ASTVผู้จัดการสุดสัปดาห์ - เมื่อปี 2549 นช.ทักษิณ ชินวัตร และเหล่าบริวาร เคยล้อเลียนนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ว่าเป็น “มาร์ค ม.7” กรณีที่นายอภิสิทธิ์สนับสนุนให้ใช้ช่องทางตามมาตรา 7 ของรัฐธรรมนูญ ในการหาทางออกให้บ้านเมือง โดยเยาะเย้ยนายอภิสิทธิ์ว่าต้องการเป็นนายกรัฐมนตรีโดยไม่ต้องชนะการเลือกตั้ง พร้อมกับโจมตีการใช้มาตรา 7 ว่า เป็นวิธีการที่ไม่เป็นประชาธิปไตย
แต่ล่าสุด เมื่อวันที่ 11 เมษายนที่ผ่านมา นายชัยเกษม นิติสิริ อดีตอัยการสูงสุดผู้รับใช้ระบอบทักษิณจนได้รับปูนบำเหน็จให้นั่งเก้าอี้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ได้แสดงท่าทีว่าจะใช้มาตรา 7 เสียเอง หากศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยสถานภาพของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร รักษาการนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม กรณีการโยกย้ายนายถวิล เปลี่ยนศรี ออกจากตำแหน่งเลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ(สมช.) ซึ่งศาลปกครองสูงสุดมีคำพิพากษาไว้เมื่อวันที่ 7 มีนาคม 2557 แล้วว่า เป็นการกระทำที่ขัดต่อกฎหมาย พร้อมกับสั่งให้คืนตำแหน่งเลขาธิการ สมช.แก่นายถวิลภายใน 45 วัน
เหมือนนายชัยเกษมจะรู้ชะตากรรมของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ จึงให้สัมภาษณ์นักข่าวไว้ล่วงหน้าว่า หากศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยให้นายกรัฐมนตรีพ้นสภาพและคณะรัฐมนตรีถูกถอดถอน ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 180 และศาลฯ ไม่ให้รัฐบาลอยู่รักษาการ ทำให้เกิดสุญญากาศทางการเมือง นายชัยเกษมจะเสนอทางออกให้รัฐบาล โดยใช้มาตรา 7 ของรัฐธรรมนูญ เพื่อทรงมีพระบรมราชวินิจฉัย เพราะรัฐบาลไม่มีทางออกแล้ว
เมื่อถูกถามว่า กระทำดังกล่าวจะถือว่าเป็นการระคายเคืองเบื้องพระยุคลบาทหรือไม่ นายชัยเกษมอ้างว่า การใช้มาตรา 7 เป็นการใช้เฉพาะกรณีที่จำเป็นจริงๆ และเห็นว่าหากศาลรัฐธรรมนูญมีการวินิจฉัยที่เกินรัฐธรรมนูญ ก็มีความจำเป็น
การแสดงท่าทีว่าจะใช้มาตรา 7 ของนายชัยเกษม สะท้อนว่า ระบอบทักษิณกำลังอยู่ในภาวะจนตรอก จึงยอมเลียน้ำลายที่ตนเองถ่มถุยลงพื้นกลับมากลืนลงคอใหม่ นั่นเพราะนอกจากเคยเยาะเย้ยถากถางนายอภิสิทธิ์ว่าเป็น “มาร์ค ม.7” ตั้งแต่ปี 2549 แล้ว เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา เครือข่ายระบอบทักษิณและบริวารเพิ่งจะเรียงหน้ากันออกมาโจมตีนายสุเทพ เทือกสุบรรณ เลขาธิการคณะกรรมการประชาชนเพื่อการเปลี่ยนแปลงประเทศไทยให้เป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข(กปปส.) ที่ประกาศว่า หากศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยให้ น.ส.ยิ่งลักษณ์สิ้นสภาพความเป็นรัฐมนตรี พวกตนก็จะอ้างความเป็นรัฏฐาธิปัตย์ของมวลมหาประชาชนเสนอทูลเกล้าฯ นายกรัฐมนตรีตามมาตรา 7 ของรัฐธรรมนูญ
