ประชาธิปัตย์จัดครบรอบ 68 ปีก่อตั้งพรรค “อนุทิน-นิกร” ร่วมอวยพร “อภิสิทธิ์” ขอบคุณสมาชิกร่วมกันสร้าง โอ่พรรคมีส่วนกอบกู้วิกฤตเสมอ ไม่เชื่อปะทะกันจะแก้ปมได้ โอดองค์กรอิสระไม่ได้บอกว่าอนาคตต้องทำยังไง หนุนผู้มีอำนาจเคารพกฎหมาย เจรจา กำหนดแนวทางปฏิรูป เป็นแนวทางคลี่คลายปัญหาได้ โวพิมพ์เขียวพรรคพร้อม รอเลือกตั้งเป็นธรรมจะลงสนาม “ชวน” แนะอย่ายอมรับกระบวนการมิชอบ เตือนข้าราชการทบทวนหน้าที่
วันนี้ (6 เม.ย.) ที่พรรคประชาธิปัตย์ เมื่อเวลา 07.45 น.พรรคประชาธิปัตย์ได้จัดงานวันครบรอบการก่อตั้งพรรค 68 ปี ภายใต้ชื่องาน “รวมพลคนประชาธิปัตย์ ย่างเข้าสู่ปีที่ 69 ของการก่อตั้งพรรคประชาธิปัตย์” ซึ่งมีการประกอบพิธีทางศาสนา 3 ศาสนา ได้แก่ ศาสนาพุทธ พราหมณ์ และอิสลาม โดยมี นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ เป็นประธานในพิธีดังกล่าว
สำหรับในปีนี้การจัดงานจะพิเศษแตกต่างจากทุกปีที่ผ่านมา ภายใต้การบริหารงานของคณะกรรมการบริหารชุดใหม่ พร้อมกิจกรรมบนเวทีภายใต้งาน “สู่อนาคตที่ยิ่งใหญ่..เพื่อคนไทยทั้งประเทศ” มีซุ้มอาหารต่างๆ จากร้านชื่อดัง ทำให้บรรยากาศตั้งแต่ช่วงเช้าที่ผ่านมาเป็นไปอย่างคึกคัก
งานวันนี้มีบรรดาแกนนำ, อดีต ส.ส.ตั้งแต่ปี 2500 ถึงปัจจุบัน รวมทั้งสมาชิกพรรค, ตัวแทนสาขาพรรคทั่วประเทศ และผู้สนับสนุนพรรคเดินทางมาร่วมงานอย่างคับคั่ง ส่วนตัวแทนพรรคการเมืองที่เดินทางมาอวยพรและมาร่วมงานดังกล่าว อาทิ นายอนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย นายศุภชัย ใจสมุทร รองเลขาธิการพรรคภูมิใจไทย นายนิกร จำนง กรรมการที่ปรึกษาหัวหน้าพรรคชาติไทยพัฒนา เป็นตัวแทนนำช่อดอกไม้ของนายบรรหาร ศิลปอาชา ประธานที่ปรึกษาพรรคชาติไทยพัฒนา มามอบให้กับพรรคประชาธิปัตย์ด้วย ขณะที่การรักษาความปลอดภัยและความสงบเรียบร้อยนั้น มีเจ้าหน้าที่ตำรวจทั้งในและนอกเครื่องแบบจากท้องที่ สน.บางซื่อ และตำรวจปราบจลาจล (ปจ.) รวมทั้งการ์ดอาสาสมัครรักษาความปลอดภัย กระจายดูแลพื้นที่โดยรอบ
