xs
xsm
sm
md
lg

เตรียมรบเถิดอรชุน!

เผยแพร่:   โดย: สิริอัญญา

โศลกบทหนึ่งในมหาภารตะยุทธ์พรรณนาการรำพึงของเทพแห่งกาลเวลาว่า “ข้าพเจ้าชูแขนขึ้นป่าวประกาศธรรม แต่หามีใครเชื่อฟังข้าพเจ้าไม่ ธรรมนำมาซึ่งความสงบสุข แต่ไฉนเล่าจึงไม่มีผู้ใดปฏิบัติธรรม”

เมื่อไม่มีใครสนใจปฏิบัติธรรม ย่อมหลีกเลี่ยงความขัดแย้งและสงครามไม่พ้น! เหตุนี้จึงต้องเตรียมรบ ตามบทพระราชนิพนธ์ที่ว่า “เมื่อหวังตั้งสงบ จงเตรียมรบให้พร้อมสรรพ เมื่อศัตรูกล้ามาประจัญ ก็อาจสู้ริปูสลาย”

เหมาเจ๋อตุงเคยกล่าวไว้ว่า เราเตรียมทำสงครามไม่ใช่เพราะเรากระหายสงครามหรือปรารถนาสงคราม แต่เมื่อสงครามหลีกเลี่ยงไม่พ้น ก็ต้องเตรียมทำสงคราม เราเตรียมทำสงครามเพื่อหยุดยั้งสงคราม เพื่อทำลายล้างสงคราม เพื่อป้องกันความสูญเสียของมวลมนุษยชาติ

คติในการฝึกฝนกำลังทหารของกองทัพไทยก็พร่ำสอนกันตลอดมาว่า ต้องฝึกให้หนัก ต้องยอมเสียเหงื่อให้มาก เพราะเสียเหงื่อดีกว่าเสียเลือด ซึ่งหมายความว่าถ้าฝึกน้อยเกินไป ฝึกไม่ชำนาญในการทำหน้าที่ ครั้นเวลาทำหน้าที่เข้าจริงก็จะสูญเสียเลือดเนื้อและชีวิต

ทำไมจึงต้องเตรียมทำสงคราม? ก็เพราะว่าตั้งแต่วันที่ 14 เมษายน 2557 เวลา 8 นาฬิกา 11 นาที 24 วินาที พระนางโคราคะเทวี ซึ่งเป็นบุตรีของท้าวกบิลพรหมก็จะเสด็จเข้าเวรประจำปี พระหัตถ์ขวาทรงพระขรรค์ พระหัตถ์ซ้ายทรงไม้เท้า เสด็จยืนมาบนหลังเสือ ในยามที่ปีนักษัตรปีนี้คือปีมะเมียหรือปีม้า

ประวัติการเข้าเวรสงกรานต์ของพระนางโคราคะเทวีที่แม้นานๆ ทีนานปีหน แต่เมื่อเสด็จเข้าเวรแต่ละครั้งก็มักมีเหตุการณ์ร้ายขึ้นในบ้านเมือง และมีวิกฤตทางเศรษฐกิจใหญ่หลวงขึ้นในบ้านเมือง แต่ในที่สุดจะจบสิ้นลงด้วยชัยชนะของประเทศชาติและประชาชนเสมอ

โดยประวัติการเสด็จเข้าเวรดังกล่าว และประกอบด้วยสถานการณ์ที่เป็นไปในภาคพื้นดิน แม้กระทั่งคำนวณคำนึงจากเดือนดาวทั้งหลายที่โคจรอยู่บนฟากฟ้านภากาศก็บ่งบอกนัยไปในทางเดียว ซึ่งหากจะว่าเป็นคติพราหมณ์และคติโหราศาสตร์ก็จะยืดยาวเกินกว่าหน้าเนื้อกระดาษที่บรรณาธิการท่านอนุญาตไว้ จึงต้องเอาแต่พอสังเขป รวมความก็คือจะมีเรื่องนองเลือดและวิกฤตใหญ่ทางเศรษฐกิจเกิดขึ้นในประเทศไทย เหตุนี้การเตรียมตัวเตรียมใจในทุกทาง แม้กระทั่งการเตรียมทำสงครามจึงเป็นการตั้งอยู่บนความไม่ประมาท เพราะการแผ่นดินนั้นเป็นการใหญ่ เกี่ยวข้องกับชีวิต เลือดเนื้อของประชาชน และความเป็นไปของชาติบ้านเมือง จะให้มีความเสี่ยงเพราะความประมาทไม่ได้

