xs
xsm
sm
md
lg

ผู้จัดการสุดสัปดาห์

x

“ยันตระ” Return of Jedi

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


ASTVผู้จัดการสุดสัปดาห์ -เกือบ 20 ปี ที่อดีตพระยันตระ อมโรภิกขุ หรือ พระวินัย อมโร หลบหนีจากประเทศไทยไปอาศัยอยู่ที่สหรัฐอเมริกาจากความผิดอาญาโทษฐานหมิ่นองค์สมเด็จพระสังฆราชฯ และเสพเมถุนกับสีกา กระทั่งสงกรานต์ที่ผ่านมา อดีตพระยันตระ ก็ดอดกลับเข้าเมืองไทยชนิดไร้ความผิดติดตัว เพราะคดีต่างๆ ที่ถูกกล่าวโทษหมดอายุความลง

ย้อนกลับไปเมื่อปี 2537 พระภิกษุหนุ่มรูปงามนาม “พระยันตระ อมโรภิกขุ” ซึ่งแปลว่า “ผู้ห่างไกลจากกิเลส” ได้รับความศรัทธาอย่างล้นหลามจากพุทธศาสนิกชนด้วยวัตรปฏิบัติรวมถึงคำสอนที่ทำให้พระอดีตพระยันตระ ถือเป็นพระสงฆ์ที่มีชื่อเสียงโด่งดังมากที่สุดในยุคนั้น มีการตีพิมพ์เผยแพร่คำสอนรวมถึงได้รับนิมนต์ไปเทศนายังที่ต่าง ๆ ทั้งในและต่างประเทศ

คำสอนของอดีตพระยันตระ จะเน้นแนวทางปฏิบัติกรรมฐาน ซึ่งได้รับการยอมรับจากนักวิชาการศาสนาว่าถูกต้องกับพระไตรปิฎก เหตุนี้จึงทำให้มีผู้ติดตามฟังเทศนาอย่างเนืองแน่นแทบทุกหนแห่ง ขนาดว่าครั้งหนึ่ง อดีตพระยันตระจะเดินทางมาเทศนาธรรมที่สนามหลวง ปรากฏว่ามีพุทธศาสนิกชนจับจองพื้นที่เพื่อฟังธรรมจนเต็มท้องสนามหลวงในชั่วพริบตา

อดีตพระยันตระ เดิมชื่อ นายวินัย ละอองสุวรรณ เป็นชาวนครศรีธรรมราช ปฏิบัติตนเป็นนักพรตฤาษีอยู่หลายปีก่อนเข้าอุปสมบทที่วัดรัตนาราม อ.ปากพนัง จ.นครศรีธรรมราช ในคณะสงฆ์ธรรมยุตินิกาย เมื่อวันที่ 6 พ.ค. 2517 และออกเดินทางแสดงพระธรรมเทศนาจนมีผู้ศรัทธาสร้างสำนักวัดถวายหลายแห่งทั้งในประเทศและต่างประเทศ โดยทุกวัดที่สร้างจะมีคำว่า "สุญญตาราม" อยู่ด้วยเสมอ เช่น วัดป่าสุญญตาราม กาญจนบุรี, สำนักวัดป่าสุญญตาราม , วัดป่าสุญญตาราม เมืองบันดานูน รัฐนิวเซาท์เวลส์ ประเทศออสเตรเลีย เป็นต้น

ในโมงยามที่อดีตพระยันตระได้รับความนิยมศรัทธา มีเรื่องเล่าถึงความเลื่อมใสอย่างพิสดาร ดังบันทึกของนิตยสารสารคดี “ย้อนรอย 15 ปี นักเดินทางอิสระ เขายันตระ อมโรภิกขุ” เมื่อปี 2542 ที่ว่า “ท่านเป็นพระสุปฏิปันโน ที่ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ มีปฏิปทาศีลจารวัตรที่งดงาม สมควรกราบไหว้บูชาอย่างแท้จริง ท่านเป็นเนื้อนาบุญ ของพระพุทธศาสนา เป็นสมณะที่เจริญธรรม ตามรอยยุคลบาทพระบรมศาสดา ด้วยดวงใจบริสุทธิ์ที่ตั้งมั่นเด็ดเดี่ยว” (คอลัมน์ "อริยะและโลกที่ 6" ข่าวสด, 13มกราคม 2537)

“เคยมาศึกษาพุทธศาสนา ที่พม่าถึงขนาดลงทุนบวชชี แต่รู้สึกว่าไม่เห็นแบบอย่างที่ดี จนเมื่อพบท่านที่ออสเตรเลีย ศรัทธาในวัตรปฏิบัติ จึงติดตามมาศึกษาที่เมืองไทย” (เอลิซาเบธ กอกี้ ชาวออสเตรียที่ย้ายไปอยู่ที่ออสเตรเลีย บริจาคที่ดิน 250ไร่ในรัฐนิวเซาท์เวลส์ เพื่อสร้างเป็นสำนักป่าสุญญตาราม ให้สัมภาษณ์ สารคดี ธันวาคม 2534)

