xs
xsm
sm
md
lg

ผลการเลือกตั้งตบหน้ารัฐบาลหุ่นยิ่งลักษณ์

เผยแพร่:   โดย: ราวี เวียงพยัคฆ์

เลือกตั้งทั่วไปเมื่อวันที่ 2 กุมภาพันธ์ ผ่านไปแล้วด้วยความเรียบร้อย คือไม่มีเหตุจลาจล ไม่มีการฆ่าฟันบาดเจ็บล้มตาย แต่ก็เป็นการเลือกตั้งที่ค่อนข้างจะทุลักทุเลเอาการ เป็นการเลือกตั้งที่ไม่ปกติยิ่งกว่าการเลือกตั้งครั้งใดๆ ที่ผ่านมา แม้การเลือกตั้งเมื่อวันที่ 2 เมษายน 2549 ที่ศาลเคยตัดสินให้การเลือกตั้งเป็นโมฆะก็ยังไม่เท่าครั้งนี้

ก่อนการเลือกตั้ง คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ได้มองเห็นความผิดปกติอยู่ก่อนแล้ว จึงเรียกร้องรัฐบาลให้เลื่อนการเลือกตั้งออกไป รัฐบาลยืนยันว่าเลื่อนการเลือกตั้งไม่ได้ไม่มีกฎหมายให้ทำได้ กกต.ต้องร้องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่าเลื่อนได้หรือไม่ได้ ศาลวินิจฉัยว่าเลื่อนได้แต่จะเลื่อนหรือไม่เลื่อนอย่างไรเป็นเรื่องที่รัฐบาลกับ กกต.จะต้องพิจารณาร่วมกัน และเมื่อทั้งสองฝ่ายพิจารณาร่วมกัน รัฐบาลยืนยันว่าต้องเลือกตั้งวันที่ 2 กุมภาพันธ์

รัฐบาลตัดสินใจเลือกตั้งวันที่ 2 กุมภาพันธ์ทั้งที่ประชาชนทั้งหลายบอกกล่าวให้รัฐบาลรู้ล่วงหน้าแล้วว่าเลือกตั้งจะต้องโมฆะอย่างแน่นอน เพราะการเลือกตั้งทั่วไปกฎหมายเลือกตั้งเขียนไว้ชัดเจนว่าจะต้องเลือกพร้อมกันทั่วประเทศ แต่ปรากฏว่า ในกรุงเทพมหานครเลือกตั้งไม่ได้ 3 เขต ภาคใต้เลือกตั้งไม่ได้หลายจังหวัด บางจังหวัดในภาคเหนือจัดการเลือกตั้งอย่างทุลักทุเล เพราะกรรมการการเลือกตั้งลาออก

การเลือกตั้งล่วงหน้าที่ กกต.กำหนดให้วันที่ 26 มกราคมเป็นวันเลือกตั้ง มีประชาชนที่แสดงความจำนงไปใช้สิทธิไม่ได้กว่า 2 ล้านคน กกต.กำหนดให้วันที่ 23 กุมภาพันธ์เป็นวันเลือกตั้งล่วงหน้า

เป็นการเลือกตั้งล่วงหน้าที่ทำทีหลังการเลือกตั้งทั่วไป และหลังจากที่รู้ผลการลงคะแนนการเลือกตั้งทั่วไปแล้ว (แม้ว่า กกต.จะยังไม่ประกาศอย่างเป็นทางการ) ซึ่งแน่นอนว่าจะส่งผลให้การลงคะแนนต่อมาไม่บริสุทธิ์ยุติธรรม เพราะรู้ผลการนับคะแนนการเลือกตั้งในวันที่ 2 กุมภาพันธ์ไปแล้ว

ถ้าหากในที่สุดแล้วการเลือกตั้งจะต้องโมฆะตามคำพิพากษาของศาล ก็จะทำให้ค่าใช้จ่ายในการลือกตั้ง 3,800 ล้านบาทสูญเปล่า ซึ่งจะไม่แตกต่างไปจากการรับจำนำข้าวที่มีผู้รู้ร้องเตือนรัฐบาลแล้วว่าอย่าทำ อย่ารับจำนำข้าว อยากช่วยชาวนาให้ใช้วิธีอื่น แต่รัฐบาลก็ไม่ฟังเดินหน้ารับจำนำข้าว แล้วในที่สุดก็สร้างความฉิบหายให้กับประเทศ เพราะตัวเลขขาดทุนแล้วไม่ต่ำกว่า 4.7 แสนล้านบาท และความฉิบหายจะต้องตามมาอีก เพราะข้าวที่อยู่ในโกดังเน่าเสีย ซ้ำวันนี้รัฐบาลยังไม่มีปัญญาจ่ายเงินที่ชาวนาเอาข้าวมาจำนำไว้กับรัฐบาลเกือบทั่วประเทศเพราะการบริหารจัดการที่ไม่ดี ผู้บริหาร คือนายกรัฐมนตรี ไม่มีความรู้ ไม่มีความสามารถ

