ASTVผู้จัดการสุดสัปดาห์ -เป็นความบังเอิญหรือจงใจวางแผนมาอย่างแนบเนียนของไอ้โม่งที่อยู่เบื้องหลัง เพราะจู่ๆ นายวุฒิพงศ์ กชธรรมคุณ หรือ โกตี๋ ที่ทำกร่างเป็นไอดอล “แดงฮาร์ดคอร์” ก็ลุกขึ้นมากระโจนเข้าแก๊ง “แดงล้มเจ้า” ก่อกระแสวิพากษ์วิจารณ์จนถูกพวกเดียวกันเองทำทีถีบหัวส่ง กระทั่งนายโกตี๋ออกมาตัดพ้อต่อว่านายทำกับเขาเหมือนกับภาษิต “เสร็จนาฆ่าโคถึก” ซึ่งมีนัยว่าการออกมาให้สัมภาษณ์สื่อต่างชาติจาบจ้วงสถาบันเบื้องสูงไม่ใช่เป็นสิ่งที่นายโกตี๋ทำไปโดยไม่รู้ แต่เป็นนอมินีรับงานมาโชว์พาวชัดๆ
ขณะที่ “โกตี๋” ยังไม่ทันหุบปากด้วยซ้ำ นางสาวฉัตรวดี อมรพัฒน์ หรือ “โรส ลอนดอน” ก็ทำตัวเสมือนสานงานต่ออัดคลิปพาดพิงสถาบันเบื้องสูงเผยแพร่ผ่านสังคมออนไลน์ ทำให้ผู้เป็นพ่อแม่ถูกกดดันจากสังคมรอบข้างจนต้องเข้าแจ้งความกับตำรวจให้เอาผิดกับลูกในไส้ ไม่นับตัวแสบอย่างนายเอกภพ เหลือรา หรือ “ตั้ง อาชีวะ” ผู้ต้องหาคดีหมิ่นฯ ซึ่งอัดคลิปมาเย้ย “องค์กรเก็บขยะแผ่นดิน” ที่ประกาศไล่ล่าพวกหมิ่นสถาบัน
เป็นความบังเอิญหรือวางแผนอย่างแนบเนียน เพราะขณะที่ก๊วนแก๊งแดงคอกเพื่อไทยก่อคดีหมิ่นสถาบันอย่างอึกทึกครึกโครม ช่างบังเอิญเสียเหลือเกินที่มีการเปิดตัวพรรคการเมืองใหม่ภายใต้ชื่อ พรรคคนธรรมดาแห่งประเทศไทย (คธท.) ใช้ชื่อภาษาอังกฤษว่า Commoner Party of Thailand (CPT) เป็นชื่อย่อ CPT ที่สอดคล้องกับพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย (พคท.) (Communist Party of Thailand - CPT) พรรคการเมืองในอดีตที่คิดปฏิวัติเปลี่ยนแปลงประเทศไทยอย่างถอนรากถอนโคน โค่นล้มฟาสต์ซิสต์ ศักดินา และบรรดาอำมาตย์ทั้งหลาย ดังที่หัวโจกแดงมักหยิบฉวยมาแต่งเรื่องปลุกระดมมวลชนอยู่เป็นประจำ
พรรคคนธรรมดาฯ แถลงข่าวเปิดตัวเมื่อวันที่ 20 เม.ย. 2557 หลังจากนายศุภชัย สมเจริญ ประธานกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) นายทะเบียนพรรคการเมือง ได้รับจดทะเบียนจัดตั้งพรรคคนธรรมดาแห่งประเทศไทย เมื่อวันที่ 5 มี.ค. 2557 จะว่าไปแล้ว พรรคการเมืองน้องใหม่รายล่าสุดนี้มีส่วนผสมที่ออกจะชวนพิศวงอยู่ไม่น้อย
