คำว่า “โง่” แปลว่า เขลา, เบาปัญญา, ไม่มีความรู้, เข้าใจอะไรได้ยาก เชื่อง่าย ถูกชักจูงอะไรก็ง่าย ด้วยเหตุนี้จึงตกเป็น “เหยื่อ” ของคนฉลาดแกมโกงเรื่อยมา
ภาวะ “โง่” จน “เจ็บ” จึงหาทางออกด้วยการเป็น “หนี้” เพื่อยกฐานะของตนให้หายจากภาวะดังกล่าว จะได้เป็นคนรวยคนฉลาดเหมือนคนอื่นๆ ในสังคมบ้าง (โดยมีรัฐบาลเกือบทุกสมัยสนับสนุน)
“ความเป็นหนี้ คือความเป็นทุกข์ที่สุดในโลก” พระพุทธเจ้าสอน
“คนไม่เป็นหนี้คือคนโง่ คนเป็นหนี้คือคนฉลาด” คนรุ่นนี้เขาพูดกันโดยไม่สนใจว่า เงินที่ให้กู้นั้นมาจากไหน เงินปัจจุบันไม่มี ก็เอาเงินอนาคตมาให้กู้ จะใช้หนี้อีก 50 ปี 100 ปีก็ไม่สน ลูกหลานจะอยู่อย่างไรก็ไม่เกี่ยว ขอให้ปัจจุบันมีเงินให้กู้ มีเงินใช้ มีความเป็นอยู่หรูหราก็พอแล้ว ชีวิตเป็นของเรา เสพสุขเต็มที่
“ทำอย่างไรได้อย่างนั้น”... “กู้ๆๆ หนี้ๆๆ ทุกข์ๆๆ” จึงกลายเป็นเงาตามตัว ปานเพชฌฆาตคุมเข้าหลักประหาร
ชาวไร่ชาวนาต้องเช่าที่ของตัวเองทำไร่ทำนา บ้านของตัวเองแท้ๆ ต้องเช่าเขาอยู่ รถยนต์คันหรูเพิ่งถอยป้ายแดงไม่ถึงปีถูกยึด หลบหนี้หนีตายเพราะทนความโหดเถื่อนของคนทวงหนี้ไม่ไหว ชาวนาขายข้าวไม่ได้เงิน ได้แต่ใบประทวนจากรัฐบาล ทนไม่ไหวไม่มีอะไรกิน ไม่มีอะไรเลี้ยงครอบครัว และไม่ได้ใช้หนี้ที่เจ้าหนี้ตามทวงทุกวัน ไม่มีทางออก ชาวนาเลยฆ่าตัวตายหลายสิบศพ อเนจอนาถแท้หนอประเทศไทยดินแดนอุดมสมบูรณ์ ภายใต้รัฐบาลยิ่งลักษณ์ กลไกสำคัญของระบอบทักษิณอันหลอกลวง (คนโกหก ไม่ทำบาปทำชั่ว ไม่มี)
เมื่อความโง่เป็นทุกข์ยิ่งเช่นนี้ ไยต้องขอบคุณด้วยเล่า?
เพราะเมื่อเห็นความโง่ ทำให้นายโง่ไง!
ขอบคุณความโง่ ที่โผล่ให้เห็น!!
