ASTVผู้จัดการรายวัน-"อดีตพระยันตระ" โผล่บ้านเกิดเมืองคอน เรื่องแดงหลังนายกเทศมนตรีปากพนัง ยกคณะไปเยี่ยมแล้วโพสรูปลงเฟซบุ๊ก เจ้าตัวเผยคดีหมดอายุความแล้ว ยันไม่เคยหมิ่นสมเด็จพระสังฆราช ยังหวังกลับมาพำนักในไทยที่สำนักปฏิบัติธรรมกาญจนบุรี เตรียมพบทันตแพทย์ที่จ.ภูเก็ตวันนี้ ก่อนบินกลับอเมริกา 13 พ.ย. พศ.ลั่นไม่เกี่ยว เหตุขาดจากความเป็นพระแล้ว แนะผู้เสียหายทางโลกจัดการกันเองหากคดียังไม่หมดอายุความ
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วานนี้ (23 เม.ย.) นายวินัย ละอองสุวรรณ หรืออดีตพระยันตระ อมโรภิกขุ ที่ต้องอธิกรณ์และหลบไปอาศัยอยู่ในประเทศสหรัฐอเมริกาเมื่อ 20 ปีที่แล้ว ได้เดินทางกลับมายังภูมิลำเนาเดิมที่บ้านบางบ่อ เขตเทศบาลเมืองปากพนัง ต.ปากพนังฝั่งตะวันออก อ.ปากพนัง จ.นครศรีธรรมราช หลังจากที่คดีต่างๆ โดยเฉพาะคดีก้าวล่วงสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก ได้หมดอายุความลง นายวินัยจึงได้เดินทางกลับมายังประเทศไทยอีกครั้งแบบเงียบๆ แต่ยังคงแต่งกายด้วยการคลุมผ้าคล้ายจีวรทั้งสีกลัก และสีเขียว ทับเสื้อแขนยาว กางเกงขายาว ไว้ผมยาวผูกรวบด้านหลัง หนวดเครายาว รูปร่างอ้วนท้วน
ข่าวดังกล่าวถูกเปิดเผยเมื่อวันที่ 21 เม.ย.2557 โดย www.facebook.com/pages/เทศบาลเมืองปากพนัง เมื่อนายพิเชษฐ์ กล้าสุคนธ์ นายกเทศมนตรีเมืองปากพนัง ได้เดินทางไปเยี่ยมนายวินัยที่ชุมชนต้นหาด และมีการบันทึกภาพมาลงเฟซบุ๊ซ
ผู้ใกล้ชิดนายวินัยระบุว่า นายวินัยเดินทางมายังจ.นครศรีธรรมราช ตั้งแต่ช่วงสงกรานต์ เพื่อมากราบพระครูสุธรรมาจารย์ หรือพ่อท่านเชื่อง เจ้าอาวาสวัดรัตนาราม หรือวัดบางบ่อ ที่บ้านบางบ่อ ต.ปากพนัง ซึ่งเป็นพระอุปัชฌาของนายวินัยเมื่อครั้งอุปสมบท และได้มาพักอยู่ที่อาศรมที่ปลูกสร้างขึ้นหลังบ้านเดิมของนายวินัย โดยมีผู้ที่ยังเคารพนับถือเดินทางมาเยี่ยมเยียน และเชิญไปยังสถานที่ต่างๆ หลายจังหวัดในภาคใต้
ด้านนายวินัยกล่าวภายหลังเดินทางกลับจากอ.ขนอม ตามคำเชิญของศิษย์ เพื่อเดินทางกลับอ.ปากพนัง โดยแวะรับประทานอาหารในตัวเมืองนครศรีธรรมราชว่า ได้เดินทางมาประเทศไทยทันที หลังทราบข่าวว่าพระอุปัชฌาจารย์ซึ่งชราภาพมากแล้วอาพาธ โดยได้รับความช่วยเหลือจากน้องสาวส่งเงินค่าเครื่องบิน 50,000 บาทไปให้ ซึ่งน้องสาวเป็นคนคอยดูแลมาโดยตลอดในทุกเรื่อง ซึ่งตั้งใจจะเดินทางกลับสหรัฐฯ วันที่ 13 พ.ค. และคิดว่าจะกลับมาอยู่เมืองไทยเมื่อบ้านเมืองสงบ เพราะอยู่ที่ไหนก็ไม่เหมือนเมืองไทย มีพระเณรที่คุ้นเคยกันมาก