หนึ่งคือ หัวหน้าพรรค นายธนพร ศรียากูล อดีตรองหัวหน้าพรรคมัชฌิมาธิปไตย ซึ่งถูกตัดสิทธิทางการเมืองเป็นเวลาห้าปี โดยเป็นหนึ่งในสมาชิกบ้านเลขที่ 109 กล่าวได้ว่า นายธนพร ทำงานการเมืองใกล้ชิดกับนายสมศักดิ์ เทพสุทิน หัวหน้ากลุ่มมัชฌิมาธิปไตย และนางพรทิวา นาคาศัย แห่งพรรคภูมิใจไทย อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ตั้งแต่ปี 2544 จนถูกตัดสิทธิในปี 2551 ประเด็นนี้คอการเมืองคงอดตั้งข้อสังเกตไม่ได้ เพราะทำเนียบนักการเมืองไทยนั้นเป็นที่รู้กันดีว่าชื่อเสียงของนายสมศักดิ์ และนางพรทิวา จัดอยู่ในประเภทน้ำดีหรือน้ำเน่า แล้ววันนี้คนใกล้ชิดนายสมศักดิ์ กลับกล้ามาประกาศจัดตั้งพรรคเป็นทางเลือกใหม่ให้กับประชาชน ผ่านแคมเปญรณรงค์ของพรรคคือ “เท่าเทียมทั่วไทย”
สอง นโยบายของพรรคคนธรรมดาฯ ที่กล้าเสนอยกเลิกหรือแก้ไขประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 ภายใต้ข้ออ้างเพื่อปกป้องสถาบัน ขณะที่นโยบายด้านอื่นๆ ดูเหมือนจะเขียนไว้อย่างเลิศหรูอลังการงานสร้าง เพราะจะผลักดันแก้ไขปัญหาในด้านต่างๆ ในระดับโครงสร้างเลยทีเดียว
เช่น ออกกฎหมายยกพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้เป็นเขตบริหารพิเศษเหมือนกับเกาะฮ่องกง, ยกเลิกการปกครองส่วนภูมิภาค ส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น, ปฏิรูปกองทัพ เลิกการเกณฑ์ทหาร ลดประจำการ ปรับเป็นระบบกำลังสำรองพร้อมรบแทน, ปฏิรูประบบราชการ ให้ตั้งสหภาพได้, จัดเก็บภาษีที่ดิน ภาษีมรดก ภาษีเก็งกำไรตลาดหุ้น, ขจัดความไม่เป็นธรรมทางการค้า ส่วนด้านสิทธิเสรีภาพให้หยุดการตีตราด้วยการยกเลิกคำนำหน้านาย, นาง, นางสาว และให้ชนกลุ่มน้อยมีบัตรประชาชนใบแรกรับรองสิทธิความเป็นพลเมือง ฯลฯ
ด้วยนโยบายที่แลดูสุดยอดสำหรับประชาชนคนธรรมดา คนชายขอบ คนที่ไม่มีปากมีเสียงในสังคมนี่เองที่ทำให้ในวันแถลงข่าวเปิดตัวพรรคต่างคึกคักไปด้วยนักวิชาการระดับบิ๊ก เนมที่ให้ความช่วยเหลือ ให้ความคิดอ่านกับภาคประชาชน ดังเช่น ศ.ดร.นิธิ เอียวศรีวงศ์ ที่ขึ้นกล่าวปาฐกถานำ ให้ความหวังว่า พรรคคนธรรมดาแห่งประเทศไทยนั้น เป็นปรากฏการณ์ที่ไม่เคยมีมาก่อน เพราะเสนอนโยบายเชิงโครงสร้างอย่างเป็นรูปธรรมที่สุด และอาจจะมีโอกาสประสบความสำเร็จเพราะสังคมเปลี่ยนแปลงไปมากกว่าแต่ก่อน ข้อเสนอก็จะทำให้เป็นที่รับรู้อย่างกว้างขวางในสังคม และอาจทำให้พรรคใหญ่อย่างเพื่อไทยและประชาธิปัตย์ พลอยปรับตัวตามไปด้วย