เป็นธรรมดาที่เราอยู่กับอะไรนานๆ จะไม่ค่อยสนใจสิ่งนั้น จึงไม่เห็นสิ่งนั้น เหมือน “นกไม่เห็นฟ้า ปลาไม่เห็นน้ำ ไส้เดือนไม่เห็นดิน คนไม่มีจะกินหรือคนจนไม่เห็นหนี้” อะไรปานนั้น
ความโง่ อวิชชา ความทุกข์ ฯลฯ แม้จะต่างชื่อต่างนาม ก็เป็นพวกเดียวกัน
อวิชชา หรือความโง่ เป็นต้นเหตุของสังขารธรรมทั้งปวง (อวิชฺชา ปจฺจยา สงฺขารา) แล้วก็ไปจบลงที่ทุกข์ (ปฏิจจสมุปบาท อาการที่มันอาศัยกันแล้วเกิดขึ้น)
อวิชชา คือไม่รู้อริยสัจสี่ ได้แก่ไม่รู้ทุกข์ ไม่รู้เหตุให้เกิดทุกข์ ไม่รู้ความดับทุกข์ ไม่รู้ทางให้ถึงความดับทุกข์
เมื่อรู้อริยสัจสี่แล้ว เราต้องทำหน้าที่ต่ออริยสัจแต่ละอย่างให้ชัดเจน จึงจะได้ชื่อว่า รู้อริยสัจจริงได้แก่...ทุกข์ควรกำหนดรู้ สมุทัยควรละ นิโรธควรทำให้แจ้ง มรรคควรเจริญ
อริยสัจ คือความจริงอันประเสริฐ ที่ทำให้ผู้เข้าถึงกลายเป็นอริยะ พระพุทธเจ้าทรงตรัสรู้จากหลักธรรมนี้ ทำไมพวกเราทั้งหลายทั้งปวง ไม่ตามรอยพระองค์ท่านบ้าง แม้เพียงเล็กน้อยเท่าธุลีดินก็ยังดี เผื่อจะได้หายโง่หายทุกข์ในชาตินี้บ้าง
เท่าที่เห็นและเป็นอยู่ เราจะรู้จะเห็นอะไรก็เพียงผิวเผิน แบบพิธีกรรมพิธีการมากกว่า ก็เลยหนีไม่พ้นเป็นเหยื่อของคนฉลาด แม้งานศพก็ไม่ละเว้น จะทำบุญอะไรบ้างทางวัดจัดให้เสร็จ ตามศรัทธานะโยม (บอกราคาทำบุญแต่ละอย่างเรียบร้อย) ผู้ทำบุญก็คงพอใจอยู่ เพราะเป็นการทำบุญโดยศรัทธา จะได้บุญมากๆ ยิ่งราคามากเท่าไหร่ บุญก็ยิ่งมากเท่านั้น (ลัทธินี้กำลังระบาดทั่วประเทศ)
ศรัทธา คือความเชื่อที่ประกอบด้วยเหตุผล ได้แก่ เชื่อกฎแห่งกรรมมีอยู่จริง เชื่อผลของกรรมมีอยู่จริง เชื่อความที่สัตว์มีกรรมเป็นของตน และเชื่อความตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า
เมื่อผู้คนมีศรัทธาความเชื่อเช่นนี้ จะหายโง่ ไม่ตกเป็นเหยื่อของคนฉลาดแกมโกง ที่หากินในคราบความดีต่างๆ
มีคำพูดอยู่สองประโยค ที่บางคนไม่ชอบฟัง หาว่าไม่สุภาพ แต่จริงใจ ตรงไปตรงมาดี คือ “หาเหาใส่หัว” และ “สมองหมาปัญญาควาย”
หาเหาใส่หัว คืออาการที่เข้าไปยุ่งจนเดือดร้อนถึงตัวเอง หรืออยู่ดีๆ ไม่ชอบ กลับไปหาเรื่องใส่ตัวแท้ๆ
สมองหมาปัญญาควาย เป็นโวหาร หมายถึงโง่ดักดาน โง่อยู่อย่างนั้นมายาวนาน ความคิดก็ตื้นเขิน อย่างน้องหมา มันไม่รู้ถูกรู้ผิดอะไรดอก มันรู้แต่เจ้าของที่ให้อาหารมันกิน มันยอมเป็นขี้ข้าเห่าหอนปกป้องเจ้านายมันตลอดไป อย่างอื่นจะดีเลิศประเสริฐศรีอย่างไร มันไม่สนหรอก
มีหมาอีกประเภทที่น่ารัก น่าเคารพนับถือ คือ “หมาเฝ้าบ้าน” อันเป็นฉายาของนักหนังสือพิมพ์ แต่ทุกวันนี้ บางฉบับก็รักไม่ลง ไหว้ไม่ลง เพราะมันเฝ้าบ้านเฉพาะบ้านที่ให้อามิสมันเท่านั้น บ้านจริงๆ คือสังคมประเทศชาติ มันไม่ทำหน้าที่เลย ทำเป็นทองไม่รู้ร้อน ไม่รู้ไม่เห็นโจรกำลังปล้นชาติ หลายๆ ครั้งยังเข้าข้างโจรเสียอีก หรือบางครั้งก็ทำมาดโก้ กลางๆ กลวงๆ ซะอีก
ส่วนน้องควาย มันก็ดีที่ทำงานให้เราอยู่ง่ายๆ กินเพียงหญ้า มันไม่มีปัญญาอะไรหรอก ถูกเขาสนตะพาย จูงจมูก ถูกบังคับ หรือชักจูงต่างๆ นานาได้ง่าย
โง่เพราะไม่รู้ อย่างน้อยหมาและน้องควายนี่แล จึง “หาเหาใส่หัว” แบบไม่รู้ตัว หรือไม่ก็ “รู้เขาหลอกแต่เต็มใจให้หลอก” พรรค์นั้น
ถ้ารู้เห็นความโง่ชัดๆ แจ้งๆ แล้ว เราก็จะหยุดตามหยุดเป็นความโง่ เพราะรู้โทษภัยของมันแล้ว ในที่สุดเราก็จะเห็นตนเอง
ผู้เห็นตนเอง ก็จะพึ่งตนเองได้ และเป็นที่พึ่งของคนอื่น ของสังคมประเทศชาติได้ด้วย
อยากเห็นตนแบบผ่อนคลายสบายๆ ลองฟังนิทานเรื่องนี้...