แต่แล้ว เพียงไม่กี่วันผ่านไป เครือข่ายบริวารของ นช.ทักษิณ ก็ประกาศจะช่วงชิงโอกาสใช้มาตรา 7 เสียเอง โดยแนวทางนี้ก็ได้รับการสนับสนุนจากนายโภคิน พลกุล หนึ่งในทีมนิติบริกรของ นช.ทักษิณด้วย
หลังจากนายชัยเกษมประกาศท่าทีดังกล่าวออกไป จึงถูกรุมยำเละ ทั้งจากพรรคประชาธิปัตย์และ กปปส.ว่า กลืนน้ำลาย จนตรอก โดยเฉพาะนายชวนนท์ อินทรโกมาลย์สุต โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ ที่ระบุว่า การใช้มาตรา 7 ในการทูลเกล้าฯ ถวาย เพื่อขอพระราชวินิจฉัยแนวทางการแก้ปัญหานั้น เป็นการแสดงความเห็นที่ไม่สุจริตและต้องการดึงสถาบันเข้ามาเกี่ยวข้องกับการเมือง ทำให้ระคายเคืองเบื้องพระยุคลบาท เพราะรัฐธรรมนูญระบุชัดเจนว่า ถ้าศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยแล้วไม่มีเหตุผลอะไรที่ใครจะไปใช้มาตรา 7 เพื่อขอทูลเกล้าฯ พระราชทานความเห็นแต่อย่างใด เรื่องนี้ถือว่าพรรคเพื่อไทยคิดเกินขอบเขตที่จำเป็น เกินสิ่งที่ประชาชนจะรับได้ และขอให้นายชัยเกษมเลิกใช้ความรู้ทางกฎหมายรับใช้นักการเมืองแบบไม่ลืมหูลืมตา
นายชวนนท์บอกอีกว่า นายชัยเกษมพูดเพื่อข่มขู่คุกคามศาลรัฐธรรมนูญ ด้วยการอ้างมาตรา 7 เพื่อเอามันทางการเมืองและขู่ศาลรัฐธรรมนูญว่า หากตัดสินไม่เป็นคุณกับ น.ส.ยิ่งลักษณ์ รัฐบาลจะดำเนินการเองทั้งที่ไม่สามารถทำได้ จึงขอให้เลิกกระทำการระคายเคืองเบื้องพระยุคลบาทเพื่อหาทางออกทางการเมืองให้ตัวเองเพราะเป็นเรื่องที่ผิดทั้งสาระและหลักการ
ขณะที่นายสาธิต ปิตุเตชะ รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ เห็นว่านายชัยเกษมเสนอให้ใช้มาตรา 7 เป็นการข่มขู่ศาลรัฐธรรมนูญล่วงหน้า ศาลรัฐธรรมนูญมีอำนาจตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 214 ไม่ได้ทำเกินอำนาจอย่างที่มีการกล่าวหา อีกทั้งเมื่อตัดสินแล้วยังมีผลผูกพันทุกองค์กร จึงขอให้ทุกฝ่ายรอคำตัดสินของศาลรัฐธรรมนูญ หากเห็นว่ามีพฤติกรรมไม่เหมาะสมหรือมีการกลั่นแกล้งให้ใครได้รับความเสียหาย ก็ควรจะดำเนินการตามรัฐธรรมนูญ แต่พฤติกรรมของนายชัยเกษมและรัฐบาลเป็นการหวงอำนาจหวังช่วยฝ่ายตัวเองเพื่อให้ น.ส.ยิ่งลักษณ์อยู่ในอำนาจต่อ
เมื่อโดนโจมตีหนักเข้า นายชัยเกษมจึงปรับท่าทีใหม่ โดยให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนเมื่อวันที่ 16 เม.ย.ว่า ยังไม่มีความเป็นไปได้ที่จะใช้มาตรา 7 เพราะช่องทางกฎหมายยังไม่มีและเป็นเรื่องนอกรัฐธรรมนูญ แม้ศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยให้นายกรัฐมนตรีพ้นสภาพก็ต้องดูว่า ครม.พ้นด้วยหรือไม่ เพราะรัฐธรรมนูญไม่ได้เขียนไว้ให้บ้านเมืองเกิดสุญญากาศ และประเทศขาดรัฐบาลไม่ได้ นอกจากมีการปฏิวัติ