"อีกไม่นานตั้งใจจะมาอยู่ที่สถานปฏิบัติธรรมสุญญตาราม จ.กาญจนบุรี ส่วนเรื่องคดีความนั้นหมดอายุแล้วทุกเรื่อง และขอยืนยันว่าไม่เคยประพฤติก้าวล่วงหมิ่นสมเด็จพระสังฆราชเลย"
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันที่ 24 เม.ย. นายวินัยจะเดินทางไปจ.ภูเก็ต เพื่อรักษาตัวและพบทันตแพทย์ที่ได้นัดหมายไว้แล้ว
นายอำนาจ บัวศิริ รองผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.) กล่าวว่า กรณีอดีตพระยันตระที่เดินทางมาไทย พศ. ไม่มีเรื่องที่เกี่ยวข้องหรือจะไปดำเนินการอะไร เพราะได้พ้นจากความเป็นพระไปแล้ว ส่วนเรื่องของทางโลก ผู้เสียหายจะต้องไปดำเนินการเอาเอง หากคดียังไม่หมดอายุความ ส่วนการแต่งกาย ก็ยังไม่พบว่าแต่งกายเลียนแบบสงฆ์
ทั้งนี้ นายวินัย เกิดเมื่อปี 2497 ช่วงวัยรุ่นปฏิบัติตัวเป็นนักพรตฤๅษี ไว้ผมและเครายาว อุปสมบทเป็นพระสงฆ์ฝ่ายธรรมยุติ เมื่อปี 2517 ที่วัดรัตนาราม อ.ปากพนัง ฉายา "ยันตระ อมโรภิกขุ" เป็นที่รู้จักเนื่องจากเป็นพระรูปงาม ลีลาการเทศน์สุขุมนุ่มลึก ทำให้มีผู้ศรัทธาบวชเป็นลูกศิษย์ สร้างสำนักถวายหลายแห่ง โดยทุกสำนักจะใช้คำว่า "สุญญตาราม" ที่รู้จักกันดี คือ วัดป่าสุญญตาราม จ.กาญจนบุรี และยังมีสำนักวัดป่าสุญญตารามในต่างประเทศ
แต่เมื่อปี 2537 ตกเป็นข่าวถูกร้องเรียนว่าประพฤติตนไม่เหมาะสม ต่อสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก และอธิบดีกรมการศาสนา ถึงการประพฤติตัวไม่เหมาะสม มีหลักฐานเป็นเทปการสนทนาระหว่างพระยันตระ กับนางจันทิมา มายะรังษี จนตั้งครรภ์ และมีบุตรสาวชื่อด.ญ.กระต่าย จนเกิดการท้าพิสูจน์และฟ้องร้องเป็นเรื่องราวใหญ่โต โดยนางจันทิมาและด.ญ.กระต่าย ยอมเจาะเลือดตรวจดีเอ็นเอ แต่พระยันตระกลับไม่ยอมเจาะเลือดตรวจพิสูจน์
นอกจากนี้ ยังมีเอกสารของหม่อมดุษฎี บริพัตร โยมอุปัฏฐากคนสำคัญ ร้องเรียนถึงความไม่เหมาะสมระหว่างพระยันตระเดินทางไปต่างประเทศ อาทิ มีเพศสัมพันธ์กับนางแก้วตา (ขอสงวนนามสกุล) บนดาดฟ้าเรือเดินสมุทรไวกิ้ง ไลน์ ระหว่างทางจากกรุงสตอกโฮล์ม ประเทศสวีเดน ไปยังกรุงเฮลซิงกิ ประเทศฟินแลนด์ กล่าวหาว่าพระยันตระจับต้องกายน.ส.ซูซาน ด้วยความกำหนัด ณ กุฏิริมน้ำ วัดป่าสุญญตาราม เมืองบันดานูน ประเทศออสเตรเลีย พระยันตระเข้าหาน.ส.อีวา ในรถบนถนนกรุงเวียนนา ประเทศออสเตรีย และร่วมหลับนอนกับน.ส.อีวา พร่ำพูดถึงความรักที่มีต่อน.ส.อีวาทางโทรศัพท์ มีหลักฐานเป็นเทปบันทึกเสียง เป็นต้น