มีนิทานโกอานเรื่องหนึ่ง (จากหนังสือโศลกเซนปริศนาธรรม พระเถระซิงเหวิน/เขียน อุษา โลหะจรูญ แปล ภิกษุณีอัมพิกา อัคคชินญาณ บรรณาธิการ สำนักพิมพ์สุขภาพใจ) เล่าว่า...แม่ทัพเว่ย เข้ากราบนมัสการพระเถระเสวียนซา แล้วถามว่า...
“มีภาษิตกล่าวว่า ใช้อยู่ทุกเมื่อเชื่อวันกลับไม่รู้ หมายถึงอะไร”
พระเถระเสวียนซา หยิบถั่วกำมือหนึ่ง ส่งให้แม่ทัพเว่ย แล้วกล่าวว่า
“ท่านแม่ทัพเชิญตามสบาย” แม่ทัพหยิบถั่วส่งเข้าปาก ถามต่ออีกว่า
“แล้วที่ว่า ใช้อยู่ทุกวันยังไม่รู้ จริงๆ แล้วคืออะไร”
ท่านจึงตอบว่า “ก็เหมือนท่าน ที่กำลังตั้งใจกินถั่วอยู่ตอนนี้ไง ใช้อยู่ทุกเมื่อเชื่อวันยังไม่รู้ตัว”
อือ...จิตมนุษย์เนี่ย เราใช้มันอยู่ทุกวัน เราๆ ท่านๆ รู้บ้างหรือเปล่า ชอบใจแม่ทัพเว่ย ที่ไม่รู้อะไร ก็ยอมรับไม่รู้ รู้ตัวเองโง่ ไม่เข้าใจก็ถามต่อ เพื่อหาคำตอบที่ถูกต้องจากท่านผู้รู้
“คนโง่ ไม่เคยรู้สึกตัวว่าตนโง่ คนเหล่านี้คิดว่าตัวเองฉลาด ในขณะที่คนฉลาด คือคนที่มาถึงจุดที่รู้ว่าทุกอย่างเป็นเรื่องโง่” โอโซ ผู้ได้รับการยอมรับว่าเป็นมหาปราชญ์แห่งอินเดีย กล่าวไว้เช่นนั้น
“จิตมโนวิญญาณคือพุทธะประเสริฐสุดทศทิศจักรวาล
ก่อเกิดทุกสภาวะน่าอัศจรรย์สรรพสิ่งไม่ยิ่งเท่าจิตเดิมแท้”
(โศลกบทนี้แต่งโดยอาจารย์เซนบู้ต้าย สมัยราชวงศ์ถัง)
มนุษย์ทุกคนมีจิตวิญญาณเป็นของตัว มนุษย์มักจะให้ความสำคัญกับร่างกายของตนเอง แต่กลับละเลยมโนจิตที่อยู่ในก้นบึ้งของหัวใจตนเอง ไม่มีการบำรุงหล่อเลี้ยงจิตปล่อยให้จิตไปสร้างกรรมสร้างเวรตามอำเภอใจ ท่านจึงเปรียบจิตเหมือนโจรเหมือนลิงเหมือนค่าง จิตเป็นลิง ใจเป็นม้า
จิตยังเหมือนพระราชา สามารถบัญชาสั่งการได้ เหมือนกรุสมบัติที่สามารถบรรจุทรัพย์อันมีค่าได้ ความจริงจิตก็คือจิตเดิมแท้ จิตเดิมแท้เหมือนความว่าง คือกายเดิมของเรา ปรากฏการณ์ทุกอย่างออกมาจากจิต เกิดจากใจ ไตรภูมิอยู่ที่จิต สรรพธรรมอยู่ที่จิต
พระพุทธองค์ตรัสว่า จิตทั้งหมดทั้งปวง ก่อเกิดสรรพธรรมได้ ถ้าไม่มีจิตแล้วไซร้ จะมีสรรพธรรมเพื่ออันใด
