ASTVผู้จัดการสุดสัปดาห์ - ความพยายามของ “คณะรัฐบุคคล” ที่เชื้อเชิญ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษทำหน้าที่พูดคุยกับองค์กรต่างๆที่เป็นหลักของบ้านเมืองทั้งตุลาการ ทหาร และผู้นำทางสังคมเพื่อร่างพระบรมราชโองการเสนอพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ฯเพื่อให้ลงปรมาภิไธยในการเสนอทางออกให้กับประเทศดังเช่นประวัติศาสตร์ที่เกิดความขัดแย้งในบ้านเมืองเหมือนที่ผ่านมาเป็นความเคลื่อนไหวที่ถูกจับตามองจากทุกฝ่ายในขณะนี้ว่าจะมีเสียงตอบรับประการใด
คงไม่ลืมว่า ก่อนหน้านี้คณะรัฐบุคคล ที่มี พล.อ.สายหยุด เกิดผล อดีตผบ.สส.เป็นแกนนำ ได้สร้างความฮือฮามาแล้วรอบหนึ่งในช่วงปลายเดือนม.ค.2557 ที่ผ่านมา โดยปล่อยคลิป 5 ตอน ซึ่งคณะรัฐบุคคลมีการปรึกษาหารือกันที่สโมสรโปโลคลับพร้อมกับออกแถลงการณ์เรียกร้องให้ทหารออกมาแก้ไขความขัดแย้งที่เกิดขึ้นในบ้านเมือง จนถูกมองว่าเป็นหนึ่งในขบวนการจ้องล้มรัฐบาล เพราะเนื้อหาใหญ่ใจความหลักคือ เรียกร้องให้นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี เพราะหมดความชอบธรรมแล้วเพื่อจะได้ตั้งนายกรัฐมนตรีคนกลางเพื่อมาปฏิรูปประเทศก่อนจัดเลือกตั้งใหญ่
แต่ข้อเสนอของคณะรัฐบุคคลก็กลายเป็นมุกแป๊ก ไม่มีสัญญาณตอบรับจากสายที่เรียกหา ล่าสุด เมื่อวันที่14 เม.ย. 2557 ที่โรงแรมมิราเคิล แกรนด์ คอนเวนชั่นกรุงเทพฯ คณะรัฐบุคคล มีนัดประชุมปรึกษากันอีกครั้ง จากนั้น พล.อ.สายหยุดเกิดผล อดีตผู้บัญชาการทหารสูงสุด นายปราโมทย์ นาครทรรพ นักวิชาการอิสระพล.อ.อ.เทอดศักดิ์ สัจจะรักษ์ อดีตรอง ผบ.ทอ. และ ร.อ.ปราศรัยทรงสุรเวทย์ อดีตผู้ว่าการการเคหะแห่งชาติ ฯลฯ ร่วมแถลงข่าวร่วมกันเรื่อง“ทางออกประเทศไทยเมื่อ ยิ่งลักษณ์ หมดความชอบธรรมในการปกครองประเทศทั้งทางด้านนิตินัยและพฤตินัย
ในการแถลงครั้งนี้ คณะรัฐบุคคลได้มีข้อเสนอออกจากวิกฤตทางการเมืองในขณะนี้โดยยกเหตุผลว่าได้ย้อนกลับศึกษาประวัติศาสตร์และอำนาจหน้าที่ของส่วนต่างๆ ตั้งแต่เหตุการณ์ 14 ตุลา พฤษภาทมิฬ แล้วพบว่าประเทศไทยต่างผ่านวิกฤตมาได้ด้วยพระบารมีของประบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ดังนั้น วิกฤติทางการเมืองในครั้งนี้ก็เห็นว่า พระบารมีจะทำให้ประเทศไทยผ่านไปได้
แต่เนื่องจากพระองค์ท่านไม่อาจเข้ามาเกี่ยวข้องกับการเมืองได้คณะรัฐบุคคลเห็นว่าโครงสร้างของประเทศไทยยังมีตำแหน่งรัฐบุรุษที่มีหน้าที่รับสนองพระบรมราชโองการ โดยรัฐบุรุษในประเทศไทยขณะนี้ก็มีพล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ที่จะทำหน้าที่ในการรับสนองพระบรมราชโองการและพยายามที่จะร่างพระบรมราชโองการขึ้นทูลเกล้าฯ เสนอเมื่อเกิดเหตุการณ์บ้านเมืองยุ่งเหยิง
ดังนั้น คณะรัฐบุคคล จึงเสนอให้รัฐบุรุษทำหน้าที่พูดคุยกับองค์กรต่างๆที่เป็นหลักของบ้านเมืองทั้งตุลาการและทหารและผู้นำทางสังคมเพื่อร่างพระบรมราชโองการเสนอพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ฯ เพื่อให้ลงพระปรมาภิไธย
