-- อะไรคือเหตุผลในการตัดสินใจทิ้งบทบาทการเป็นนักการเมืองในสภา แล้วมาเป็นแกนนำในการต่อสู้ของภาคประชาชน
ผมใช้เวลาหลายวัน กว่าจะตัดสินใจลาออกจาก ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ สิ่งแรกเราทบทวนบทบาทของตัวเอง จากการลาออกจากอาชีพอัยการ มาทำงานการเมืองอยู่ 18 ปี ไม่มีห้วงเวลาใดที่เป็นปัญหาเท่ากับห้วงเวลาที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร และคณะเข้ามาเป็นรัฐบาล เพราะถึงเราจะเป็นฝ่ายค้าน ก็ไม่สามารถทำหน้าที่ได้ และเขาใช้เสียงข้างมาก เป็นเผด็จการในรัฐสภา เพราะฉะนั้นถึงเราจะอยู่ต่อไป ก็คงไม่มีประโยชน์ใด จึงเป็นเหตุให้ลาออก แต่ก่อนจะลาออก ผมก็มานั่งทบทวน ถอดบทเรียนในอดีต และอนาคต ว่าอะไรจะเกิดขึ้นบ้าง เช่น เมื่อเราลาออกแล้ว เราจะกลับไปสมัคร ส.ส.ในระบบเก่าไม่ได้ ซึ่งเป็นการสูญเสียความตั้งใจที่เรามีตั้งแต่ต้น แต่เมื่อเห็นว่าใช้ระบบเดิม ก็ไม่เกิดประโยชน์ จึงตัดสินใจออกมาทำการเมืองร่วมกับประชาชนนอกสภาฯ และสิ่งที่จะตามมา เมื่อเราตัดสินใจแล้วก็คือ เรื่องของคดีความ และก็เป็นไปตามคาดการณ์ ไม่ว่าจะเป็นข้อหากบฎ หรือการทำความผิดตาม พ.ร.ก.ฉุกเฉิน และบรรดาเพื่อนร่วมงาน ก็โดนคดีบุกรุกสถานที่ราชการ ขัดขวางการเลือกตั้งบ้าง ซึ่งก็ไม่เกินความคาดหมาย เพราะฉะนั้นการตัดสินใจดังกล่าว ก็ต้องปรึกษาครอบครัว และทีมงาน เมื่อเขาเห็นด้วย ว่าอยู่ต่อไปก็ไม่เกิดประโยชน์ ก็ตัดสินใจลาออกในที่สุด
--การต่อสู้ที่ผ่านมายาวนานกวา 6 เดือน ใกล้เคียงกับคำว่า“ชัยชนะ”หรือประสบความสำเร็จในด้านไหนบ้าง
ผมคิดว่าที่ผ่านมา เราประสบความสำเร็จเป็นที่น่าพอใจ ตั้งแต่เรานำมวลชนกดดันสมาชิกวุฒิสภา หรือ ส.ว.ให้เปลี่ยนความคิดที่จะผ่าน ร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรม ซึ่งก่อนหน้านี้ ส.ส. เสียงข้างมาก และ ส.ว. สายระบอบทักษิณ ยืนยันว่า จะผ่านกฎหมายฉบับนี้ให้ได้ เมื่อเราหยุดกฎหมายนี้สำเร็จ เราก็ถืออว่าชนะแล้ว ชัยชนะต่อมาก็คือ ช่วงที่พวกเรายังเป็น ส.ส.อยู่ ได้ยื่นให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย 2 เรื่อง คือ 1. เรื่องแก้ไขรัฐธรรมนูญ ที่มา ส.ว. และการตัดสิทธิตัวแทนประชาชน ออกจากการตรวจสอบ ในขณะที่รัฐบาลไปทำสัญญากับต่างประเทศ ศาลฯ ก็ได้วินิจฉัยให้เป็นโมฆะ การชุมนุมที่เราสร้างความรู้สะสมให้กับประชาชนในเรื่องที่ระบอบทักษิณ ที่สร้างความเสียหายให้กับประเทศชาติ นั่นถือว่าเป็นชัยชนะที่ใหญ่มาก และในระหว่างที่ กปปส. ชุมนุม เขาก็ออก พ.ร.บ.ความมั่นคง มาอีก แต่ก็ไม่สามารถทำอะไรได้ ต่อมาก็มี พ.ร.ก.บริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน ซึ่งเราก็ไปขอให้ศาลฯ คุ้มครอง ศาลก็ได้พิพากษา ให้เราชนะคดี ถือว่าเราก็ชนะการใช้อำนาจรัฐของทางฝ่ายรัฐบาล