จิตของเราสูงสุดถึงบรรลุพุทธะได้ ต่ำสุดลงไปถึงนรกภูมิ เปรต เดรัจฉานได้ สิ่งสำคัญที่สุดคือ อย่าปล่อยให้จิตเวียนว่ายอยู่ในวัฏสงสาร ต้องให้มันกลับสู่บ้านเกิดของตัวเอง ต้องรู้แจ้งจิตเดิมแท้ของตัวเอง
จิตมโนวิญญาณคือพุทธะ ประเสริฐสุดทศทิศจักรวาล ไม่มีสิ่งใดทั้งสิบทิศในจักรวาลจะวิเศษเกินกว่าจิต ทุกคนมีจิต เป็นสิ่งล้ำค่าประเสริฐสุดในจักรวาล ถ้าไม่รู้จักดูแลใช้สอยให้ดี จะเป็นที่น่าเสียดาย
ก่อเกิดทุกสภาวะน่าอัศจรรย์ สรรพสิ่งไม่ยิ่งเท่าจิตเดิมแท้ ในโลกนี้ไม่ว่าจะเป็นภรรยา บุตร ธิดา ไร่นา บ้านเรือน ทรัพย์สมบัติทั้งปวง ตลอดถึงชื่อเสียงเกียรติยศ ทั้งหมดไม่ใช่ของตนเอง ที่เป็นของตนเองจริงๆ คือ จิตดวงนี้เท่านั้น
ชีวิตเมื่อเดินถึงวาระสุดท้าย อะไรก็เอาไปไม่ได้ นอกจากกรรมที่ติดตัวไป ผู้สร้างกุศล (อโลภะ อโทสะ อโมหะ) ก็รับผลบุญไป ใครที่ไม่ได้สร้างกุศลกลับไปสร้างอกุศล (โลภะ โทสะ โมหะ) ก็รับทุกข์ไป
จิตเป็นผู้ตัดสินแทนเรา จิตซื่อสัตย์จริงแท้ที่สุด จิตซื่อสัตย์จริงแท้ที่สุด
โอ...พสุธานภากาศ สติปัญญาเป็นแสงสว่างไม่มีที่สิ้นสุด
ขอบคุณความโง่ เพราะฉันเห็นเธอ ฉันจึงหายโง่
ขอบคุณความทุกข์ เพราะฉันเห็นเธอ ฉันจึงหายทุกข์
ขอบคุณความมืด เพราะฉันเห็นเธอ ฉันจึงหายมืด
ฯลฯ
คนฉลาดรู้จักใช้กิเลส ในขณะที่คนโง่ถูกกิเลสใช้
“ขอบคุณความโง่
ที่โผล่ให้เห็น
หยุดตามหยุดเป็น
จึ่งเห็นตนเอง”
(กวีสี่แถว โดย สามัญ สันติ)
มนุษย์เนี่ยแปลก รู้อะไรก็รู้ไปหมด ยกเว้นรู้ตนเอง ทั้งที่เขาคือ “โพธิจิต” ติดสอยห้อยตามไปทุกหนทุกแห่ง บางครั้งผู้รู้ ก็ใช่ว่าจะรู้แจ้ง นับประสาอะไรกับคนธรรมดาอย่างเราๆ ท่านๆ ที่เมากระแสโลกกระแสวัตถุไม่รู้สร่างซา
คนสามัญธรรมดาเช่นเราๆ ท่านๆ ที่มีกิเลสเป็นภักษาหาร มากบ้างน้อยบ้างแตกต่างกันไป มีอยู่สองจุดเท่านั้นที่จะเลือกยืน คือ ประชาชนคนดี กับประชาชนคนชั่ว ไม่มีประชาชนคนกลางๆ