อย่างไรก็ตาม เมื่อวันที่ 17 เมษายน ในแถลงการณ์ของศูนย์อำนวยการรักษาความสงบเรียบร้อย (ศอ.รส.) ซึ่งถือว่าเป็นตัวแทนของรัฐบาล ตอนหนึ่งระบุชัดเจนว่า หากศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่านายกรัฐมนตรีกระทำการฝ่าฝืนมาตรา 266 กรณีการก้าวก่ายหรือแทรกแซงการแต่งตั้งโยกย้ายนายถวิล เปลี่ยนศรี และวินิจฉัยเกินเลยไปถึงขนาดว่าหากความเป็นนายกรัฐมนตรีสิ้นสุดลงแล้ว ครม.ทั้งคณะจะต้องพ้นจากตำแหน่งไปตามมาตรา 180 โดยจะอยู่ในตำแหน่งเพื่อปฏิบัติหน้าที่จนกว่าจะมี ครม.ที่ตั้งขึ้นใหม่ไม่ได้ ครม.จะต้องแก้ไขปัญหามิให้เกิดสุญญากาศ
แถลงการณ์ ศอ.รส.อ้างว่า เมื่อศาลรัฐธรรมนูญจงใจฝ่าฝืนรัฐธรรมนูญเสียเอง ครม.ก็ชอบที่จะทูลเกล้าฯ ขอพระบรมราชวินิจฉัยว่า ครม.ต้องพ้นจากการอยู่ในตำแหน่งตามที่ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยเกินจากรัฐธรรมนูญหรือไม่ เพราะ ครม.ได้รับการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้ง การจะพ้นไปก็สมควรที่จะทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้พ้นไป มิใช่ศาลรัฐธรรมนูญจะเป็นผู้ชี้ขาดเสียเอง โดยในระหว่างทูลเกล้าฯ ขอพระบรมราชวินิจฉัยนั้นให้กราบบังคมทูลด้วยว่า ครม.จะคงอยู่ปฏิบัติหน้าที่ต่อไปตามมาตรา 181 การทูลเกล้าฯ ขอพระบรมราชวินิจฉัยเช่นนี้ ก็เพื่อให้เกิดข้อยุติอันจะนำมาซึ่งความสงบสุขของบ้านเมือง โดยมิต้องเกิดการใช้กำลังของกลุ่มคน 2 กลุ่มเข้าก่อเหตุร้ายต่อกัน และป้องกันมิให้คณะรัฐมนตรีกระทำผิดตามมาตรา 181 ด้วย
นายชัยเกษมในฐานะรอง ผอ.ศอ.รส.กล่าวยืนยันว่าข้อเสนอการใช้มาตรา 7 มีวัตถุประสงค์นำเสนอขึ้นหากว่าศาลรัฐธรรมนูญวินิจนอกกรอบกฎหมายรัฐธรรมนูญ จึงจะพึ่งมาตรา 7 เพราะนี่คือแนวทางที่ทาง ศอ.รส.คิดว่าดีที่สุดเพื่อไม่ให้เกิดสุญญากาศทางการเมือง
แถลงการณ์ของ ศอ.รส.และคำพูดตอกย้ำของนายชัยเกษม ทำให้เห็นว่า นช.ทักษิณกำลังกอดมาตรา 7 ไว้กับอกอย่างเหนียวแน่น เพื่อหาทางออกให้กับตัวเอง โดยอ้างเหตุผลข้างๆ คูๆ ว่าเพื่อความสงบสุขและไม่ให้เกิดสุญญากาศทางการเมือง
แต่เมื่อดูถึงเจตนาการใช้มาตรา 7 ของเครือข่ายระบอบทักษิณแล้วเป็นการใช้ที่ต่อหลักกฎหมาย และเป็นการระคายเคืองต่อเบื้องพระยุคลบาทเป็นอย่างยิ่ง
นั่นเพราะ นี่ไม่ใช่การใช้มาตรา 7 เพื่อโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งนายกรัฐมนตรี แต่เป็นการใช้เพื่อขอพระบรมราชวินิจฉัยว่า ครม.จะคงอยู่ปฏิบัติหน้าที่ต่อไป หากศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยว่า ครม.พ้นสภาพไปแล้ว เท่ากับว่ารัฐบาลกำลังจะขอให้มีพระบรมราชวินิจฉัยที่ขัดแย้งกับศาลรัฐธรรมนูญ
นี่คือเจตนาอันชั่วร้ายที่ซ่อนอยู่เบื้องหลัง?