ในที่สุดพระยันตระถูกฟ้องร้องหลายข้อหา รวมทั้งถูกมหาเถรสมาคมพิจารณาอธิกรณ์ว่าล่วงละเมิดเมถุน ต้องอาบัติปาราชิก ขาดจากความเป็นพระ แต่อดีตพระยันตระหรือนายวินัยไม่ยอมรับมติ และหันไปนุ่งห่มผ้าที่คล้ายจีวรย้อมเป็นสีเขียวเข้ม ซึ่งเป็นที่มาของฉายา "จิ้งเขียว" นอกเหนือจากฉายา "สมียันดะ"
จากนั้น ยังได้ก้าวล่วงถึงขั้นหมิ่นสมเด็จพระสังฆราช ทำให้ถูกดำเนินคดีจนต้องหลบหนีออกนอกประเทศ ไปตั้งสำนักวัดป่าสุญญตาราม ที่เมืองเอสคอนดิโด รัฐแคลิฟอร์เนีย สหรัฐเอมริกา และเมื่อปี 2543 ได้ก่อเหตุขับรถรถชนคนตาย ที่รัฐมินิโซตา
ต่อมา ปี 2556 ปรากฏข่าวฉาวในวงการสงฆ์อีกครั้ง เมื่อหลวงปู่เณรคำ หรือพระวิรพล สุขผล ประธานที่พักสงฆ์ขันติธรรม บ้านยาง ต.ยาง อ.กันทรารมย์ จ.ศรีสะเกษ ตกเป็นผู้ต้องหากระทำชำเราเด็กอายุไม่เกิน 15 ปี พรากผู้เยาว์ มีความสัมพันธ์เชิงชู้สาวกับหญิงสาวจนมีลูกด้วยกัน 1 คน และมีผู้หญิงอื่นอีกหลายคน รวมทั้งฉ้อโกงประชาชน จนมหาเถรสมาคมชี้ว่าขาดจากความเป็นพระ นายวิรพลจึงหนีออกนอกประเทศ และปรากฏข่าวว่าช่วงหนึ่งนายวิรพลไปอาศัยอยู่กับนายวินัย เนื่องจากมีความสนิทสนมกันเป็นการส่วนตัว
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วานนี้ (23 เม.ย.) นายวินัย ละอองสุวรรณ หรืออดีตพระยันตระ อมโรภิกขุ ที่ต้องอธิกรณ์และหลบไปอาศัยอยู่ในประเทศสหรัฐอเมริกาเมื่อ 20 ปีที่แล้ว ได้เดินทางกลับมายังภูมิลำเนาเดิมที่บ้านบางบ่อ เขตเทศบาลเมืองปากพนัง ต.ปากพนังฝั่งตะวันออก อ.ปากพนัง จ.นครศรีธรรมราช หลังจากที่คดีต่างๆ โดยเฉพาะคดีก้าวล่วงสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก ได้หมดอายุความลง นายวินัยจึงได้เดินทางกลับมายังประเทศไทยอีกครั้งแบบเงียบๆ แต่ยังคงแต่งกายด้วยการคลุมผ้าคล้ายจีวรทั้งสีกลัก และสีเขียว ทับเสื้อแขนยาว กางเกงขายาว ไว้ผมยาวผูกรวบด้านหลัง หนวดเครายาว รูปร่างอ้วนท้วน
ข่าวดังกล่าวถูกเปิดเผยเมื่อวันที่ 21 เม.ย.2557 โดย www.facebook.com/pages/เทศบาลเมืองปากพนัง เมื่อนายพิเชษฐ์ กล้าสุคนธ์ นายกเทศมนตรีเมืองปากพนัง ได้เดินทางไปเยี่ยมนายวินัยที่ชุมชนต้นหาด และมีการบันทึกภาพมาลงเฟซบุ๊ซ