ความเป็นกลางถ้าอยากให้มี ก็มีอยู่ คือกลางเทียม ไม่ดีไม่ชั่ว แต่รอตีกิน หรือรอเสียบกับผู้ชนะเท่านั้นหรือเปล่า กลางแบบนี้น่าละอาย ไม่มีหิริโอตตัปปะ ไม่มีธรรมคุ้มครองโลก ไม่อายชั่วกลัวบาป
กลางอีกอย่างเป็นกลางแท้ คือ มัชฌิมาปฏิปทา แปลว่า “ทางสายกลาง” หรือมรรคมีองค์แปด อันเป็นทางหรือข้อปฏิบัติไปสู่ความพ้นทุกข์เป็นอิสระ ดับทุกข์ดับกิเลสได้เด็ดขาดสิ้นเชิง
ผู้ที่ชอบอ้างความเป็นกลางทั้งหลาย (ไม่กล้าฟันธงว่าจะอยู่ข้างถูกหรือข้างผิด) คงหมายถึงความเป็นกลางแท้-แน่นะ? ถ้าเช่นนั้นขออนุโมทนาสาธุๆๆ ด้วยเจ้าข้า
ภาวะ “โง่” จน “เจ็บ” จึงหาทางออกด้วยการเป็น “หนี้” เพื่อยกฐานะของตนให้หายจากภาวะดังกล่าว จะได้เป็นคนรวยคนฉลาดเหมือนคนอื่นๆ ในสังคมบ้าง (โดยมีรัฐบาลเกือบทุกสมัยสนับสนุน)
“ความเป็นหนี้ คือความเป็นทุกข์ที่สุดในโลก” พระพุทธเจ้าสอน
“คนไม่เป็นหนี้คือคนโง่ คนเป็นหนี้คือคนฉลาด” คนรุ่นนี้เขาพูดกันโดยไม่สนใจว่า เงินที่ให้กู้นั้นมาจากไหน เงินปัจจุบันไม่มี ก็เอาเงินอนาคตมาให้กู้ จะใช้หนี้อีก 50 ปี 100 ปีก็ไม่สน ลูกหลานจะอยู่อย่างไรก็ไม่เกี่ยว ขอให้ปัจจุบันมีเงินให้กู้ มีเงินใช้ มีความเป็นอยู่หรูหราก็พอแล้ว ชีวิตเป็นของเรา เสพสุขเต็มที่
“ทำอย่างไรได้อย่างนั้น”... “กู้ๆๆ หนี้ๆๆ ทุกข์ๆๆ” จึงกลายเป็นเงาตามตัว ปานเพชฌฆาตคุมเข้าหลักประหาร
ชาวไร่ชาวนาต้องเช่าที่ของตัวเองทำไร่ทำนา บ้านของตัวเองแท้ๆ ต้องเช่าเขาอยู่ รถยนต์คันหรูเพิ่งถอยป้ายแดงไม่ถึงปีถูกยึด หลบหนี้หนีตายเพราะทนความโหดเถื่อนของคนทวงหนี้ไม่ไหว ชาวนาขายข้าวไม่ได้เงิน ได้แต่ใบประทวนจากรัฐบาล ทนไม่ไหวไม่มีอะไรกิน ไม่มีอะไรเลี้ยงครอบครัว และไม่ได้ใช้หนี้ที่เจ้าหนี้ตามทวงทุกวัน ไม่มีทางออก ชาวนาเลยฆ่าตัวตายหลายสิบศพ อเนจอนาถแท้หนอประเทศไทยดินแดนอุดมสมบูรณ์ ภายใต้รัฐบาลยิ่งลักษณ์ กลไกสำคัญของระบอบทักษิณอันหลอกลวง (คนโกหก ไม่ทำบาปทำชั่ว ไม่มี)
เมื่อความโง่เป็นทุกข์ยิ่งเช่นนี้ ไยต้องขอบคุณด้วยเล่า?
เพราะเมื่อเห็นความโง่ ทำให้นายโง่ไง!
ขอบคุณความโง่ ที่โผล่ให้เห็น!!