“ท่านยันตระ ได้พิสูจน์สัจจะแห่งธรรมในรูปแบบของ พระนอกระบบเป็นเวลา 4 ปี จนมั่นใจแจ่มชัดว่า เส้นทางที่พระพุทธองค์ ทรงชี้นำนั้น คือ มรรคาแห่งอิสรภาพอย่างแน่แท้ และเมื่อประเมินผล จากวัตรปฏิบัติแล้ว เห็นสมควรที่จะสวม เครื่องแบบของพุทธบุตรได้อย่างไม่ละอายแก่ใจ เพราะผ้ากาสาวพัสตร์นั้น เป็นอาภรณ์อันสูงส่ง ของผู้บริสุทธิ์และพากเพียร วันที่ 6 พฤษภาคม พ.ศ. 2517 ตรงกับวันวิสาขบูชา เวลาเที่ยงคืน นักพรตชุดขาว ผมยาว ผู้มุ่งมั่นได้ทำพิธี เข้าสู่การเป็นส่วนหนึ่ง ของพระรัตนตรัยโดยสมบูรณ์ ที่วัดรัตนาราม อำเภอปากพนัง จังหวัดนครศรีธรรมราช

“จากบัดนั้นจนบัดนี้ ท่านได้ทำหน้าที่บุตรแห่งพุทธะ ออกจาริกเผยแพร่ธรรม อย่างกว้างขวาง จนเกียรติคุณขจรขจาย ไปทั่วประเทศและแดนใกล้ไกล” (สารคดี, ธันวาคม 2534)

แต่ทว่าหลังจากนั้น กลับมีเหตุการณ์ที่เหมือนเป็นหนังคนละม้วน เมื่อปรากฏเทปบันทึกการสนทนา ระหว่างพระยันตระกับนางจันทิมา มายะรังษี หนึ่งในสีกาที่ร้องเรียนว่า พระยันตระล่อลวงเสพเมถุนด้วย รวมทั้งเอกสารของหม่อมดุษฎี บริพัตร อดีตโยมอุปัฏฐาก คนสำคัญ ที่กล่าวถึงพฤติกรรมอันไม่เหมาะสมต่อความเป็นพระสงฆ์ ในขณะที่เดินทางไปต่างประเทศ และหลักฐานการลอกเลียนบทกวีของ ดร. ระวี ภาวิไล หลักฐานที่ปรากฏสั่นคลอนความศรัทธา “พระยันตระ อมโรภิกขุ” ให้เสื่อมลง

ไม่นับว่าข้อกล่าวหาต่างๆ ที่พรั่งพรูออกมาดังทำนบพังทลาย ความอัปยศที่ซุกซ่อนอยู่ภายใต้รูปโฉมที่งดงามและคำเทศนาที่ลึกซึ้งแทบไม่หลงเหลือความเป็น “ยันตระ อมโรภิกขุ” ข้อกล่าวหาพระยันตระมีเพศสัมพันธ์ กับนางแก้วตา หม่องจินดา บนดาดฟ้าเรือเดินสมุทรไวกิ้งไลน์ ระหว่างทางจากกรุงสตอกโฮล์ม ประเทศสวีเดน ไปยังกรุงเฮลซิงกิ ประเทศฟินแลนด์, พระยันตระ จับต้องกายนางสาวซูซาน ด้วยความกำหนัด ณ กุฏิริมน้ำ วัดป่าสุญญตาราม เมืองบัน ดานูน ประเทศออสเตรเลีย, พระยันตระ เข้าไปหานางสาวอีวา ในรถตู้ของเธอบนท้องถนนกรุงเวียนนา ประเทศออสเตรีย, ร่วมหลับนอน กับนางสาวอีวา และพร่ำพูดถึงความรัก ต่ออีวา ทางโทรศัพท์ โดยมีหลักฐานเป็นเทปบันทึกเสียง

ในเวลานั้น (2537-2538) พุทธศาสนิกเต็มไปด้วยความสับสน สงสัยใคร่รู้ แต่เวลานั้นอดีตพระยันตระได้รับการปกป้องจากกระทรวงศึกษาธิการ จวบจนกระทั่งนางจันทิมาพาเด็กหญิงกระต่าย บุตรสาวของเธอมาแสดงตัว พร้อมกับนำภาพถ่ายการใช้ชีวิตเยี่ยงสามีภรรยามาเปิดเผย