นอกจากนั้น งานเสวนาในวันเปิดตัวพรรคในหัวข้อ “ พรรคการเมืองกับนโยบายปฏิรูป” ก็มีนักวิชาการเข้าร่วมมากมาย เช่น นายสุธาชัย ยิ้มประเสริฐ อาจารย์ประจำคณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, นายประภาส ปิ่นตบแต่ง อาจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์ จุฬา ฯ, นายชยงการ ภมรมาศ อาจารย์คณะบริหารธุรกิจ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีมหานคร, นายสิโรฒน์ แวปาโอะ เครือข่ายการแก้ไขปัญหาที่ดินและที่อยู่อาศัยเทือกเขาบูโด, นายชัชวาล พิศดำขำ มูลนิธิห้วยขาแข้ง และมูลนิธิสืบนาคะเสถียร และ นางวิภา ดาวมณี มูลนิธิวีรชนประชาธิปไตย
ที่น่าจับตา ก็คือมีนักวิชาการแนวร่วมเสื้อแดงที่ผิดหวังจากพรรคเพื่อไทยดอดมาร่วมงาน โดยเฉพาะนายสมศักดิ์ เจียมธีรสกุล อาจารย์ภาควิชาประวัติศาสตร์ คณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ นายเนติวิทย์ โชติภัทร์ไพศาล เลขาธิการสมาพันธ์นักเรียนไทยเพื่อการปฏิวัติระบบการศึกษาไทย
ขบวนนักวิชาการสายแดงหัวก้าวหน้าที่ตบเท้าเข้าร่วมสานเสวนา ชัดเจนอย่างยิ่งว่าบางคนมาเพราะต้องการสนับสนุนพรรคการเมืองที่มีนโยบายแก้ไขปัญหาและการปฏิรูปเชิงโครงสร้าง ซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่เคยทำได้สำเร็จเลยนับแต่สถาปนารัฐชาติ ไม่ว่าจะนาม “สยาม” หรือ “ไทย” ขณะที่บางคนก็ชัดเจนว่ามาเพราะต้องการสนับสนุนให้มีการยกเลิกหรือแก้ไขมาตรา 112 อย่างนายสมศักดิ์ เจียมธีรสกุล นักวิชาแดงล้มเจ้าตัวพ่อที่เปิดหน้าชกโดยไม่ปิดบังอำพราง แล้วเป้าหมายที่แท้จริงของในการก่อตั้งพรรคคนธรรมดาฯ คืออะไรกันแน่ระหว่างนโยบายเชิงโครงสร้างกับการยกเลิกหรือแก้ไขมาตรา 112
หากถอยหลังย้อนกลับไปสักนิด ก็จะได้คำตอบว่า สิ่งที่อยู่ในหัวสมองของนายธนพร มาตั้งแต่ก่อนจดทะเบียนก่อตั้งพรรคหรือเป็นแรงจูงใจให้ตั้งพรรคด้วยซ้ำนั้นคือ ความต้องการแก้ไขมาตร 112 และการแก้ไขรัฐธรรมนูญฯ มาตรา 309 ลบล้างผลพวงรัฐประหาร และนิรโทษกรรมยกเข่ง รวมทั้งพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีด้วย โดยคำให้สัมภาษณ์ของนายธนพร ต่อ “เว็บไซต์ประชาไท” เผยแพร่เมื่อวันที่ 7 พ.ย. 2556 นั้นสะท้อนความคิดของเขาชัดเจน
นายธนพร ให้เหตุผลที่ชูนโยบายแก้ไขมาตรา 112 เป็นนโยบายสำคัญลำดับต้นๆ เพราะว่าตั้งแต่หลังรัฐประหารปี 2549 สถิติคดี 112 มีจำนวนคดีเพิ่มสูงขึ้น เพราะกฎหมายนี้ถูกนำไปใช้ทางการเมือง โดยที่ตัวสถาบันไม่สามารถโต้ตอบอะไรได้ เรามักจะเห็นการอ้างสถาบัน เมื่อประชาชนจะใช้สิทธิเสรีภาพ เช่น การอ้างเรื่องเขตพระราชฐาน ทำให้คนรู้สึกว่ามีความไม่ใช่คนธรรมดาเกิดขึ้น คือนำเรื่องนี้มาเป็นเครื่องมือในการจำกัดความเป็นคนธรรมดา ซึ่งถ้าปล่อยภาวะนี้ไว้เรื่อยๆ จะเกิดเป็นปัญหาเรื้อรัง สถาบันอยู่ในสถานะที่ทุกคนเคารพสักการะ แต่สถาบันไม่อยู่ในฐานะที่จะตอบโต้อะไรได้ การปล่อยให้ฝ่ายใดก็ตามหยิบยืมเรื่องสถาบันมาใช้ย่อมเป็นอันตราย