ประการต่อมา ในเรื่องของการกระชากหน้ากากกระบวนการทุจริต ด้วยการเปิดโปงให้ประชาชนเห็น ประกอบกับการที่เราเคยยื่นคำร้องต่อ ป.ป.ช.ให้ไต่สวน กรณีการทุจริตโครงการรับจำนำข้าว บัดนี้ก็ใกล้จะถึงเวลาชี้มูลความผิด ประชาชนมีความเข้าใจในกระบวนการทุจริต และโครงการประชานิยม ที่มีเป้าหมายเพื่อการซื้อเสียงล่วงหน้า และเป็นการทุจริตเชิงนโยบายมากขึ้น นี่ก็ถือเป็นชัยชนะเช่นกัน
ส่วนในเรื่องการข่มเหงรังแกข้าราชการประจำ ถ้าใครไม่ได้ซูฮกระบอบทักษิณ คนนั้นก็จะไม่สามารถได้รับตำแหน่งที่ก้าวหน้าได้ มีอยู่ 2 เรื่องที่ระบอบทักษิณกลั่นแกล้งอย่างเห็นได้ชัดก็คือ 1. พ.อ.ปิยะวัฒก์ กิ่งเกตุ ที่ถูก นายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) โยกย้ายไม่เป็นธรรม จากตำแหน่งผู้บัญชาการคดีฯ ไปนั่งตบยุงแทน จนพ.อ.ปิยะวัฒก์ เข้าฟ้องต่อคณะกรรมการพิทักษ์คุณธรรม และเรื่องไปอยู่ที่ศาลอาญา ที่ได้รับคดีไปแล้ว นายธาริต จึงตกเป็นจำเลย เรื่องต่อมาก็อย่างที่ทราบกันดี คือกรณี นายถวิล เปลี่ยนศรี ซึ่งจะนำไปสู่การวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ ซึ่งจะทำให้รัฐบาลน.ส.ยิ่งลักษณ์ พ้นสภาพของการเป็นรัฐบาล แบบยกคณะ
นอกจากนี้ เรื่องการปฏิรูปประเทศไทย เราก็ได้ระดม รับฟังความเห็นของประชาชน ได้เห็นแนวทางของความต้องการของประชาชน ที่ต้องการจะปฏิรูปประเทศไทยหลายด้าน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในเรื่องการเมือง ที่เห็นว่า พรรคการเมืองคือ พรรคของนายทุน ส.ส.ในพรรค จึงเป็นของนายทุน ไม่ได้เป็นของประชาชน การทำงานก็ไม่ได้เพื่อประชาชน
--เรื่องของการทุจริต คอร์รัปชัน และการตัดสินคดีของรัฐบาล“ยิ่งลักษณ์”จากองค์กรอิสระ
ถ้าพิจารณาจากกรอบระยะเวลา ก็น่าจะอยู่ที่วันที่ 13 เมษายน นี้ ไปแล้ว ก็คือ หลังเทศกาลสงกรานต์ แนวทางของ กปปส. จะมีการชุมนุมใหญ่เพื่อส่งสัญญาณไปยังรัฐบาลชุดนี้ ที่มีพฤติกรรมไม่ยอมรับคำตัดสินของศาลฯ ซึ่งเป็นการไม่ยอมรับอำนาจของฝ่ายตุลาการ นั่นเป็นการแสดงออกของเผด็จการ ที่ไม่ยอมรับการตรวจสอบ ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องที่เลวร้ายมากในการปกครองแบบประชาธิปไตย
-- แสดงว่า กปปส. มองว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์ และคณะรัฐมนตรี ชุดนี้ จะไม่ยอมรับคำตัดสินของ ป.ป.ช. และศาลรัฐธรรมนูญอีก
ผมเชื่อว่าครั้งนี้ เขาก็จะไม่ยอมรับ และจะไม่แสดงออกเพียงแค่แถลงการณ์อย่างเดียวเท่านั้น แต่จะมีการขนกองกำลัง ซึ่งก็คือ กลุ่ม นปช. ออกมาเคลื่อนไหว และถ้าเกิดเป็นการสร้างความรุนแรง ก็จะเกิดการปะทะกันระหว่างมวลชน 2 ฝ่าย ซึ่งเขาจะอ้างว่า เขาต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย แต่จริงๆ แล้ว ที่เขาต้องการคือประชาธิปไตยในรูปแบบที่เขาคุมได้ เพราะถ้าเรื่องใดที่องค์กรอิสระพิจารณาว่า เขาผิด เขาก็จะไม่ยอมรับ ซึ่งสิ่งเหล่านี้ไม่ใช่การปกครองในรูปแบบประชาธิปไตย หลายคนบอกว่า จะเกิดสงครามกลางเมือง หรือ Civil War แต่สำหรับผม มองว่า หากเจ้าหน้าที่ทหาร และตำรวจ ที่ยังรักความถูกต้องอยู่ออกมายับยั้งเหตุ ก็อาจจะไม่ถึงขั้นนั้น แต่ก็จะเป็นปัญหาเรื้อรังต่อไป