แต่อย่างไรก็ตาม คณะรัฐบุคคลได้ออกตัวว่า กรณีดังกล่าวไม่ได้เกี่ยวกับการเสนอใช้พระราชอำนาจ ตามรัฐธรรมนูญ ฯ มาตรา7 เพียงแต่เชื่อว่า เมื่อมีพระบรมราชโองการออกมาแล้วสังคมไทยจะยอมรับเหมือนเหตุการณ์ในประวัติศาสตร์ที่ผ่านมา และหน้าที่ของคณะรัฐบุคคลก็เป็นเพียงการเสนอแนวทางว่าใครมีหน้าที่ทำอะไรบ้าง ส่วนเนื้อหาร่างพระบรมราชโองการเป็นเรื่องที่ผู้มีหน้าที่ต้องเป็นผู้ดำเนินการและรับผิดชอบ
ย้ำอีกครั้งว่า นี่ไม่ใช่การขอนายกรัฐมนตรี ตามมาตรา 7 เหมือนดังที่เคยมีการพูดคุยถกเถียงกันจนเป็นที่ฮือฮาเหมือนครั้งอดีต เป็นเพียงข้อเสนอเท่านั้นถ้าเห็นด้วยผู้มีหน้าที่ก็หาช่องทางที่จะดำเนินการกันต่อไป และสามารถทำได้เลย ไม่ต้องรอให้เข้าสู่สภาวะสุญญากาศ เพื่อยุติข้อขัดแย้ง แต่ถ้าพล.อ.เปรม และสังคมไม่เอาด้วย ก็จบ เหมือนกับคราวที่คณะรัฐบุคคลเรียกร้องให้ทหารออกมา
งานนี้ ทางคณะรัฐบุคคลมอบหมายให้นายปราโมทย์ เป็นผู้ประสานไปยังพล.อ.เปรม โดยนายปราโมทย์ ยืนยันว่าข้อเสนอนี้ไม่ได้เป็นการบีบคั้นแล้วทำให้ระคายเคืองเบื้องพระยุคลบาทเหมือนที่หลายฝ่ายโจมตีว่าเราเป็นกลุ่มผู้ใหญ่ที่พูดจาเลอะเทอะแนวทางของกลุ่มได้มีการศึกษาและย้อนดูประวัติศาสตร์แล้วและเราในฐานะประชาชนก็มีสิทธิและหน้าที่ในการตรวจสอบให้ทุกฝ่ายได้ทำหน้าที่ของตน
ถัดจากนั้นอีกวัน ทางฟากฝั่งประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษก็ตอบรับสัญญาณแบบสงวนท่าทีรอดูปฏิกิริยาจากสังคมก่อนว่าจะออกมาเป็นเช่นใดโดย พล.ท.พิศณุ พุทธวงศ์ หัวหน้าสำนักงานมูลนิธิรัฐบุรุษและนายทหารคนสนิทของ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษบอกว่าข้อเรียกร้องของกลุ่มคณะรัฐบุคคล ขณะนี้ พล.อ.เปรมรับทราบเรื่องดังกล่าวแล้วจากสื่อมวลชนที่นำเสนอข่าวแล้ว แต่ไม่ได้แสดงความคิดเห็นใดๆ
อย่างไรก็ตาม เรื่องที่ พล.อ.สายหยุดเสนอถือว่าเป็นความปรารถนาดีในการที่จะเสนอทางออกและเป็นแนวทางในการแก้ไขปัญหาประเทศ ที่ผ่านมามีหลายคนและหลายกลุ่มพยายามที่จะเสนอทางออกให้กับประเทศไทย ถือว่าเป็นแนวทางในการที่จะนำพาประเทศกลับคืนสู่ความสงบสุข แต่ พล.อ.เปรมก็ไม่สามารถตอบได้ว่าแนวคิดของ พล.อ.สายหยุด นั้นบังควรหรือไม่บังควรต้องไปคิดกันเอาเอง ทวนความจำกันอีกครั้งว่าคณะรัฐบุคคลที่เป็นห่วงเป็นใยบ้านเมืองพยายามประสานทุกฝ่ายให้หาทางออกจากวิกฤตความขัดแย้งทางการเมืองนี้มีใครเป็นแกนนำหลักอยู่บ้าง ก็จะพบผู้อาวุโสที่ออกมาชี้แนะ ให้ความเห็นทางการเมืองในยามที่ประเทศชาติเกิดปัญหา ซึ่งเว็บสยามอินเทลลิเจนซ์ ได้รวบรวมข้อมูลเบื้องหลังคณะรัฐบุคคล