ทั้งนี้ นายอภิสิทธิ์ กล่าวขอบคุณ ส.ส.และอดีต ส.ส.ของพรรคที่ร่วมกันสร้างพรรคและอนาคตการทำงานการเมืองของพรรค ในงานครบรอบวันก่อตั้งพรรคประชาธิปัตย์ปีที่ 68 ย่างเข้าปีที่ 69 ว่า ซึ่งสถานการณ์บ้านเมืองในขณะนี้ประชาชนมีแต่ความวิตกกังวลว่าการต่อสู้ทางการเมืองจะกลายเป็นสงครามกลางเมือง ตนเชื่อว่ามทุกคนในฐานะสมาชิกพรรคที่ได้พบกับประชาชนจะถูกสอบถามตลอดว่า บ้านเมืองจะไปทิศทางไหน จึงอยากย้ำว่าตลอด 68 ปีที่ผ่านมา พรรคผ่านทุกสถานการณ์ทั้งวิกฤตการเมือง เศรษฐกิจและสังคม ซึ่งพรรคมีบทบาทและมีส่วนร่วมในการกอบกู้วิกฤตประเทศเสมอ และมั่นใจว่าวิกฤตในครั้งนี้พรรคจะมีส่วนร่วมในการกอบกู้ได้อีกครั้งหนึ่ง เพราะเราแสดงบทบาทนี้มาโดยตลอดด้วยการยึดมั่นอุดมการณ์ในการก่อตั้งพรรคตั้งแต่ปี 2499 ด้วยการทำงานการเมืองอย่างบริสุทธิ์รักษาประชาธิปไตยที่มีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ขณะนี้เกิดวิกฤตศรัทธาทางการเมืองจากการทุจริตคอร์รัปชัน นำอำนาจประชาชนไปทรยศประชาชนจนเกิดความเสื่อมศรัทธาต่อกระบวนการประชาธิปไตย
นายอภิสิทธิ์ เรียกร้องว่า ผู้มีอำนาจต้องตระหนักและทำความเข้าใจกับความไม่พอใจของประชาชนที่เกิดขึ้น และการแสดงออกไม่ยอมรับกระบวนการทางการเมืองของประชาชน ต้องมีการเปิดพื้นที่แสวงหาคำตอบให้ประชาชนและสังคมว่า การกอบกู้วิกฤตศรัทธาด้วยการเริ่มต้นกระบวนการปฏิรูปจะทำอย่างไร และจะนำไปสู่การกลับเข้าสู่กระบวนการการเมืองปกติ คือการเลือกตั้งได้อย่างไร ตนมองไม่เห็นหนทางอื่นในการนำบ้านเมืองเข้าสู่ภาวะปกติ เพราะไม่เชื่อว่าถ้าจะเอาชนะคะคานกันด้วยการเอามวลชนปะทะเกิดความรุนแรงจะแก้ปัญหาได้ เนื่องจากไม่ว่าฝ่ายไหนชนะ ก็จะทำให้ฝ่ายที่พ่ายแพ้ไม่ยอมรับ ปัญหาก็ไม่จบ การคาดหวังว่าทุกสิ่งจะคลี่คลายโดยกระบวนการทางกฎหมายโดยลำพังก็ไม่ได้ เพราะให้คำตอบได้ทีละเรื่องทีละข้อและหลายครั้งตอบได้แต่เพียงว่าใครต้องรับผิดชอบต่อสิ่งที่เกิดขึ้นในอดีตแต่บอกไม่ได้ว่าต้องทำอย่างไรในอนาคต เช่นเดียวกับการเลือกตั้งโมฆะที่บอกว่าการเลือกตั้งไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญ แต่ให้คำตอบไม่ได้ว่าจะเลือกตั้งเมื่อไหร่ อย่างไร ให้การเลือกตั้งทำให้การเมืองกลับสู่ภาวะปกติ เหมือนกับคดีทุจริตโครงการจำนำข้าว การชี้มูลของ ป.ป.ช.จะได้คำตอบแค่ว่า ปฏิบัติหน้าที่มิชอบหรือไม่ ต้องหยุดปฏิบัติหน้าที่หรือไม่ เหมือนการตัดสินของศาลรัฐธรรมนูญกรณีการโยกย้ายนายถวิล เปลี่ยนศรี จากตำแหน่งเลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติโดยมิชอบด้วยกฎหมายจะทำให้นายกรัฐมนตรีพ้นสภาพความเป็นนายกรัฐมนตรีหรือไม่
