกตั้งระหว่างหาเสียงมีคำถามว่า มีผู้คนสงสัยว่านางจะมาเป็นนายกรัฐมนตรีเพื่อที่จะนิรโทษกรรมให้พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร หรือไม่?
นางสาวยิ่งลักษณ์ตอบชัดถ้อยชัดคำว่า พรรคเพื่อไทยคงไม่อนุญาตให้ดิฉันทำเพื่อคนคนเดียวหรอกค่ะ
แต่ปรากฏว่า สิ่งที่รัฐบาลนางสาวยิ่งลักษณ์มุ่งมั่นทำตลอดมาตั้งแต่วันแรกที่เข้ารับตำแหน่งจนกระทั่งทุกวันนี้ ล้วนแต่ทำเพื่อทักษิณพี่ชายของนางทั้งสิ้น ดังจะเห็นจากการล็อบบี้สถานทูตญี่ปุ่นขอวีซ่าให้ทักษิณเข้าญี่ปุ่น คืนหนังสือเดินทางให้ทักษิณ ทั้งที่ทักษิณถูกศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองตัดสินจำคุก พยายามจะให้ทักษิณพ้นโทษตั้งแต่วันเฉลิมพระชนมพรรษาปี 2554 แต่กระแสคัดค้านสูงจึงได้หยุด หลังจากนั้นก็เพียรพยายามเสนอร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรม จนในที่สุดก็เข็นให้ผ่านวาระที่ 3 จนกระทั่งเกิดการประท้วงมาถึงทุกวันนี้
ประชาธิปไตยในความหมายของนางสาวยิ่งลักษณ์คือการปิดบังซ่อนเร้น ดังจะเห็นจากนโยบายรับจำนำข้าวที่ทำให้ประเทศฉิบหายไปกับนโยบายนี้น่าจะไม่ต่ำกว่า 4 แสนล้านบาท โดยที่ไม่มีใครทราบว่าข้าวที่รัฐบาลรับจำนำไว้มีจำนวนเท่าใด คุณภาพเป็นอย่างไร ขายไปให้ใครบ้าง ราคาเท่าไร ทั้งๆ ที่เรื่องเช่นนี้ไม่ใช่เรื่องที่จะต้องปกปิด และรัฐบาลที่ผ่านมาก็ไม่เคยถือเป็นเรื่องลับ
ประชาธิปไตยในความหมายของนางสาวยิ่งลักษณ์คือไม่ต้องรับผิดชอบ เมื่อมีเสียงร้องต่อ ป.ป.ช.ว่ามีการทุจริตในโครงการรับจำนำข้าว และเมื่อนางถูก ป.ป.ช.ตรวจสอบ นางก็บอกว่า นางเพียงดูแลนโยบาย นางไม่ใช่ผู้ปฏิบัติ การที่ ป.ป.ช.ตรวจสอบนางจึงไม่ถูกต้อง บริษัทบริวารของนางต่างออกมาข่มขู่ ป.ป.ช.ว่าจะเอาผิดนางไม่ได้ มวลชนที่สนับสนุนนางต่างออกมาข่มขู่ว่า ถ้าหากพิจารณาแล้วตัดสินว่า นางสาวยิ่งลักษณ์มีความผิดบ้านเมืองอาจจะถึงขั้นจลาจล
ประชาธิปไตยในความหมายของนางสาวยิ่งลักษณ์คือ ศาลจะต้องพิจารณาตัดสินคดีความให้นางถูก หากไม่แล้วบ้านเมืองก็จะวุ่นวายไม่สงบสุข
ขณะเดียวกันบริษัทบริวารที่สนับสนุนนางก็ออกมาพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า ศาลจะตัดสินอย่างนั้นอย่างนี้ไม่ได้ ต้องตัดสินไม่เอาผิดนางสาวยิ่งลักษณ์
ขี้ข้าที่เป็นนักกฎหมายของนางบางคนถึงกับบอกว่า ศาลหยุดพิจารณาเรื่องนี้ได้แล้ว ฯลฯ
เรายังไม่ได้เห็นประชาธิปไตยของนายสุเทพ เทือกสุบรรณ เป็นรูปแบบใด แต่การที่นายสุเทพประกาศว่า ไม่เอาระบอบทักษิณ ก็น่าที่จะเป็นประชาธิปไตยที่ตรงข้ามกับประชาธิปไตยของนางสาวยิ่งลักษณ์อย่างสิ้นเชิง
เพราะถ้าหากนายสุเทพจะเอาอย่างนางสาวยิ่งลักษณ์ หรืออย่างต้นแบบคือ ทักษิณก็คงไม่ออกมาต่อต้าน ไม่ออกมาประกาศที่จะล้มล้าง หรือจะไม่ทำอะไรเลยอยู่เฉยๆ ไม่ต้องมาเหน็ดเหนื่อย ไม่ต้องมาเสี่ยงคุกเสี่ยงตะราง ทำตัวเป็นนักการเมืองประเภทเดียวกันกับนางสาวยิ่งลักษณ์หรือทักษิณ นายสุเทพก็น่าจะหาประโยชน์ได้
บรรดาลิ่วล้อ บริษัทบริวาร ขี้ข้าของทักษิณออกมาประกาศปกป้องประชาธิปไตยของทักษิณ โดยเอาการเลือกตั้งเป็นตัวชี้วัดประชาธิปไตยก็เพราะว่า การเลือกตั้งของพวกเขาเตรียมพร้อมสมบูรณ์แล้วตั้งแต่ทักษิณตั้งพรรคเพื่อไทยด้วยการต้อนนักการเมืองเข้าคอกซื้อมาเป็นรายตัว ซื้อมาเป็นฝูง เท่านั้นยังไม่พอ ยังซื้อมาเป็นพรรคๆ อีกตั้งหลายพรรคถึงเวลาเลือกตั้งก็ซื้อประชาชนที่มีสิทธิเลือกตั้ง ซื้อโดยตรงบ้าง ซื้อด้วยนโยบายประชานิยมเอาเงินภาษีของประชาชนไปซื้อบ้าง
พวกมันจึงได้ร้องเย้วๆ เลือกตั้ง ต้องเลือกตั้งอยู่ทุกวันนี้ไงล่ะครับ