ดังนี้ฝ่ายทหาร ประกอบด้วย พล.อ.สายหยุด เกิดผล อดีตผู้บัญชาการทหารสูงสุด (ผบ.สส.) เกิด พ.ศ. 2465 ปัจจุบันอายุ 92 ปี จบการศึกษาจากโรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้า เคยผ่านสงครามโลกครั้งที่สอง และเป็นผู้ร่วมจัดตั้งกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร(กอ.รอม.) ในสมัยสงครามต่อต้านคอมมิวนิสต์ เมื่อ พ.ศ. 2508 ภายหลังเติบโตในสายทหารจนเป็นหลังจากเกษียณอายุราชการแล้วยังมีบทบาทวิจารณ์การเมืองอยู่บ่อยครั้งถือเป็นทหารนักวิชาการที่มีผลงานเขียนหนังสือหลายเล่ม
พล.อ.วิมล วงศ์วานิช อดีตผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) เกิด พ.ศ. 2477 ปัจจุบันอายุ 80 ปี จบการศึกษาจากโรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้าเกษียณอายุราชการในตำแหน่งผบ.ทบ.เคยเป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหมในสมัยรัฐบาลอานันท์ ปันยารชุน(ครั้งที่ 1 ในปี 2534) สมัยยังรับราชการถือเป็นรุ่นพี่ของ"ชุดปฏิบัติการพิเศษ" ของ พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ อดีตนายกรัฐมนตรีและองคมนตรี
พล.อ.อ.กันต์ พิมานทิพย์ อดีต ผบ.ทอ. เป็นผู้บัญชาการทหารอากาศระหว่างพ.ศ. 2535-2536 มีบทบาททางการเมืองโดยเป็นแกนนำของกลุ่มนายทหารนอกประจำการที่ภักดีต่อสถาบันฯ และยึดมั่นในการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข(นกปภ.) ที่เคลื่อนไหวทางการเมืองช่วงปลายปี 2556 โดย พล.อ.กันต์เป็นหัวหน้ากลุ่ม และมีรองหัวหน้ากลุ่มคือ พล.อ.วิมล, พล.ร.อ. วิเชษฐการุณยวนิช, พล.ต.อ.ประทิน สันติประภพ
พล.ร.อ. วิเชษฐ การุณยวนิช อดีตผู้บัญชาการทหารเรือ โดยดำรงตำแหน่งผบ.ทร.ระหว่าง พ.ศ. 2534-2536 และเคยเป็นอดีตสมาชิกวุฒิสภาระหว่าง พ.ศ. 2535-2539 นอกจากนี้เคยเป็นหนึ่งในสมาชิกพรรคไทยรักไทยในระบบปาร์ตี้ลิสต์อันดับที่ 87 และถือเป็นหนึ่งในสมาชิกกลุ่ม นกปภ.พล.ร.อ. สุรวุฒิ มหารมณ์ อดีต เสธ.ทร. เคยเป็นเจ้ากรมยุทธการทหารเรือและเกษียณราชการในตำแหน่งเสนาธิการทหารเรือ พล.อ.อ. เทอดศักดิ์ สัจจะรักษ์ อดีตรองผู้บัญชาการทหารอาการ พร้อมทั้งดำรงตำแหน่งกรรมการบริษัท การบินไทย จำกัด(มหาชน) หลายสมัย
สำหรับฝ่ายพลเรือน ประกอบด้วย ศ.ดร.อมร จันทรสมบูรณ์ เกิดเมื่อ พ.ศ. 2473 ปัจจุบันอายุ 84 ปี เป็นนักกฎหมายชั้นครู จบปริญญาตรีจากมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และปริญญาเอกด้านกฎหมายระหว่างประเทศจากมหาวิทยาลัยปารีส เคยเป็นเลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกา และกรรมการในหน่วยงานรัฐ รัฐวิสาหกิจหน่วยงานภาคเอกชน สภามหาวิทยาลัยหลายแห่งถือเป็นนักกฎหมายมหาชนผู้มีชื่อเสียงและเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านรัฐธรรมนูญมากคนหนึ่งของประเทศไทย
ศ.ดร.ปราโมทย์ นาครทรรพ นักวิชาการรัฐศาสตร์ และอาจารย์คณะรัฐศาสตร์มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช เคยดำรงตำแหน่งเป็นสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2517