-- มั่นใจว่าจะเกิดสงครามระหว่าง กปปส. กับ นปช. แน่
ถึงจะไม่มีการปะทะกันอย่างชัดเจน ก็จะมีการลอบทำร้าย ก่อให้เกิดความสูญเสียกับฝ่ายประชาชน เพราะที่ผ่านมา ผมมั่นใจว่า ฝ่ายรัฐบาลเป็นผู้กระทำให้เกิดความสูญเสียไปแล้วกว่า 20 คน แม้ไม่ใช่การปะทะ ก็ถือว่าเป็นการสูญเสียที่มากพอสมควร
-- ในฐานะแกนนำที่ได้รับมอบหมายให้ดูแลชุดรักษาความปลอดภัยของ กปปส. มีการเตรียมตัวอย่างไร
สิ่งแรกคือ เราต้องมีการจัดฝึกอบรมการ์ดให้มีความรู้เรื่องการรักษาความปลอดภัย อย่างมีวินัย 2. คือเรื่องฝ่ายข่าว ฝ่ายลาดตระเวน เพื่อจะสกัดกั้น ไม่ให้คนร้ายเหล่านั้นมากระทำกับประชาชน ประการที่ 3 เมื่อรู้ เราจะแจ้งเบาะแสไปยังตำรวจให้ระงับ ยับยั้ง หรือป้องกัน ในขณะเดียวกัน ทีมรักษาความปลอดภัย เราก็จะดูแลเช่นกัน ทั้งในฐานที่ตั้งสวนลุมพินี แห่งนี้ และระหว่างเคลื่อนขบวนไปในพื้นที่ต่างๆ เพื่อทำภารกิจ
--เหตุการณ์ความรุนแรง อาจจะเกิดขึ้นในวันชุมนุมใหญ่ของ กปปส. เพราะทาง นปช. ก็มีการนัดชุมนุมเช่นเดียวกัน มองเหตุการณ์ในอนาคตอย่างไรบ้าง
ผมยอมรับว่า มีความกังวลในเรื่องนี้พอสมควร มีความเป็นไปได้ เพราะจะมีมวลชนเยอะ พื้นที่กว้าง การ์ดของเรามีจำนวนไม่พอ หากมวลชนมาเป็นล้าน การ์ดของเรามีอยู่ประมาณ 2,000 คน คงไม่เพียงพอ ในส่วนของ นปช. เป็นสิ่งที่น่ากลัว เพราะทาง กปปส. จะเป็นผู้กำหนดเวลาไว้ก่อนว่า เราจะชุมนุม แต่เขากำหนดทีหลัง นั่นแสดงว่ามีความประสงค์ที่จะก่อให้เกิดปัญหาขึ้นมา หรือข่มขู่ คุกคามใส่เรา ไม่ให้ประชาชนมามาก
-- อนาคตประเทศไทยต่อจากนี้ จะเดินไปอย่างไร
ถ้ายังไม่สลายขั้วขัดแย้ง และถ้ายังดันทุรังให้มีการเลือกตั้ง ความไม่สงบ ก็ยังคงเกิดขึ้น การพัฒนาประเทศก็จะมีผลกระทบ และที่สำคัญที่ผ่านมารัฐบาลระบอบทักษิณ ไม่ใส่ใจในการแก้ไขปัญหาความรุนแรงในภาคใต้เลย ซึ่งเป็นปัญหาที่ระบอบทักษิณ สร้างขึ้นมาเอง จะเห็นได้จากการที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ เข้ามาเป็นนายกรัฐมนตรี และเป็น ผู้อำนวยการศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ หรือ ผอ. ศอ.บต. และสภาความมั่นคงแห่งชาติ หรือ กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร หรือ กอ.รมน. แต่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ไม่เคยทำหน้าที่เลย หรือ รัฐมนตรีที่ได้รับการแต่งตั้ง ก็ไม่เคยทำหน้าที่เช่นกัน ปล่อยให้ประชาชนตายรายวัน รัฐบาลใส่ใจกับการเกาะยึดตำแหน่ง แต่ไม่ทำหน้าที่ตามตำแหน่ง นี่คือปัญหา
-- วางแผนชีวิตนักการเมืองของตัวเองไว้อย่างไร