เป็นธรรมดาที่เราอยู่กับอะไรนานๆ จะไม่ค่อยสนใจสิ่งนั้น จึงไม่เห็นสิ่งนั้น เหมือน “นกไม่เห็นฟ้า ปลาไม่เห็นน้ำ ไส้เดือนไม่เห็นดิน คนไม่มีจะกินหรือคนจนไม่เห็นหนี้” อะไรปานนั้น
ความโง่ อวิชชา ความทุกข์ ฯลฯ แม้จะต่างชื่อต่างนาม ก็เป็นพวกเดียวกัน
อวิชชา หรือความโง่ เป็นต้นเหตุของสังขารธรรมทั้งปวง (อวิชฺชา ปจฺจยา สงฺขารา) แล้วก็ไปจบลงที่ทุกข์ (ปฏิจจสมุปบาท อาการที่มันอาศัยกันแล้วเกิดขึ้น)
อวิชชา คือไม่รู้อริยสัจสี่ ได้แก่ไม่รู้ทุกข์ ไม่รู้เหตุให้เกิดทุกข์ ไม่รู้ความดับทุกข์ ไม่รู้ทางให้ถึงความดับทุกข์
เมื่อรู้อริยสัจสี่แล้ว เราต้องทำหน้าที่ต่ออริยสัจแต่ละอย่างให้ชัดเจน จึงจะได้ชื่อว่า รู้อริยสัจจริงได้แก่...ทุกข์ควรกำหนดรู้ สมุทัยควรละ นิโรธควรทำให้แจ้ง มรรคควรเจริญ
อริยสัจ คือความจริงอันประเสริฐ ที่ทำให้ผู้เข้าถึงกลายเป็นอริยะ พระพุทธเจ้าทรงตรัสรู้จากหลักธรรมนี้ ทำไมพวกเราทั้งหลายทั้งปวง ไม่ตามรอยพระองค์ท่านบ้าง แม้เพียงเล็กน้อยเท่าธุลีดินก็ยังดี เผื่อจะได้หายโง่หายทุกข์ในชาตินี้บ้าง
เท่าที่เห็นและเป็นอยู่ เราจะรู้จะเห็นอะไรก็เพียงผิวเผิน แบบพิธีกรรมพิธีการมากกว่า ก็เลยหนีไม่พ้นเป็นเหยื่อของคนฉลาด แม้งานศพก็ไม่ละเว้น จะทำบุญอะไรบ้างทางวัดจัดให้เสร็จ ตามศรัทธานะโยม (บอกราคาทำบุญแต่ละอย่างเรียบร้อย) ผู้ทำบุญก็คงพอใจอยู่ เพราะเป็นการทำบุญโดยศรัทธา จะได้บุญมากๆ ยิ่งราคามากเท่าไหร่ บุญก็ยิ่งมากเท่านั้น (ลัทธินี้กำลังระบาดทั่วประเทศ)
ศรัทธา คือความเชื่อที่ประกอบด้วยเหตุผล ได้แก่ เชื่อกฎแห่งกรรมมีอยู่จริง เชื่อผลของกรรมมีอยู่จริง เชื่อความที่สัตว์มีกรรมเป็นของตน และเชื่อความตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า
เมื่อผู้คนมีศรัทธาความเชื่อเช่นนี้ จะหายโง่ ไม่ตกเป็นเหยื่อของคนฉลาดแกมโกง ที่หากินในคราบความดีต่างๆ
มีคำพูดอยู่สองประโยค ที่บางคนไม่ชอบฟัง หาว่าไม่สุภาพ แต่จริงใจ ตรงไปตรงมาดี คือ “หาเหาใส่หัว” และ “สมองหมาปัญญาควาย”
หาเหาใส่หัว คืออาการที่เข้าไปยุ่งจนเดือดร้อนถึงตัวเอง หรืออยู่ดีๆ ไม่ชอบ กลับไปหาเรื่องใส่ตัวแท้ๆ
สมองหมาปัญญาควาย เป็นโวหาร หมายถึงโง่ดักดาน โง่อยู่อย่างนั้นมายาวนาน ความคิดก็ตื้นเขิน อย่างน้องหมา มันไม่รู้ถูกรู้ผิดอะไรดอก มันรู้แต่เจ้าของที่ให้อาหารมันกิน มันยอมเป็นขี้ข้าเห่าหอนปกป้องเจ้านายมันตลอดไป อย่างอื่นจะดีเลิศประเสริฐศรีอย่างไร มันไม่สนหรอก
มีหมาอีกประเภทที่น่ารัก น่าเคารพนับถือ คือ “หมาเฝ้าบ้าน” อันเป็นฉายาของนักหนังสือพิมพ์ แต่ทุกวันนี้ บางฉบับก็รักไม่ลง ไหว้ไม่ลง เพราะมันเฝ้าบ้านเฉพาะบ้านที่ให้อามิสมันเท่านั้น บ้านจริงๆ คือสังคมประเทศชาติ มันไม่ทำหน้าที่เลย ทำเป็นทองไม่รู้ร้อน ไม่รู้ไม่เห็นโจรกำลังปล้นชาติ หลายๆ ครั้งยังเข้าข้างโจรเสียอีก หรือบางครั้งก็ทำมาดโก้ กลางๆ กลวงๆ ซะอีก
ส่วนน้องควาย มันก็ดีที่ทำงานให้เราอยู่ง่ายๆ กินเพียงหญ้า มันไม่มีปัญญาอะไรหรอก ถูกเขาสนตะพาย จูงจมูก ถูกบังคับ หรือชักจูงต่างๆ นานาได้ง่าย
โง่เพราะไม่รู้ อย่างน้อยหมาและน้องควายนี่แล จึง “หาเหาใส่หัว” แบบไม่รู้ตัว หรือไม่ก็ “รู้เขาหลอกแต่เต็มใจให้หลอก” พรรค์นั้น
ถ้ารู้เห็นความโง่ชัดๆ แจ้งๆ แล้ว เราก็จะหยุดตามหยุดเป็นความโง่ เพราะรู้โทษภัยของมันแล้ว ในที่สุดเราก็จะเห็นตนเอง
ผู้เห็นตนเอง ก็จะพึ่งตนเองได้ และเป็นที่พึ่งของคนอื่น ของสังคมประเทศชาติได้ด้วย
อยากเห็นตนแบบผ่อนคลายสบายๆ ลองฟังนิทานเรื่องนี้...