สำหรับแนวทางการแก้ไขมาตรา 112 ของพรรคนั้น มี 2 ทางเลือก หนึ่ง ยกเลิกมาตรา 112 ไปเลย อีกทางเลือกหนึ่งคือการสร้างเกณฑ์ในการฟ้องคดีให้ชัดขึ้น อาจจะให้มีองค์กรเฉพาะ เช่น สำนักพระราชวัง มาทำหน้าที่แจ้งความเท่านั้น แทนที่จะเป็นใครก็ได้แจ้งความ อีกทั้งควรแยกความผิดต่อสถาบันออกจากความผิดต่อรัฐให้ชัดเจน และแยกความมั่นคงของสถาบันออกจากความมั่นคงของรัฐ ส่วนความผิดฐานหมิ่นกษัตริย์อาจถือเป็นความผิดฐานหมิ่นประมาท แต่ในฐานะที่กษัตริย์นั้นเป็นประมุขของประเทศ ก็อาจมีบทลงโทษรุนแรงกว่าการหมิ่นประมาทบุคคลทั่วไป
“หากการเสนอแก้ไขหรือยกเลิกมาตรา 112 ถูกกล่าวหาว่าเป็นพวกล้มเจ้า ก็กล่าวหาไป การกระทำของเราจะเป็นเครื่องพิสูจน์ ตนไม่เห็นว่าการแก้ไขมาตรา 112 จะเกี่ยวกับการล้มสถาบันตรงไหน เพราะสถาบันกษัตริย์ก็อยู่คู่กับประเทศไทยมานานแล้วและคงจะอยู่ต่อไปเรื่อยๆ” นายธนพร ยืนยัน
ส่วนจุดยืนต่อการนิรโทษกรรมนั้น นายธนพร บอกว่า ต้องแก้ไขรัฐธรรมนูญ มาตรา 309 เพื่อลบล้างผลพวงของการรัฐประหาร และนำทุกฝ่ายเข้าสู่กระบวนการการพิสูจน์ความจริง นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และนายสุเทพ เทือกสุบรรณ จะต้องเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม ส่วน พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นั้นก็เข้าข่ายมาตรา 309 ซึ่งไม่ได้หมายความว่าเราต้องการล้างผิดให้ พ.ต.ท.ทักษิณ แต่เราต้องการให้ พ.ต.ท.ทักษิณ เข้าสู่กระบวนการยุติธรรม เป็นการ set zero (เริ่มนับศูนย์ใหม่) ให้ทุกฝ่ายได้รับการปฏิบัติอย่างเท่าเทียมในกระบวนการยุติธรรม
คำว่า “set zero” ล้างผิดทุกฝ่ายเป็นคำที่ฝ่ายทักษิณและพวกนปช.โหมกระแสเมื่อช่วงปีที่ผ่านมาในระหว่างการผลักดันกฎหมายนิรโทษกรรมแบบเหมารวมยกเข่ง จนก่อให้เกิดแรงต่อต้านจากพลังมวลมหาประชาชน ก่อเกิดกลุ่ม กปปส. ที่เคลื่อนไหวปฏิรูปประเทศไทย ขับไล่ระบอบทักษิณตั้งแต่ปลายปีที่ผ่านมาจนบัดนี้
การผลักดันให้มีการยกเลิกหรือแก้ไขมาตรา 112 จะทำให้เกิดปรากฏการณ์วิจารณ์เจ้าอย่างเช่นที่คนในสังคมวิตกกังวลจึงไม่ต้องการให้แตะเรื่องนี้ หรือการอาศัยกฎหมายมาตรานี้เล่นงานกันทางการเมือง เป็นเรื่องที่แยกจากกันไม่ออก เพราะต้องไม่ลืมว่าเวลานี้พวกแดงล้มเจ้าหรือแม้แต่แดงฮาร์ดคอร์ก็ก่อเรื่องจาบจ้วงเบื้องบนอยู่บ่อยครั้ง กรณีสำคัญๆ เช่น นายจักรภพ เพ็ญแข, นางดารณี ชาญเชิงศิลปะกุล หรือ ดาร์ตอปิโด จนถึง ตั้ง อาชีวะ, โกตี๋ และล่าสุด โรส ลอนดอน