เมื่อประเทศไทยได้รับการปฏิรูปตามแนวทางที่ กปปส. ต่อสู้มา ผมจะกลับเป็นรับเลือกตั้งเป็นนักการเมืองระดับประเทศต่อไป แต่ถ้ายังใช้กติกาเดิม ผมก็คิดว่ามันไม่มีความชอบธรรมที่ผมจะเล่นการเมืองในระดับนี้อีก ในทางกลับกัน หากประเทศไม่มีการปฏิรุปใดๆ เลย ผมก็คงใช้ชีวิตเหมือนประชาชนทั่วไป และคงไม่เล่นการเมืองระดับชาติอีก แต่ถ้าสำหรับการเมืองท้องถิ่น เราสามารถทำงานในวงแคบได้ แต่อย่างไรก็ตาม ผมเชื่อว่า จะต้องมีการเปลี่ยนแปลง เพราะผมยังรักความเป็นนักการเมืองอยู่ ไม่กังวลว่าจะปฏิรูปไม่ได้ เพราะขณะนี้ระบอบทักษิณ กำลังนับถอยหลัง ด้วยการให้ต่างชาติออกมาพูดจาปราศรัยแทน พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เพราะรู้ดีว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ไม่ได้รับการยอมรับจากประชาชนในภาพรวมแล้ว หรือแม้แต่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ที่เป็นเจ้าของ นปช. ก็ไม่ได้ออกมาเช่นกัน
-- แนวทางการปฏิรูปของ กปปส. กับ นายกฯคนกลาง ตามมาตรา 7 จะเดินไปคู่กัน ได้หรือไม่
แนวทางปฏิรูป คืดสิ่งที่เราตั้งใจไว้ ส่วนประสิทธิภาพจะเกิดขึ้นหรือไม่ ก็ต้องดูเหตุการณ์และสถานการณ์ขณะนั้น เพราะถ้า นปช. ยังออกมาก่อกวน การปฏิรูปก็คงเดินได้ยาก จะเห็นได้จากตอนที่พรรคประชาธิปัตย์ เป็นแกนนำรัฐบาล การบริหารประเทศน่าจะก้าวไปข้างหน้าได้เยอะ แต่คนเสื้อแดง ก็ทำให้รัฐบาลขณะนั้นได้รับผลกระทบ ก็หมือนกัน
-- โอกาสนี้ จะสื่อสารไปถึงมวลมหาประชาชน กปปส. ที่ร่วมงานกันมากกว่าครึ่งปี อย่างไรบ้าง
ผมขอให้มวลชนทุกคนสบายใจได้ว่า การเข้าร่วมชุมนุมกับ กปปส. มีความปลอดภัยแน่นอน มาถึงขณะนี้ เราเดินทางมาถึง 80 เปอร์เซ็นต์แล้ว หลังจากนี้ ก็จะเข้าสู่เวทีการปฏิรูปตามที่พวกเราต้องการ ในส่วนของบางคนที่ถูกข้อกล่าวหา ขัดขวางการเลือกตั้ง ก็ไม่ต้องกังวลแล้ว เพราะเมื่อการเลือกตั้งเป็นอดีต อัยการก็ไม่สั่งฟ้อง ส่วนข้อหาบุกรุกสถานที่ราชการ เราไม่ได้มีเจตนาพิเศษในการสร้างปัญหาให้เกิดความเดือดร้อนกับข้าราชการ ก็ไม่ต้องกังวลใจ อัยการคงให้ความเป็นธรรมกับเราได้ ส่วนมวลชนเสื้อแดง อยากให้กลับไปทบทวนว่า การที่ระบอบทักษิณ ประกาศจะกระชากค่าครองชีพ ให้กับคนเสื้อแดง หรือคนไทยทั่วไป หรือจะเป็นการดูแลพี่น้องเกษตรกร ชาวนา เขาก็ทำไม่ได้ สิ่งสำคัญที่สุด ขอให้ระมัดระวังวาทกรรมทางการเมือง อำมาตย์และไพร่ เพราะมันคิดวาทกรรมที่หลอกลวงให้ประชาชนคนไทยชิงชังคนในสังคมเดียวกัน แต่คนที่ทำตัวเหนือไพร่ ก็คือระบอบทักษิณ ที่รวยขึ้นทุกวันๆ และนักการเมืองในระบอบนี้ ที่ใช้สิทธิพิเศษนอกเหนือจากสิ่งที่พี่น้องประชาชนคนเสื้อแดงได้รับ เพราะฉะนั้นก่อนที่จะออกมาเคลื่อนไหว ขอให้ถามตัวเองว่า พี่น้องถูกหลอก นี่เป็นเรื่องจริง หรือได้อะไรจากการเคลื่อนไหว และกำลังเป็นเครื่องมือทางการเมืองให้เขาใช้ เพื่ออยู่ในตำแหน่งทางการเมืองได้นานที่สุด