“ดังนั้นการแก้ปัญหาข้อขัดแย้งเกี่ยวกับกฎหมายต้องเคารพกระบวนการทางกฎหมาย โดยเฉพาะผู้มีอำนาจ ส่วนปัญหาทางการเมืองต้องมาเจรจาร่วมกัน และต้องกำหนดแนวทางการปฏิรูปที่ชัดเจน หากทำได้ทั้ง 3 ประการนี้ ก็จะคลี่คลายสถานการณ์บ้านเมืองได้ ขอให้ความมั่นใจกับสมาชิกและประชาชนว่า พรรคตระหนักหน้าที่ที่จะประคับประคองช่วยให้บ้านเมืองกลับสู่ภาวะปกติ โดยมีความชัดเจนว่าปัญหาที่เกี่ยวกับการปฏิรูปทุกด้านตั้งแต่การทุจริต การเลือกตั้ง การบริหาร การกระจายอำนาจ กระบวนการยุติธรรม การศึกษา และสื่อสารมวลชน โดยมีการจัดทำพิมพ์เขียวและผ่านการทำสมัชชาประชาธิปัตย์ โดยมองไปถึงอนาคตประเทศเกี่ยวกับการปรับโครงสร้างให้เข้าสู่กระบวนการพัฒนาที่มีความยั่งยืน สังคมเป็นธรรม ไม่มีความเหลื่อมล้ำ มีกระบวนการการเมืองที่โปร่งใส เพื่อหาคำตอบให้ประเทศในทุกเรื่อง ทั้งภาคการเกษตร แรงงาน การบริหารน้ำ และทรัพยากรอื่นๆ อย่างครบถ้วน เป็นความพร้อมของพรรคเพื่อรองรับการเดินไปข้างหน้าของประเทศ และขอให้ทุกคนดำเนินการด้วยความอดทน มุ่งมั่น ตั้งใจ ไม่ย่อท้อต่ออุปสรรค ไม่ว่าจะเป็นปัญหาการเมืองหรือปัญหาอื่น
นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ตนและผู้บริหารพรรคได้เชิญผู้ทรงคุณวุฒิ ผู้มีความรู้ความสามารถมาร่วมทำงาน และเตรียมความพร้อมสำหรับการเลือกตั้งตลอดเวลา เมื่อการเลือกตั้งเป็นไปด้วยความเป็นธรรมเรียบร้อย พรรคก็พร้อมที่จะเข้าสู่สนามเลือกตั้ง เป็นเส้นทางที่พรรคเดินทางมาตลอด 68 ปี และจะยึดมั่นอย่างต่อเนื่อง โดยต้องมีการปรับปรุงการสื่อสารที่ดีก็เชื่อว่าพรรคจะมีบทบาทสำคัญในการนำพาประเทศออกจากวิกฤตและวางรากฐานที่แข็งแกร่งสำหรับเศรษฐกิจ การเมืองและสังคมไทยในอนาคต จึงขอให้ทุกคนร่วมสืบสานอุดมการณ์ของพรรคเพื่อสร้างประโยชน์ให้กับประเทศชาติต่อไป”