มีนิทานโกอานเรื่องหนึ่ง (จากหนังสือโศลกเซนปริศนาธรรม พระเถระซิงเหวิน/เขียน อุษา โลหะจรูญ แปล ภิกษุณีอัมพิกา อัคคชินญาณ บรรณาธิการ สำนักพิมพ์สุขภาพใจ) เล่าว่า...แม่ทัพเว่ย เข้ากราบนมัสการพระเถระเสวียนซา แล้วถามว่า...
“มีภาษิตกล่าวว่า ใช้อยู่ทุกเมื่อเชื่อวันกลับไม่รู้ หมายถึงอะไร”
พระเถระเสวียนซา หยิบถั่วกำมือหนึ่ง ส่งให้แม่ทัพเว่ย แล้วกล่าวว่า
“ท่านแม่ทัพเชิญตามสบาย” แม่ทัพหยิบถั่วส่งเข้าปาก ถามต่ออีกว่า
“แล้วที่ว่า ใช้อยู่ทุกวันยังไม่รู้ จริงๆ แล้วคืออะไร”
ท่านจึงตอบว่า “ก็เหมือนท่าน ที่กำลังตั้งใจกินถั่วอยู่ตอนนี้ไง ใช้อยู่ทุกเมื่อเชื่อวันยังไม่รู้ตัว”
อือ...จิตมนุษย์เนี่ย เราใช้มันอยู่ทุกวัน เราๆ ท่านๆ รู้บ้างหรือเปล่า ชอบใจแม่ทัพเว่ย ที่ไม่รู้อะไร ก็ยอมรับไม่รู้ รู้ตัวเองโง่ ไม่เข้าใจก็ถามต่อ เพื่อหาคำตอบที่ถูกต้องจากท่านผู้รู้
“คนโง่ ไม่เคยรู้สึกตัวว่าตนโง่ คนเหล่านี้คิดว่าตัวเองฉลาด ในขณะที่คนฉลาด คือคนที่มาถึงจุดที่รู้ว่าทุกอย่างเป็นเรื่องโง่” โอโซ ผู้ได้รับการยอมรับว่าเป็นมหาปราชญ์แห่งอินเดีย กล่าวไว้เช่นนั้น
“จิตมโนวิญญาณคือพุทธะประเสริฐสุดทศทิศจักรวาล
ก่อเกิดทุกสภาวะน่าอัศจรรย์สรรพสิ่งไม่ยิ่งเท่าจิตเดิมแท้”
(โศลกบทนี้แต่งโดยอาจารย์เซนบู้ต้าย สมัยราชวงศ์ถัง)
มนุษย์ทุกคนมีจิตวิญญาณเป็นของตัว มนุษย์มักจะให้ความสำคัญกับร่างกายของตนเอง แต่กลับละเลยมโนจิตที่อยู่ในก้นบึ้งของหัวใจตนเอง ไม่มีการบำรุงหล่อเลี้ยงจิตปล่อยให้จิตไปสร้างกรรมสร้างเวรตามอำเภอใจ ท่านจึงเปรียบจิตเหมือนโจรเหมือนลิงเหมือนค่าง จิตเป็นลิง ใจเป็นม้า
จิตยังเหมือนพระราชา สามารถบัญชาสั่งการได้ เหมือนกรุสมบัติที่สามารถบรรจุทรัพย์อันมีค่าได้ ความจริงจิตก็คือจิตเดิมแท้ จิตเดิมแท้เหมือนความว่าง คือกายเดิมของเรา ปรากฏการณ์ทุกอย่างออกมาจากจิต เกิดจากใจ ไตรภูมิอยู่ที่จิต สรรพธรรมอยู่ที่จิต
พระพุทธองค์ตรัสว่า จิตทั้งหมดทั้งปวง ก่อเกิดสรรพธรรมได้ ถ้าไม่มีจิตแล้วไซร้ จะมีสรรพธรรมเพื่ออันใด