ผมใช้เวลาหลายวัน กว่าจะตัดสินใจลาออกจาก ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ สิ่งแรกเราทบทวนบทบาทของตัวเอง จากการลาออกจากอาชีพอัยการ มาทำงานการเมืองอยู่ 18 ปี ไม่มีห้วงเวลาใดที่เป็นปัญหาเท่ากับห้วงเวลาที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร และคณะเข้ามาเป็นรัฐบาล เพราะถึงเราจะเป็นฝ่ายค้าน ก็ไม่สามารถทำหน้าที่ได้ และเขาใช้เสียงข้างมาก เป็นเผด็จการในรัฐสภา เพราะฉะนั้นถึงเราจะอยู่ต่อไป ก็คงไม่มีประโยชน์ใด จึงเป็นเหตุให้ลาออก แต่ก่อนจะลาออก ผมก็มานั่งทบทวน ถอดบทเรียนในอดีต และอนาคต ว่าอะไรจะเกิดขึ้นบ้าง เช่น เมื่อเราลาออกแล้ว เราจะกลับไปสมัคร ส.ส.ในระบบเก่าไม่ได้ ซึ่งเป็นการสูญเสียความตั้งใจที่เรามีตั้งแต่ต้น แต่เมื่อเห็นว่าใช้ระบบเดิม ก็ไม่เกิดประโยชน์ จึงตัดสินใจออกมาทำการเมืองร่วมกับประชาชนนอกสภาฯ และสิ่งที่จะตามมา เมื่อเราตัดสินใจแล้วก็คือ เรื่องของคดีความ และก็เป็นไปตามคาดการณ์ ไม่ว่าจะเป็นข้อหากบฎ หรือการทำความผิดตาม พ.ร.ก.ฉุกเฉิน และบรรดาเพื่อนร่วมงาน ก็โดนคดีบุกรุกสถานที่ราชการ ขัดขวางการเลือกตั้งบ้าง ซึ่งก็ไม่เกินความคาดหมาย เพราะฉะนั้นการตัดสินใจดังกล่าว ก็ต้องปรึกษาครอบครัว และทีมงาน เมื่อเขาเห็นด้วย ว่าอยู่ต่อไปก็ไม่เกิดประโยชน์ ก็ตัดสินใจลาออกในที่สุด
--การต่อสู้ที่ผ่านมายาวนานกวา 6 เดือน ใกล้เคียงกับคำว่า“ชัยชนะ”หรือประสบความสำเร็จในด้านไหนบ้าง
ผมคิดว่าที่ผ่านมา เราประสบความสำเร็จเป็นที่น่าพอใจ ตั้งแต่เรานำมวลชนกดดันสมาชิกวุฒิสภา หรือ ส.ว.ให้เปลี่ยนความคิดที่จะผ่าน ร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรม ซึ่งก่อนหน้านี้ ส.ส. เสียงข้างมาก และ ส.ว. สายระบอบทักษิณ ยืนยันว่า จะผ่านกฎหมายฉบับนี้ให้ได้ เมื่อเราหยุดกฎหมายนี้สำเร็จ เราก็ถืออว่าชนะแล้ว ชัยชนะต่อมาก็คือ ช่วงที่พวกเรายังเป็น ส.ส.อยู่ ได้ยื่นให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย 2 เรื่อง คือ 1. เรื่องแก้ไขรัฐธรรมนูญ ที่มา ส.ว. และการตัดสิทธิตัวแทนประชาชน ออกจากการตรวจสอบ ในขณะที่รัฐบาลไปทำสัญญากับต่างประเทศ ศาลฯ ก็ได้วินิจฉัยให้เป็นโมฆะ การชุมนุมที่เราสร้างความรู้สะสมให้กับประชาชนในเรื่องที่ระบอบทักษิณ ที่สร้างความเสียหายให้กับประเทศชาติ นั่นถือว่าเป็นชัยชนะที่ใหญ่มาก และในระหว่างที่ กปปส. ชุมนุม เขาก็ออก พ.ร.บ.ความมั่นคง มาอีก แต่ก็ไม่สามารถทำอะไรได้ ต่อมาก็มี พ.ร.ก.บริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน ซึ่งเราก็ไปขอให้ศาลฯ คุ้มครอง ศาลก็ได้พิพากษา ให้เราชนะคดี ถือว่าเราก็ชนะการใช้อำนาจรัฐของทางฝ่ายรัฐบาล