ศ.ดร.ชัยอนันต์ สมุทวณิช นักวิชาการด้านรัฐศาสตร์ที่มีชื่อเสียงของประเทศไทย เป็นอดีตผู้บังคับการวชิราวุธวิทยาลัย อดีตตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ จบปริญญาเอกทางรัฐศาสตร์ จากมหาวิทยาลัยวิสคอนซินเคยมีบทบาททางการเมืองโดยเป็นหนึ่งในผู้เรียกร้องให้ พล.อ.เปรมติณสูลานนท์ ลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีในปี 2531 หลังจากเหตุการณ์วิกฤตการเมืองปี2553 ศ.ชัยอนันต์ ได้เข้ามาเป็นหนึ่งในคณะกรรมการปฏิรูปประเทศ (ชุดของนายอานันท์ปันยารชุน) ที่แต่งตั้งในรัฐบาลอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ
นายสุรพงษ์ ชัยนาม อดีตรองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีในรัฐบาลพล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ มีศักดิ์เป็นหลานลุงของนายดิเรก ชัยนาม อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศหลายสมัย นายสุรพงษ์เคยเป็นเอกอัครราชทูตของประเทศไทยประจำประเทศโปรตุเกส เวียดนาม และประเทศอื่นๆ รวม 5 ประเทศ ยังเคยเป็นอดีตอธิบดีกรมเอเชียตะวันออก กระทรวงการต่างประเทศ
เมื่อคณะรัฐบุคคลออกมาเรียกร้องให้พล.อ.เปรมในฐานะรัฐบุรุษทำหน้าที่พูดคุยกับองค์กรต่างๆ ทั้งตุลาการ ทหารและผู้นำทางสังคมเพื่อร่างพระบรมราชโองการเสนอพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ฯเพื่อให้ลงปรมาภิไธยในการเสนอทางออกให้กับประเทศ ดร.บรรเจิด สิงคะเนติคณบดีคณะนิติศาสตร์ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) เห็นว่ามีประเด็นสำคัญในเรื่องช่วงเวลาว่าต้องรอให้เกิดสุญญากาศทางการเมืองหรือไม่โดยคณะรัฐบุคคล มองว่า ไม่จำเป็นต้องรอให้เกิดสุญญากาศแต่อีกมุมมองหนึ่งอาจมองว่าต้องให้มีสุญญากาศซึ่งจะเชื่อมโยงกับรัฐธรรมนูญฯมาตรา 7 ซึ่งจะให้ประธานรัฐสภาเป็นผู้เสนอและรับสนองพระบรมราชโองการเป็นความหลากหลายทางความคิดบนพื้นฐานที่อยากให้วิกฤติของชาติยุติลงและหาทางออก
ส่วนนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ฟันธงทันทีเลยว่าข้อเสนอทางออกประเทศไทยของคณะรัฐบุคคลข้างต้น หรือข้อเสนอนายชัยเกษมนิติสิริ รมว.ยุติธรรม เรื่องการใช้รัฐธรรมนูญมาตรา 7 นั้นยังไม่สามารถทำได้ ตราบใดที่ยังไม่มีสุญญากาศทางการเมืองคือจะต้องไม่มีนายกรัฐมนตรีรักษาการก่อนเมื่อถึงตอนนั้นก็ควรจะมีกระบวนการพูดคุยและตกลงกันจากทุกฝ่ายโดยต้องเห็นพ้องต้องกันก่อนที่จะมีการดำเนินการอย่างไรต่อไป
ไม่เพียงแต่คำถามว่าจะต้องรอให้เกิดสุญญากาศก่อนหรือไม่เท่านั้นคำถามที่สำคัญไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากันก็คือ พล.อ.เปรมได้รับการยอมรับจากทุกฝ่ายหรือไม่ ซึ่งเรื่องนี้พล.อ.เปรมก็รู้ดีจึงเคยเอ่ยวาจาว่า "คุณคิดว่าเขาจะฟังผมเหรอ" มาแล้ว
เหตุนี้ข้อเสนอของคณะรัฐบุคคลที่เปิดประเด็นช่วงสงกรานต์สัญญาณนี้ยังไม่มีเสียงปลายสายตอบรับ แต่ก็ใช่ว่าจะไม่มีหวังเอาเสียเลยเพราะ ณ เวลานี้ทุกฝ่ายก็รู้ดีว่าถึงเวลาต้องผ่าทางตันจากวิกฤตเพราะขืนปล่อยไว้เช่นนี้มีแต่พ่ายแพ้และล่มจมกันทั้งประเทศ