พูดกันอย่างตรงไปตรงมาก็คือ โง่

การเลือกตั้งทั่วไปครั้งนี้ก็เช่นเดียวกัน คือเมื่อมีประชาชนออกมาเรียกร้องให้มีการปฏิรูปประเทศ รัฐบาลก็ตัดสินใจยุบสภาเพื่อเลือกตั้งใหม่ เพราะแน่ใจในผลการเลือกตั้งว่า พรรครัฐบาลจะต้องชนะอย่างแน่นอน เพราะพรรครัฐบาลได้รวบรวมนักการเมือง นักเลือกตั้งไว้ในพรรคตั้งแต่สมัยที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตรตั้งพรรคไทยรักไทยโน่นแล้ว ครั้งนั้นมีการต้อนนักการเมืองไม่ต่างกับต้อนวัวต้อนควายเข้าคอก

แถมยังซื้อยกคอกอีกต่างหาก เช่นคอกความหวังใหม่ คอกเสรีประชาธิปไตย ฯลฯ และแต่ละคนแต่ละคอกก็ซื่อสัตย์ จงรักภักดีกับทักษิณ นายเงินเป็นอย่างดี

ด้วยเหตุนี้ รัฐบาลโดยนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกฯ หุ่นจึงเดินหน้าเลือกตั้งอย่างเดียว ไม่สนใจเสียงเรียกร้องของประชาชน เพราะการเลือกตั้งเป็นกรรมวิธีที่จะได้บอกชาวโลกว่า นางมาจากประชาชน และมาจากการเลือกตั้ง ซึ่งก็สอดคล้องกับนักประชาธิปไตยที่มองว่า ประชาธิปไตย คือการเลือกตั้งอย่างเดียว ถ้ายังไม่เลือกตั้งไม่เป็นประชาธิปไตยเพราะประเทศประชาธิปไตยทั้งหลายในโลกนี้เขาเลือกตั้งกันทั้งนั้น

ผลการเลือกตั้งที่ออกมาเมื่อวันที่ 2 กุมภาพันธ์ ตบหน้ารัฐบาล และตบหน้านักประชาธิปไตยที่บอกว่า ประชาธิปไตยจะต้องเลือกตั้ง ไม่ว่าการเลือกตั้งนั้นเห็นอยู่แล้วว่า ขี้ข้าทักษิณคอกเดิมๆ จะต้องเข้าสภาฯ และเข้ามาทำความเสียหายให้กับประเทศอีก เป็นต้นว่า มาสนับสนุนนางสาวยิ่งลักษณ์ที่ไม่ประสีประสาทางการเมืองให้เป็นนายกรัฐมนตรีมาออกกฎหมายที่ขาดหลักนิติธรรมดังช่นที่ออก พ.ร.บ.นิรโทษกรรม หรือแก้ไขรัฐธรรมนูญที่ขัดรัฐธรรมนูญ หรือมาสนับสนุนรัฐบาลให้คอร์รัปชันในโครงการต่างๆ ดังที่สร้างความเสียหายมาแล้วเมื่อ 2 ปีที่ผ่านมา เพราะประชาชนไปใช้สิทธิไม่ถึง 50 เปอร์เซ็นต์ ในกรุงเทพฯ ใช้สิทธิเลือกตั้งไม่ถึง 30 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งแน่นอนว่าใน 30 เปอร์เซ็นต์นี้มีจำนวนไม่น้อยที่กาบัตรเลือกตั้งให้เสีย หรือกาในช่องไม่ประสงค์จะลงคะแนนให้ใครเพื่อรักษาสิทธิความเป็นพลเมืองดีเอาไว้

แน่นอนว่า เลือกตั้งเสร็จแล้วก็ประกาศผลอย่างเป็นทางการไม่ได้ต้องรอเลือกตั้งอีกหลายรอบ และระหว่างนี้ก็จะมีการฟ้องร้องให้การเลือกตั้งเป็นโมฆะซึ่งมีแนวโน้มว่าจะเป็นโมฆะค่อนข้างสูง จะทำให้เสียเงิน เสียเวลา และประเทศก็เสียโอกาส

ประชาชนที่ออกมาคัดค้านรัฐบาลตั้งแต่ต้นเดือนสิงหาคมที่สวนลุมฯ ที่ออกมาที่สามเสนเมื่อวันที่ 31 ตุลาคม จนพัฒนามาเป็นมวลมหาประชาชนอันไพศาล ก็คงจะยืนหยัดคัดค้านรัฐบาลต่อไป อาจจะเปลี่ยนรูปแบบที่จะทำให้รัฐบาลรักษาการบริหารไม่ได้

แขนขาของรัฐบาลคือ ข้าราชการจากกระทรวงทบวงต่างๆ ก็จะเริ่มเอือมระอาต่อความหนังหนาหน้าด้านของรัฐบาลเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จากกระทรวงสาธารณสุข กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงเกษตรฯ กระทรวงแรงงาน และก็จะมีกระทรวงอื่นๆ ตามมาอย่างแน่นอน

รัฐบาลนี้ไม่มีทางที่จะอยู่ได้ เมื่อประชาชนอันไพศาลปฏิเสธรัฐบาล
กำลังโหลดความคิดเห็น