ประการต่อมา ในเรื่องของการกระชากหน้ากากกระบวนการทุจริต ด้วยการเปิดโปงให้ประชาชนเห็น ประกอบกับการที่เราเคยยื่นคำร้องต่อ ป.ป.ช.ให้ไต่สวน กรณีการทุจริตโครงการรับจำนำข้าว บัดนี้ก็ใกล้จะถึงเวลาชี้มูลความผิด ประชาชนมีความเข้าใจในกระบวนการทุจริต และโครงการประชานิยม ที่มีเป้าหมายเพื่อการซื้อเสียงล่วงหน้า และเป็นการทุจริตเชิงนโยบายมากขึ้น นี่ก็ถือเป็นชัยชนะเช่นกัน
ส่วนในเรื่องการข่มเหงรังแกข้าราชการประจำ ถ้าใครไม่ได้ซูฮกระบอบทักษิณ คนนั้นก็จะไม่สามารถได้รับตำแหน่งที่ก้าวหน้าได้ มีอยู่ 2 เรื่องที่ระบอบทักษิณกลั่นแกล้งอย่างเห็นได้ชัดก็คือ 1. พ.อ.ปิยะวัฒก์ กิ่งเกตุ ที่ถูก นายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) โยกย้ายไม่เป็นธรรม จากตำแหน่งผู้บัญชาการคดีฯ ไปนั่งตบยุงแทน จนพ.อ.ปิยะวัฒก์ เข้าฟ้องต่อคณะกรรมการพิทักษ์คุณธรรม และเรื่องไปอยู่ที่ศาลอาญา ที่ได้รับคดีไปแล้ว นายธาริต จึงตกเป็นจำเลย เรื่องต่อมาก็อย่างที่ทราบกันดี คือกรณี นายถวิล เปลี่ยนศรี ซึ่งจะนำไปสู่การวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ ซึ่งจะทำให้รัฐบาลน.ส.ยิ่งลักษณ์ พ้นสภาพของการเป็นรัฐบาล แบบยกคณะ
นอกจากนี้ เรื่องการปฏิรูปประเทศไทย เราก็ได้ระดม รับฟังความเห็นของประชาชน ได้เห็นแนวทางของความต้องการของประชาชน ที่ต้องการจะปฏิรูปประเทศไทยหลายด้าน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในเรื่องการเมือง ที่เห็นว่า พรรคการเมืองคือ พรรคของนายทุน ส.ส.ในพรรค จึงเป็นของนายทุน ไม่ได้เป็นของประชาชน การทำงานก็ไม่ได้เพื่อประชาชน
--เรื่องของการทุจริต คอร์รัปชัน และการตัดสินคดีของรัฐบาล“ยิ่งลักษณ์”จากองค์กรอิสระ
ถ้าพิจารณาจากกรอบระยะเวลา ก็น่าจะอยู่ที่วันที่ 13 เมษายน นี้ ไปแล้ว ก็คือ หลังเทศกาลสงกรานต์ แนวทางของ กปปส. จะมีการชุมนุมใหญ่เพื่อส่งสัญญาณไปยังรัฐบาลชุดนี้ ที่มีพฤติกรรมไม่ยอมรับคำตัดสินของศาลฯ ซึ่งเป็นการไม่ยอมรับอำนาจของฝ่ายตุลาการ นั่นเป็นการแสดงออกของเผด็จการ ที่ไม่ยอมรับการตรวจสอบ ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องที่เลวร้ายมากในการปกครองแบบประชาธิปไตย
-- แสดงว่า กปปส. มองว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์ และคณะรัฐมนตรี ชุดนี้ จะไม่ยอมรับคำตัดสินของ ป.ป.ช. และศาลรัฐธรรมนูญอีก
ผมเชื่อว่าครั้งนี้ เขาก็จะไม่ยอมรับ และจะไม่แสดงออกเพียงแค่แถลงการณ์อย่างเดียวเท่านั้น แต่จะมีการขนกองกำลัง ซึ่งก็คือ กลุ่ม นปช. ออกมาเคลื่อนไหว และถ้าเกิดเป็นการสร้างความรุนแรง ก็จะเกิดการปะทะกันระหว่างมวลชน 2 ฝ่าย ซึ่งเขาจะอ้างว่า เขาต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย แต่จริงๆ แล้ว ที่เขาต้องการคือประชาธิปไตยในรูปแบบที่เขาคุมได้ เพราะถ้าเรื่องใดที่องค์กรอิสระพิจารณาว่า เขาผิด เขาก็จะไม่ยอมรับ ซึ่งสิ่งเหล่านี้ไม่ใช่การปกครองในรูปแบบประชาธิปไตย หลายคนบอกว่า จะเกิดสงครามกลางเมือง หรือ Civil War แต่สำหรับผม มองว่า หากเจ้าหน้าที่ทหาร และตำรวจ ที่ยังรักความถูกต้องอยู่ออกมายับยั้งเหตุ ก็อาจจะไม่ถึงขั้นนั้น แต่ก็จะเป็นปัญหาเรื้อรังต่อไป