ต่อมา นายชวน หลีกภัย ประธานสภาที่ปรึกษาพรรคประชาธิปัตย์ ในฐานะ ส.ส.ที่อาวุโสที่สุดในพรรค กล่าวว่า ตนเป็นผู้แทนมานานที่สุดในสภาผู้แทนราษฎรคือ 15 สมัย โดยเป็น ส.ส.ตั้งแต่ปี 2512 โดยเป็น ส.ส.มาแล้ว 45 ปี ขณะนี้บ้านเมืองเปลี่ยนไปมากแตกต่างจากในอดีตที่คนเข้าสู่การเมืองจะมีความมุ่งมั่นเข้ามาทำงานการเมืองโดยไม่ได้คิดเรื่องผลประโยชน์ พรรคผ่านการล้มลุกคลุกคลานทั้งแพ้และชนะแต่มีอุดมการณ์ที่ไม่เปลี่ยนคือการยึดระบอบประชาธิปไตยที่มีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ยึดธรรมาภิบาล ความซื่อสัตย์ สุจริต ต่อต้านการคอร์รัปชัน ถ้าชนะเลือกตั้งก็เป็นรัฐบาลแพ้ก็เป็นฝ่ายค้านไม่มีปัญหา
นายชวน กล่าวว่า ถือว่าประชาธิปไตยก้าวหน้ามาถึงจุดหนึ่ง โดยในอดีตเห็นว่าทหารเป็นอุปสรรคต่อประชาธิปไตยจากปัญหาปฏิวัติ แต่ในปัจจุบันมีปัญหาธุรกิจการเมืองหรือที่เรียกว่า ระบบทักษิณ ซึ่งระบบนี้จะหมดไปได้อย่างไรเป็นหน้าที่ที่ประชาชนต้องตอบคำถามนี้ และคนไทยต้องช่วยกันป้องกันไม่ให้คนที่โกงทั้งโคตร หรือโคตรโกงเข้ามาบริหารประเทศ ส่วนพรรคการเมืองมีหน้าที่ต้องทำให้การเมืองต้องควบคู่กับคุณธรรมที่ในปัจจุบันขาดหายไป มีการใช้ความรุนแรงคุกคามคนเห็นต่าง ไม่บังคับใช้กฎหมายเพราะได้คนที่ไม่มีสำนึกความรับผิดชอบเข้ามามีอำนาจ จึงต้องกระตุ้นให้ผู้ที่มีหน้าที่ทำงานของตัวเองและอย่าคิดว่า ศาล หรือองค์กอิสระอยู่ฝ่ายใด เพราะพฤติกรรมของรัฐบาลลุแก่อำนาจทำในสิ่งที่ผิดกฎหมายโดยไม่สนใจคำเตือนในสภา จนในที่สุดก็ถูกศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่า การแก้ไขรัฐธรรมนูญทั้งประเด็นที่มา ส.ว.และมาตรา 190 ขัดรัฐธรรมนูญ เนื่องจากมีการตัดสิทธิผู้อภิปรายและทำผิดกฎหมายหลายอย่าง แต่ที่มาโวยวายเพราะวิ่งเต้นไม่ได้
“เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นแค่เรื่องชั่วคราวที่เกิดในระยะหนึ่งเท่านั้น เราต้องร่วมมือกันอย่ายอมรับกระบวนการที่ไม่ชอบ เพราะในขณะนี้เงินซื้อได้คนที่เคยอ้างว่ามีอุดมการณ์ก็ยังไปรับใช้คนมีเงินที่สกปรกด้วย โดยมีความพยายามซื้อคนในพรรคหลายคนแต่ซื้อไม่ได้ แสดงให้เห็นว่าในวงการการเมืองยังมีคนดีอยู่ไม่ได้เห็นแก่เงินที่มีพรรคการเมืองยื่นข้อเสนอให้เท่านั้น พร้อมกันนี้ยังขอให้ข้าราชการทุกฝ่ายทบทวนตัวเองว่าได้ทำหน้าที่แล้วหรือยัง เพราะในปัจจุบันมีการเลือกปฏิบัติ เช่นคดีที่มีการคุกคามคนของพรรคถึง 22 คดีแต่กลับไม่มีการดำเนินการใดๆ จึงขอให้ตำรวจดีๆ ลุกขึ้นมาปฏิบัติหน้าที่ตามกฎหมาย