ผู้ใกล้ชิดนายวินัยระบุว่า นายวินัยเดินทางมายังจ.นครศรีธรรมราช ตั้งแต่ช่วงสงกรานต์ เพื่อมากราบพระครูสุธรรมาจารย์ หรือพ่อท่านเชื่อง เจ้าอาวาสวัดรัตนาราม หรือวัดบางบ่อ ที่บ้านบางบ่อ ต.ปากพนัง ซึ่งเป็นพระอุปัชฌาของนายวินัยเมื่อครั้งอุปสมบท และได้มาพักอยู่ที่อาศรมที่ปลูกสร้างขึ้นหลังบ้านเดิมของนายวินัย โดยมีผู้ที่ยังเคารพนับถือเดินทางมาเยี่ยมเยียน และเชิญไปยังสถานที่ต่างๆ หลายจังหวัดในภาคใต้
ด้านนายวินัยกล่าวภายหลังเดินทางกลับจากอ.ขนอม ตามคำเชิญของศิษย์ เพื่อเดินทางกลับอ.ปากพนัง โดยแวะรับประทานอาหารในตัวเมืองนครศรีธรรมราชว่า ได้เดินทางมาประเทศไทยทันที หลังทราบข่าวว่าพระอุปัชฌาจารย์ซึ่งชราภาพมากแล้วอาพาธ โดยได้รับความช่วยเหลือจากน้องสาวส่งเงินค่าเครื่องบิน 50,000 บาทไปให้ ซึ่งน้องสาวเป็นคนคอยดูแลมาโดยตลอดในทุกเรื่อง ซึ่งตั้งใจจะเดินทางกลับสหรัฐฯ วันที่ 13 พ.ค. และคิดว่าจะกลับมาอยู่เมืองไทยเมื่อบ้านเมืองสงบ เพราะอยู่ที่ไหนก็ไม่เหมือนเมืองไทย มีพระเณรที่คุ้นเคยกันมาก
"อีกไม่นานตั้งใจจะมาอยู่ที่สถานปฏิบัติธรรมสุญญตาราม จ.กาญจนบุรี ส่วนเรื่องคดีความนั้นหมดอายุแล้วทุกเรื่อง และขอยืนยันว่าไม่เคยประพฤติก้าวล่วงหมิ่นสมเด็จพระสังฆราชเลย"
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันที่ 24 เม.ย. นายวินัยจะเดินทางไปจ.ภูเก็ต เพื่อรักษาตัวและพบทันตแพทย์ที่ได้นัดหมายไว้แล้ว
นายอำนาจ บัวศิริ รองผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.) กล่าวว่า กรณีอดีตพระยันตระที่เดินทางมาไทย พศ. ไม่มีเรื่องที่เกี่ยวข้องหรือจะไปดำเนินการอะไร เพราะได้พ้นจากความเป็นพระไปแล้ว ส่วนเรื่องของทางโลก ผู้เสียหายจะต้องไปดำเนินการเอาเอง หากคดียังไม่หมดอายุความ ส่วนการแต่งกาย ก็ยังไม่พบว่าแต่งกายเลียนแบบสงฆ์
ทั้งนี้ นายวินัย เกิดเมื่อปี 2497 ช่วงวัยรุ่นปฏิบัติตัวเป็นนักพรตฤๅษี ไว้ผมและเครายาว อุปสมบทเป็นพระสงฆ์ฝ่ายธรรมยุติ เมื่อปี 2517 ที่วัดรัตนาราม อ.ปากพนัง ฉายา "ยันตระ อมโรภิกขุ" เป็นที่รู้จักเนื่องจากเป็นพระรูปงาม ลีลาการเทศน์สุขุมนุ่มลึก ทำให้มีผู้ศรัทธาบวชเป็นลูกศิษย์ สร้างสำนักถวายหลายแห่ง โดยทุกสำนักจะใช้คำว่า "สุญญตาราม" ที่รู้จักกันดี คือ วัดป่าสุญญตาราม จ.กาญจนบุรี และยังมีสำนักวัดป่าสุญญตารามในต่างประเทศ