-- มั่นใจว่าจะเกิดสงครามระหว่าง กปปส. กับ นปช. แน่
ถึงจะไม่มีการปะทะกันอย่างชัดเจน ก็จะมีการลอบทำร้าย ก่อให้เกิดความสูญเสียกับฝ่ายประชาชน เพราะที่ผ่านมา ผมมั่นใจว่า ฝ่ายรัฐบาลเป็นผู้กระทำให้เกิดความสูญเสียไปแล้วกว่า 20 คน แม้ไม่ใช่การปะทะ ก็ถือว่าเป็นการสูญเสียที่มากพอสมควร
-- ในฐานะแกนนำที่ได้รับมอบหมายให้ดูแลชุดรักษาความปลอดภัยของ กปปส. มีการเตรียมตัวอย่างไร
สิ่งแรกคือ เราต้องมีการจัดฝึกอบรมการ์ดให้มีความรู้เรื่องการรักษาความปลอดภัย อย่างมีวินัย 2. คือเรื่องฝ่ายข่าว ฝ่ายลาดตระเวน เพื่อจะสกัดกั้น ไม่ให้คนร้ายเหล่านั้นมากระทำกับประชาชน ประการที่ 3 เมื่อรู้ เราจะแจ้งเบาะแสไปยังตำรวจให้ระงับ ยับยั้ง หรือป้องกัน ในขณะเดียวกัน ทีมรักษาความปลอดภัย เราก็จะดูแลเช่นกัน ทั้งในฐานที่ตั้งสวนลุมพินี แห่งนี้ และระหว่างเคลื่อนขบวนไปในพื้นที่ต่างๆ เพื่อทำภารกิจ
--เหตุการณ์ความรุนแรง อาจจะเกิดขึ้นในวันชุมนุมใหญ่ของ กปปส. เพราะทาง นปช. ก็มีการนัดชุมนุมเช่นเดียวกัน มองเหตุการณ์ในอนาคตอย่างไรบ้าง
ผมยอมรับว่า มีความกังวลในเรื่องนี้พอสมควร มีความเป็นไปได้ เพราะจะมีมวลชนเยอะ พื้นที่กว้าง การ์ดของเรามีจำนวนไม่พอ หากมวลชนมาเป็นล้าน การ์ดของเรามีอยู่ประมาณ 2,000 คน คงไม่เพียงพอ ในส่วนของ นปช. เป็นสิ่งที่น่ากลัว เพราะทาง กปปส. จะเป็นผู้กำหนดเวลาไว้ก่อนว่า เราจะชุมนุม แต่เขากำหนดทีหลัง นั่นแสดงว่ามีความประสงค์ที่จะก่อให้เกิดปัญหาขึ้นมา หรือข่มขู่ คุกคามใส่เรา ไม่ให้ประชาชนมามาก
-- อนาคตประเทศไทยต่อจากนี้ จะเดินไปอย่างไร
ถ้ายังไม่สลายขั้วขัดแย้ง และถ้ายังดันทุรังให้มีการเลือกตั้ง ความไม่สงบ ก็ยังคงเกิดขึ้น การพัฒนาประเทศก็จะมีผลกระทบ และที่สำคัญที่ผ่านมารัฐบาลระบอบทักษิณ ไม่ใส่ใจในการแก้ไขปัญหาความรุนแรงในภาคใต้เลย ซึ่งเป็นปัญหาที่ระบอบทักษิณ สร้างขึ้นมาเอง จะเห็นได้จากการที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ เข้ามาเป็นนายกรัฐมนตรี และเป็น ผู้อำนวยการศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ หรือ ผอ. ศอ.บต. และสภาความมั่นคงแห่งชาติ หรือ กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร หรือ กอ.รมน. แต่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ไม่เคยทำหน้าที่เลย หรือ รัฐมนตรีที่ได้รับการแต่งตั้ง ก็ไม่เคยทำหน้าที่เช่นกัน ปล่อยให้ประชาชนตายรายวัน รัฐบาลใส่ใจกับการเกาะยึดตำแหน่ง แต่ไม่ทำหน้าที่ตามตำแหน่ง นี่คือปัญหา
-- วางแผนชีวิตนักการเมืองของตัวเองไว้อย่างไร