ต่อมา เมื่อปลาย เดือนม.ค. 2538 นางจันทิมา ได้เป็นโจทก์ยื่นฟ้องอธิกรณ์พระยันตระมีการท้าให้ตรวจดีเอ็นเอ เพื่อพิสูจน์ถึงความเป็นพ่อลูกกัน ระหว่างพระยันตระกับเด็กหญิงคนดังกล่าว แต่อดีตพระยันตระไม่ยอม ขณะเดียวกันก็มีการเปิดเผย หลักฐานชิ้นสำคัญ คือ สลิปบัตรเครดิต ที่มีโยมอุปัฏฐากบริจาคให้ ซึ่งถูกนำไปใช้ ในสถานบริการทางเพศ สถานบริการอาบอบนวด ในประเทศออสเตรเลียและนิวซีแลนด์ รวมทั้งหลักฐาน การเปิดโรงแรม และเช่ารถร่วมกับสตรี เพียงสองต่อสอง

ด้วยหลักฐานที่แน่นหนา ในที่สุด ที่ประชุมมหาเถรสมาคม ก็มีมติเมื่อวันที่ 27มี.ค.2537 ให้พระยันตระ พ้นจากสมณเพศด้วยสาเหตุประพฤติตัวไม่เหมาะสมกับพรหมจรรย์ แต่หลังจากสลัดจีวรเหลือง อดีตพระยันตระก็หันไปใส่จีวรสีเขียวจนถูกเรียกขานว่า “จิ้งเขียว” หรือ “สมียันตระ” และถูกฟ้องร้องข้อหาแต่งกายเลียนแบบสงฆ์ รวมทั้งข้อหาหมิ่นองค์สมเด็จพระสังฆราช จนต้องระเห็จหนีไปอยู่ที่สหรัฐอเมริกาโดยใช้หนังสือเดินทางปลอม

ถึงจะกลายเป็นผู้ต้องหาหลบหนีคดี แต่อดีตพระยันตระก็ใช้ชีวิตอย่างสำเริงสำราญในสหรัฐอเมริกาอย่างเต็มที่ เพราะสหรัฐอเมริกามีทีท่าเอาหูไปนาเอาตาไปไร่ไม่ส่งสมียันตระกลับประเทศไทยในฐานะผู้ร้ายข้ามแดนตามคำขอของอัยการสูงสุดของไทย ซ้ำอดีตพระยันตระยังมี ผู้ศรัทธาคอยติดตามอยู่ไม่ขาด

กระทั่งเมื่อวันที่ 23 เม.ย. 2557 ที่ผ่านมา สังคมไทยก็ต้องฮือฮาอีกครั้งกับข่าวอดีตพระยันตระแอบเดินทางเข้าประเทศไทย โดยใช้พาสปอร์ตสหรัฐอเมริกา ใช้ชื่อว่า “อมโร ภิกขุ” เดินทางโดยสารเครื่องบินจากสหรัฐอเมริกามาลงที่มาเลเซีย แล้วเดินทางต่อด้วยรถยนต์จากมาเลเซียเข้าไทยที่ด่านอ.สะเดา จ.สงขลา ตั้งแต่วันที่ 19 เม.ย. 2557 เพื่อมาเยี่ยมอาจารย์เชื่อม เจ้าอาวาสวัดรัตนาราม พระอาจารย์ของอดีตพระยันตระที่อาพาธ และฉลองสงกรานต์ที่บ้านเกิด อ.ปากพนัง

มาคราวนี้ อดีตพระยันตระ สวมจีวรสีเปลือกมังคุดด้านใน ห่มจีวรสีเขียวทับอีกชั้น หนวดยาวเฟิ้ม ผมขาวยาวถึงกลางหลัง อวบอ้วนขึ้นด้วยวัย 63 ปี โดยให้สัมภาษณ์ "โมเดิร์นไนน์ทีวี" ด้วยว่า คดีความต่างๆ หมดอายุไปนานแล้ว และอยากกลับมาอยู่เมืองไทย

เรื่องนี้ นายอำนาจ บัวศิริ รองผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.) ก็บอกว่า พศ.ไม่มีอะไรต้องเกี่ยวข้องหรือไปดำเนินการอะไรกับอดีตพระยันตระเพราะปราชิกไปแล้ว ส่วนเรื่องการแต่งกายก็ไม่ถึงขั้นมีความผิดในข้อหาแต่งกายเลียนแบบพระสงฆ์ เพราะไม่ได้ห่มผ้าสีเดียวกับพระ ไม่มีการโกนผม โกนคิ้ว ขณะที่ทางสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง (ตม.) ที่ตรวจตราการเข้าออกนอกประเทศ ตรวจสอบพบว่า คดีขาดอายุความแล้ว

นี่คือการกลับมาของอดีตพระยันตระที่กำลังเป็นวิพากษ์วิจารณ์ของพุทธศาสนิกชนคนไทยทั่วทั้งประเทศ









กำลังโหลดความคิดเห็น