แต่เมื่อปี 2537 ตกเป็นข่าวถูกร้องเรียนว่าประพฤติตนไม่เหมาะสม ต่อสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก และอธิบดีกรมการศาสนา ถึงการประพฤติตัวไม่เหมาะสม มีหลักฐานเป็นเทปการสนทนาระหว่างพระยันตระ กับนางจันทิมา มายะรังษี จนตั้งครรภ์ และมีบุตรสาวชื่อด.ญ.กระต่าย จนเกิดการท้าพิสูจน์และฟ้องร้องเป็นเรื่องราวใหญ่โต โดยนางจันทิมาและด.ญ.กระต่าย ยอมเจาะเลือดตรวจดีเอ็นเอ แต่พระยันตระกลับไม่ยอมเจาะเลือดตรวจพิสูจน์
นอกจากนี้ ยังมีเอกสารของหม่อมดุษฎี บริพัตร โยมอุปัฏฐากคนสำคัญ ร้องเรียนถึงความไม่เหมาะสมระหว่างพระยันตระเดินทางไปต่างประเทศ อาทิ มีเพศสัมพันธ์กับนางแก้วตา (ขอสงวนนามสกุล) บนดาดฟ้าเรือเดินสมุทรไวกิ้ง ไลน์ ระหว่างทางจากกรุงสตอกโฮล์ม ประเทศสวีเดน ไปยังกรุงเฮลซิงกิ ประเทศฟินแลนด์ กล่าวหาว่าพระยันตระจับต้องกายน.ส.ซูซาน ด้วยความกำหนัด ณ กุฏิริมน้ำ วัดป่าสุญญตาราม เมืองบันดานูน ประเทศออสเตรเลีย พระยันตระเข้าหาน.ส.อีวา ในรถบนถนนกรุงเวียนนา ประเทศออสเตรีย และร่วมหลับนอนกับน.ส.อีวา พร่ำพูดถึงความรักที่มีต่อน.ส.อีวาทางโทรศัพท์ มีหลักฐานเป็นเทปบันทึกเสียง เป็นต้น
ในที่สุดพระยันตระถูกฟ้องร้องหลายข้อหา รวมทั้งถูกมหาเถรสมาคมพิจารณาอธิกรณ์ว่าล่วงละเมิดเมถุน ต้องอาบัติปาราชิก ขาดจากความเป็นพระ แต่อดีตพระยันตระหรือนายวินัยไม่ยอมรับมติ และหันไปนุ่งห่มผ้าที่คล้ายจีวรย้อมเป็นสีเขียวเข้ม ซึ่งเป็นที่มาของฉายา "จิ้งเขียว" นอกเหนือจากฉายา "สมียันดะ"
จากนั้น ยังได้ก้าวล่วงถึงขั้นหมิ่นสมเด็จพระสังฆราช ทำให้ถูกดำเนินคดีจนต้องหลบหนีออกนอกประเทศ ไปตั้งสำนักวัดป่าสุญญตาราม ที่เมืองเอสคอนดิโด รัฐแคลิฟอร์เนีย สหรัฐเอมริกา และเมื่อปี 2543 ได้ก่อเหตุขับรถรถชนคนตาย ที่รัฐมินิโซตา
ต่อมา ปี 2556 ปรากฏข่าวฉาวในวงการสงฆ์อีกครั้ง เมื่อหลวงปู่เณรคำ หรือพระวิรพล สุขผล ประธานที่พักสงฆ์ขันติธรรม บ้านยาง ต.ยาง อ.กันทรารมย์ จ.ศรีสะเกษ ตกเป็นผู้ต้องหากระทำชำเราเด็กอายุไม่เกิน 15 ปี พรากผู้เยาว์ มีความสัมพันธ์เชิงชู้สาวกับหญิงสาวจนมีลูกด้วยกัน 1 คน และมีผู้หญิงอื่นอีกหลายคน รวมทั้งฉ้อโกงประชาชน จนมหาเถรสมาคมชี้ว่าขาดจากความเป็นพระ นายวิรพลจึงหนีออกนอกประเทศ และปรากฏข่าวว่าช่วงหนึ่งนายวิรพลไปอาศัยอยู่กับนายวินัย เนื่องจากมีความสนิทสนมกันเป็นการส่วนตัว