เมื่อประเทศไทยได้รับการปฏิรูปตามแนวทางที่ กปปส. ต่อสู้มา ผมจะกลับเป็นรับเลือกตั้งเป็นนักการเมืองระดับประเทศต่อไป แต่ถ้ายังใช้กติกาเดิม ผมก็คิดว่ามันไม่มีความชอบธรรมที่ผมจะเล่นการเมืองในระดับนี้อีก ในทางกลับกัน หากประเทศไม่มีการปฏิรุปใดๆ เลย ผมก็คงใช้ชีวิตเหมือนประชาชนทั่วไป และคงไม่เล่นการเมืองระดับชาติอีก แต่ถ้าสำหรับการเมืองท้องถิ่น เราสามารถทำงานในวงแคบได้ แต่อย่างไรก็ตาม ผมเชื่อว่า จะต้องมีการเปลี่ยนแปลง เพราะผมยังรักความเป็นนักการเมืองอยู่ ไม่กังวลว่าจะปฏิรูปไม่ได้ เพราะขณะนี้ระบอบทักษิณ กำลังนับถอยหลัง ด้วยการให้ต่างชาติออกมาพูดจาปราศรัยแทน พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เพราะรู้ดีว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ไม่ได้รับการยอมรับจากประชาชนในภาพรวมแล้ว หรือแม้แต่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ที่เป็นเจ้าของ นปช. ก็ไม่ได้ออกมาเช่นกัน
-- แนวทางการปฏิรูปของ กปปส. กับ นายกฯคนกลาง ตามมาตรา 7 จะเดินไปคู่กัน ได้หรือไม่
แนวทางปฏิรูป คืดสิ่งที่เราตั้งใจไว้ ส่วนประสิทธิภาพจะเกิดขึ้นหรือไม่ ก็ต้องดูเหตุการณ์และสถานการณ์ขณะนั้น เพราะถ้า นปช. ยังออกมาก่อกวน การปฏิรูปก็คงเดินได้ยาก จะเห็นได้จากตอนที่พรรคประชาธิปัตย์ เป็นแกนนำรัฐบาล การบริหารประเทศน่าจะก้าวไปข้างหน้าได้เยอะ แต่คนเสื้อแดง ก็ทำให้รัฐบาลขณะนั้นได้รับผลกระทบ ก็หมือนกัน
-- โอกาสนี้ จะสื่อสารไปถึงมวลมหาประชาชน กปปส. ที่ร่วมงานกันมากกว่าครึ่งปี อย่างไรบ้าง
ผมขอให้มวลชนทุกคนสบายใจได้ว่า การเข้าร่วมชุมนุมกับ กปปส. มีความปลอดภัยแน่นอน มาถึงขณะนี้ เราเดินทางมาถึง 80 เปอร์เซ็นต์แล้ว หลังจากนี้ ก็จะเข้าสู่เวทีการปฏิรูปตามที่พวกเราต้องการ ในส่วนของบางคนที่ถูกข้อกล่าวหา ขัดขวางการเลือกตั้ง ก็ไม่ต้องกังวลแล้ว เพราะเมื่อการเลือกตั้งเป็นอดีต อัยการก็ไม่สั่งฟ้อง ส่วนข้อหาบุกรุกสถานที่ราชการ เราไม่ได้มีเจตนาพิเศษในการสร้างปัญหาให้เกิดความเดือดร้อนกับข้าราชการ ก็ไม่ต้องกังวลใจ อัยการคงให้ความเป็นธรรมกับเราได้ ส่วนมวลชนเสื้อแดง อยากให้กลับไปทบทวนว่า การที่ระบอบทักษิณ ประกาศจะกระชากค่าครองชีพ ให้กับคนเสื้อแดง หรือคนไทยทั่วไป หรือจะเป็นการดูแลพี่น้องเกษตรกร ชาวนา เขาก็ทำไม่ได้ สิ่งสำคัญที่สุด ขอให้ระมัดระวังวาทกรรมทางการเมือง อำมาตย์และไพร่ เพราะมันคิดวาทกรรมที่หลอกลวงให้ประชาชนคนไทยชิงชังคนในสังคมเดียวกัน แต่คนที่ทำตัวเหนือไพร่ ก็คือระบอบทักษิณ ที่รวยขึ้นทุกวันๆ และนักการเมืองในระบอบนี้ ที่ใช้สิทธิพิเศษนอกเหนือจากสิ่งที่พี่น้องประชาชนคนเสื้อแดงได้รับ เพราะฉะนั้นก่อนที่จะออกมาเคลื่อนไหว ขอให้ถามตัวเองว่า พี่น้องถูกหลอก นี่เป็นเรื่องจริง หรือได้อะไรจากการเคลื่อนไหว และกำลังเป็นเครื่องมือทางการเมืองให้เขาใช้ เพื่ออยู่ในตำแหน่งทางการเมืองได้นานที่สุด