บทเรียนความประมาทในการดำเนินแนวทางนโยบายและในการบัญชาการเมื่อครั้งเกิดกบฏก่อการร้ายเผาบ้านเผาเมืองเมื่อปี 2553 ที่หน่วยทหารฝีมือยอดเยี่ยมของกองทัพต้องถูกทำร้ายเจ็บตายร่วม 300 คนในเวลาเพียง 3 นาที การเข่นฆ่าสังหารและทำร้ายประชาชนร่วมพันคน และการเผาผลาญเมืองหลวงครั้งใหญ่ที่สุดเกือบจะคล้ายเหตุการณ์พม่าเผาเมืองเมื่อครั้งเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่สองจะต้องไม่เกิดขึ้นอีกโดยเด็ดขาด

นายและพลคนใดตั้งอยู่ในความประมาท บัญชาการผิดพลาด ทำให้สูญเสียเลือดเนื้อและชีวิตของกำลังพลทั้งนายและพล แม้กระทั่งประชาชน ซึ่งในบัดนี้ตายกว่า 20 คน และเจ็บร่วม 800 คนแล้ว ไม่ควรต้องให้เพิ่มยอดจำนวนใดๆ ขึ้นมาอีก หากประมาทหรือทำความผิดพลาดซ้ำรอย ควรต้องรับผิดโทษประหารตามพระอัยการศึก

ทำไมถึงต้องเตรียมตัวไม่ตั้งอยู่ในความประมาทเล่า? เพราะจากคำกล่าวของผู้บัญชาการทหารบกเองก็ปรากฏชัดเจนว่ากองทัพรู้ดีแล้วว่ามีกระบวนการก่อการร้ายเกิดขึ้น มีกองกำลังอาวุธกลุ่มเดียวกันกับกลุ่มที่ก่อเหตุร้ายเมื่อปี 2553 และรู้ด้วยว่าเป็นกลุ่มไหน เป็นคนของใคร ก็นับว่าเป็นเรื่องที่น่ายินดีที่ผู้บัญชาการทหารบกกล่าวในลักษณะ “รู้เขา”

กองกำลังดังกล่าวในปี 2553 หมายถึงกองกำลังชายชุดดำและกองกำลังทหารรับจ้างต่างชาติที่มีกำลังนับพันคน มีอาวุธสงครามร้ายแรง และมีจิตใจโหดเหี้ยม สามารถฆ่าฟันทหารตำรวจและประชาชนซึ่งเป็นพี่น้องร่วมชาติกันได้ลงคอ ฆ่าแล้ว ทำร้ายแล้วก็ลอยนวลอยู่จนถึงทุกวันนี้ ในขณะที่เหล่าทหารซึ่งทำหน้าที่ปกบ้านป้องเมืองกำลังถูกไต่สวน กำลังกลายเป็นจำเลย และกำลังถูกขู่ว่าจะนำตัวขึ้นศาลอาญาระหว่างประเทศ

ทว่าในครั้งนี้ไม่ได้มีกองกำลังเท่าที่เคยปรากฏเมื่อปี 2553 เท่านั้น ยังปรากฏกองกำลังติดอาวุธเพิ่มขึ้นอีกสองกระบวน คือ

กระบวนแรก คือกองกำลังอาสาสมัครรับจ้าง หรือที่เรียกว่ากองกำลังตำรวจบ้าน หรือกองกำลังอาสาสมัครตำรวจบ้าน ซึ่งได้มีการฝึกอาวุธ ได้มีการเข้าร่วมปฏิบัติการให้ปรากฏมาบ้างแล้ว และเรื่องนี้กองทัพก็รู้ดีว่ากองกำลังนี้มีจำนวนอยู่เท่าใด มีใครเป็นหัวหน้า มีใครเป็นผู้จ่ายเงินสนับสนุนหรือบงการ เพียงแต่คำนึงคิดว่ายังอยู่ในระดับที่สามารถควบคุมได้ ก็เป็นเรื่องที่ต้องรับผิดชอบในการประมาณสถานการณ์นั้น

กระบวนที่สอง คือกระบวนของผู้ก่อการร้ายจากสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ ที่ถูกจัดตั้งและนำมาใช้ในปฏิบัติการหลายครั้งหลายหนในพื้นที่กรุงเทพมหานคร เป็นปฏิบัติการวางระเบิดไม่ว่าที่ ป.ป.ช. ที่สำนักงานอัยการสูงสุด ที่ศาล และอื่นๆ อีกหลายที่ รวมทั้งการวางคาร์บอมบ์ที่ใกล้เวทีแจ้งวัฒนะให้ปรากฏมาแล้ว ซึ่งผู้ที่มีหน้าที่เกี่ยวข้องก็รู้ดีว่ากระบวนนี้มีใครบ้าง มีใครเป็นหัวหน้า มีใครเป็นผู้รับผิดชอบสั่งการ มีใครเป็นผู้บงการและสนับสนุนทางการเงิน รู้กระทั่งว่าอยู่ในความดูแลคุ้มครองของนักการเมืองคนไหนในพื้นที่ไหนด้วย เพียงแต่เชื่อว่ายังอยู่ในขีดความสามารถที่ควบคุมได้ ก็เป็นเรื่องที่ว่ากันไป