นายจักรภพ นั้น ยังหนีคดีอยู่ต่างประเทศ ขณะที่ ดาร์ตอร์ปิโด ถูกจับขังคุก ส่วน ตั้ง อาชีวะ รวมทั้ง โกตี๋ และ โรส ลอนดอน ยังคงลอยนวล
กรณีล่าสุด โรส ลอนดอน ซึ่งถูกนายสุรพงศ์ และ นางสมจินตนา อมรพัฒน์ บิดาและมารดาของเธอเอง แจ้งความกับตำรวจให้ดำเนินคดีกับ น.ส.ฉัตรวดี หรือ “โรส” อายุ 34 ปี บุตรสาวคนเล็ก ในความผิดฐานหมิ่นเบื้องสูง ตามมาตรา 112 โดยนำแผ่นดีวีดีบันทึกภาพและเสียงของ น.ส.ฉัตรวดี ที่มีการกล่าวพาดพิงสถาบันเบื้องสูง รวม 7 คลิป มอบให้พนักงานสอบสวนไว้เป็นหลักฐาน เหตุที่ต้องทำเช่นนี้ เพราะพ่อและแม่ของโรสถูกต่อว่า ถูกคุกคามหลังจากบุตรสาว ซึ่งไปทำงานเป็นช่างผม หรือแฮร์สไตลิสต์ ที่กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ ถ่ายคลิปวิดีโอคำพูดพาดพิงสถาบันเบื้องสูงแล้วถูกเผยแพร่ทางเว็บไซต์และสื่อสังคมออนไลน์จนเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์อย่างกว้างขวาง
การแจ้งความของพ่อแม่และถูกด่าทอจากสังคมไทยว่าเป็นลูกทรพีทำเอาโรส ลอนดอน แทบช็อกแต่ก็ยังไม่วายปากเสียไม่เลิก เพราะเธอเชื่อว่าการถือสัญชาติอังกฤษ ทำให้กฎหมายมาตรา 112 ไม่สามารถทำอะไรเธอได้ โดยเธอโพสต์เฟซบุ๊กเมื่อวันที่ 18 เม.ย. 2557 อ้างว่าสิ่งที่ทำไปนั้นเป็นการสู้เพื่อประเทศชาติและประชาชนคนไทย
“ฉันสู้เพื่อประเทศชาติ ประชาธิปไตย ประชาชน ถึงต้องตาย ก็ยังมีเกียรติ มีศักดิ์ศรีมากกว่า ที่จะยอมตายเพื่อทรราชโจรกบฏเผด็จการ ที่สนับสนุนระบอบราชาธิปไตยอำมาตย์ ฉันเชื่อแน่ว่าสิ่งที่ฉันทำไปทั้งหมดก็เพื่อเป็นกระบอกเสียงให้พี่น้องคนไทยส่วนใหญ่ในประเทศ ที่โดนพวก ..... อำมาตย์ ศักดินา ขี้ข้าและฝุ่นใต้ตีน กลั่นแกล้ง กดหัว ข่มเหง รังแก ทำนาบนหลังคนไทยมาช้านาน
“....การที่ฉันมาอยู่อังกฤษ ฉันได้ทำการรีเสิร์ชประวัติศาสตร์การเมืองการปกครองไทยอย่างจริงๆ จังๆ ทั้งภาคภาษาไทย ภาษาอังกฤษ จนกระทั่งฉันตาสว่าง และรับรู้ว่าปัญหาต่างๆ ที่เกิดในประเทศไทยทั้งหมดนั้นก็คือ พวก ..... อำมาตย์ และทหาร ฉันทนเห็นสิ่งเหล่านี้ที่จะเกิดขึ้นในประเทศไทยไม่ได้อีกต่อไป ฉันไม่อยากเห็นการไล่ล่า ทำร้าย การฆ่าฟันคนไทยด้วยกันอีก เพราะความเห็นต่างทางการเมือง.....”
ถึงโรส ลอนดอน จะมั่นใจว่ากฎหมายไทยทำอะไรเธอไม่ได้ แต่ พ.ต.อ.ประสพโชค พร้อมมูล รองผู้บังคับการกองบังคับการปราบปราม (รองผบก.ป.) กล่าวว่า ได้มอบหมายให้พนักงานสอบสวนเร่งตรวจสอบข้อเท็จจริงทั้งหมด หากพบว่าเป็นความผิดจริงแม้จะเกิดขึ้นนอกราชอาณาจักร แต่ถือว่าเข้าข่ายความผิดตามกฎหมายไทย มีการเผยแพร่ทางอินเทอร์เน็ต โดยการสืบสวนสอบสวนเพื่อดำเนินคดีต้องทำงานร่วมกับทางอัยการสูงสุด
หลังจากพ่อและแม่ของโรสเข้าแจ้งความต่อกองปราบฯ ความคืบหน้าของคดีในอีก 4 วันต่อมา พ.ต.อ.ประสพโชค กล่าวว่า หลังจากพิจารณาพยานหลักฐานแล้ว พบว่าพฤติกรรมของ นางสาวฉัตรวดี เข้าข่ายทั้งความผิดฐานหมิ่นเบื้องสูง และความผิดตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ จึงเตรียมทำเรื่องเสนอไปยัง พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) เพื่อพิจารณาตั้งคณะทำงานสอบสวนคดี เช่นเดียวกับกรณีของนายวุฒิพงศ์ กชธรรมคุณ หรือ "โกตี๋" แกนนำคนเสื้อแดง จ.ปทุมธานี ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลอาญา ข้อหาหมิ่นเบื้องสูง
สำหรับการพิจารณาดำเนินคดีกับ นางสาวฉัตรวดี นั้น พ.ต.อ.ประสพโชค กล่าวว่าเจ้าหน้าที่ต้องใช้ความละเอียดรอบคอบ เนื่องจากเป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อนมีอัตราโทษสูง อย่างไรก็ดี เมื่อรวบรวมพยานหลักฐานต่างๆ แล้วจะขออนุมัติศาลอาญาออกหมายจับต่อไป และหากศาลอนุมัติหมายจับแล้วจะเข้าสู่กระบวนการสืบสวนติดตาม โดยอาศัยความร่วมมือทางคดีอาญาระหว่างประเทศไทย กับประเทศอังกฤษ ทางอัยการสูงสุดจะเป็นผู้ทำคำร้อง เนื่องจากผู้ต้องหาอาศัยอยู่ที่ประเทศอังกฤษ
ขณะที่ตำรวจภูธรภาค 1 และศูนย์อำนวยการรักษาความสงบเรียบร้อย (คอ.รส.) ก็ออกมาร่วมขบวนล่าโกตี๋ กับ ตั้ง อาชีวะ กับเขาด้วย โดย พล.ต.ท.นเรศ นันทโชติ ผบช.ภ.1 ระบุว่า ศอ.รส. ได้เรียกประชุมเจ้าหน้าที่ตำรวจที่เกี่ยวข้องเพื่อมอบหมายงานในการติดตามผู้ต้องหาตามหมายจับเกี่ยวกับคดีความมั่นคงและคดีหมิ่นสถาบัน ในส่วนของ บช.ภ.1 นั้น มี 3 หมายจับ ประกอบด้วย การติดตาม นายวุฒิพงษ์ กชธรรมคุณ หรือ โกตี๋ แนวร่วม นปช. ผู้ต้องหาหมิ่นสถาบัน , นายเอกภพ เหลือรา หรือ ตั้ง อาชีวะ ผู้ต้องหาหมิ่นสถาบัน และ นายกฤษดา ไชยแค ผู้ต้องหาปาระเบิด เวที กปปส.อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ
การแสดงท่าทีขึงขังกับผลงานความล้มเหลวตลอดเวลาที่ผ่านมาในการดำเนินคดีหมิ่นสถาบันนั้น ฟ้องตัวเองอยู่โทนโท่ว่า เป็นแค่งานนัดแหกตามวยล้มต้มคนดู เพราะป่านนี้แก๊งแดงล้มเจ้าคอกเพื่อไทยยังลอยนวล ยิ่งมีพรรคการเมืองคนธรรมดาฯ ซึ่งเปิดตัวมาเพื่อยกเลิกหรือแก้ไขมาตรา 112 เป็นวาระสำคัญ ยิ่งน่าจับตามองว่า นี่คือพรรคแนวร่วมใหม่ของขวนการล้มเจ้าที่มีเป้าประสงค์ก่อตั้ง “รัฐไทยใหม่” หรือไม่?