เมื่อเหล่าทหารจะต้องเผชิญกับกองกำลังสี่กระบวนนี้ จะเตรียมการอย่างไร จะป้องกันเหตุร้ายอย่างไร จะคุ้มครองป้องกันประเทศชาติ สถาบันพระมหากษัตริย์ และประชาชนอย่างไร เป็นเรื่องอำนาจหน้าที่ของกองทัพไทย ของผู้บัญชาการเหล่าทัพ รวมทั้งผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ และกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักรด้วย

เหตุที่ต้องเตรียมตัวป้องกันเหตุร้าย และปกป้องคุ้มครองชาติ พระมหากษัตริย์ และประชาชน ก็เพราะว่า กปปส. ซึ่งจัดชุมนุมโดยสงบและสันติ ปราศจากอาวุธมาเป็นเวลากว่า 5 เดือนแล้วได้ประกาศนัดชุมนุมใหญ่ในห้วงเวลาที่ ป.ป.ช. นัดชี้มูลความผิดฐานทุจริตโครงการรับจำนำข้าว หรือในห้วงเวลาที่ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยคดี ที่มีการกระทำผิดต่อรัฐธรรมนูญ

เมื่อ กปปส.นัดชุมนุมใหญ่เช่นนี้ นักการเมืองก็บงการให้ลิ่วล้อบริวารนัดชุมนุมใหญ่บ้างในห้วงเวลาเดียวกัน ซึ่งแม้ว่าประชาชนชาวไทยไม่ว่าฝ่ายไหนจะไม่ใช่ศัตรูกัน จะไม่ทำร้ายฆ่าฟันกัน แต่กับกองกำลังทั้งสี่กระบวนนั้นใครเล่าจะเชื่อได้ว่าไม่มีเหตุร้ายเกิดขึ้น และการรับมือป้องกันเหตุร้ายนั้นก็เป็นหน้าที่ของผู้มีอำนาจหน้าที่ตามที่รัฐธรรมนูญและกฎหมายบัญญัติ ไม่ใช่หน้าที่ของประชาชนมือเปล่า

ทำไมจึงต้องมีการระดมมวลชนเข้ามาเผชิญหน้ากันในห้วงเวลาเดียวกัน? ก็เพราะว่านักการเมืองต้องการยึดประเทศไทย ต้องการอยู่ในอำนาจต่อไป ในท่ามกลางความพินาศฉิบหายวายวอดของบ้านเมืองและประชาชน จึงแสดงท่าทีอย่างเด่นชัดว่าจะไม่ยอมรับและไม่ปฏิบัติตามคำวินิจฉัยของ ป.ป.ช. หรือศาลรัฐธรรมนูญ

ซึ่งเท่ากับว่าเมื่อความเป็นรัฐมนตรีสิ้นสุดลง และต้องพ้นจากตำแหน่งหน้าที่ทั้งคณะรัฐมนตรีตามที่รัฐธรรมนูญบัญญัติแล้วก็ดี หรือต้องหยุดปฏิบัติหน้าที่หากว่า ป.ป.ช. ชี้มูลแล้วก็ดี นักการเมืองก็จะยังคงดื้ออยู่ในอำนาจและจะใช้อำนาจต่อไป

ดังนั้น หากมีเหตุการณ์เช่นนั้นเกิดขึ้น ก็ย่อมเป็นการก่อกบฏ ดังนั้นจึงต้องมีการระดมมวลชนในรูปแบบต่างๆ เข้ามาปกป้องคุ้มครองอย่างเต็มกำลัง โดยจะเป็นตายเท่าไหร่นักการเมืองก็ไม่สนใจ เหมือนกับที่เคยเกิดขึ้นมาแล้วหลายครั้ง

เมื่อเป็นอย่างนี้จะไม่มีความเป็นกลางเหลืออยู่อีกต่อไป มีแต่ว่าจะยอมค้อมหัวจำนนให้นักการเมืองยึดประเทศไทย หรือว่าจะกอบกู้ประเทศไทยกลับคืนมาก็เท่านั้น วันเวลาที่คนไทยจะต้องตัดสินใจว่าจะเป็นทาสหรือเป็นไทใกล้มาถึงเต็มที จึงต้องเตรียมรบเถิดอรชุน!
กำลังโหลดความคิดเห็น