จิตของเราสูงสุดถึงบรรลุพุทธะได้ ต่ำสุดลงไปถึงนรกภูมิ เปรต เดรัจฉานได้ สิ่งสำคัญที่สุดคือ อย่าปล่อยให้จิตเวียนว่ายอยู่ในวัฏสงสาร ต้องให้มันกลับสู่บ้านเกิดของตัวเอง ต้องรู้แจ้งจิตเดิมแท้ของตัวเอง
จิตมโนวิญญาณคือพุทธะ ประเสริฐสุดทศทิศจักรวาล ไม่มีสิ่งใดทั้งสิบทิศในจักรวาลจะวิเศษเกินกว่าจิต ทุกคนมีจิต เป็นสิ่งล้ำค่าประเสริฐสุดในจักรวาล ถ้าไม่รู้จักดูแลใช้สอยให้ดี จะเป็นที่น่าเสียดาย
ก่อเกิดทุกสภาวะน่าอัศจรรย์ สรรพสิ่งไม่ยิ่งเท่าจิตเดิมแท้ ในโลกนี้ไม่ว่าจะเป็นภรรยา บุตร ธิดา ไร่นา บ้านเรือน ทรัพย์สมบัติทั้งปวง ตลอดถึงชื่อเสียงเกียรติยศ ทั้งหมดไม่ใช่ของตนเอง ที่เป็นของตนเองจริงๆ คือ จิตดวงนี้เท่านั้น
ชีวิตเมื่อเดินถึงวาระสุดท้าย อะไรก็เอาไปไม่ได้ นอกจากกรรมที่ติดตัวไป ผู้สร้างกุศล (อโลภะ อโทสะ อโมหะ) ก็รับผลบุญไป ใครที่ไม่ได้สร้างกุศลกลับไปสร้างอกุศล (โลภะ โทสะ โมหะ) ก็รับทุกข์ไป
จิตเป็นผู้ตัดสินแทนเรา จิตซื่อสัตย์จริงแท้ที่สุด จิตซื่อสัตย์จริงแท้ที่สุด
โอ...พสุธานภากาศ สติปัญญาเป็นแสงสว่างไม่มีที่สิ้นสุด
ขอบคุณความโง่ เพราะฉันเห็นเธอ ฉันจึงหายโง่
ขอบคุณความทุกข์ เพราะฉันเห็นเธอ ฉันจึงหายทุกข์
ขอบคุณความมืด เพราะฉันเห็นเธอ ฉันจึงหายมืด
ฯลฯ
คนฉลาดรู้จักใช้กิเลส ในขณะที่คนโง่ถูกกิเลสใช้
“ขอบคุณความโง่
ที่โผล่ให้เห็น
หยุดตามหยุดเป็น
จึ่งเห็นตนเอง”
(กวีสี่แถว โดย สามัญ สันติ)
มนุษย์เนี่ยแปลก รู้อะไรก็รู้ไปหมด ยกเว้นรู้ตนเอง ทั้งที่เขาคือ “โพธิจิต” ติดสอยห้อยตามไปทุกหนทุกแห่ง บางครั้งผู้รู้ ก็ใช่ว่าจะรู้แจ้ง นับประสาอะไรกับคนธรรมดาอย่างเราๆ ท่านๆ ที่เมากระแสโลกกระแสวัตถุไม่รู้สร่างซา
คนสามัญธรรมดาเช่นเราๆ ท่านๆ ที่มีกิเลสเป็นภักษาหาร มากบ้างน้อยบ้างแตกต่างกันไป มีอยู่สองจุดเท่านั้นที่จะเลือกยืน คือ ประชาชนคนดี กับประชาชนคนชั่ว ไม่มีประชาชนคนกลางๆ
ความเป็นกลางถ้าอยากให้มี ก็มีอยู่ คือกลางเทียม ไม่ดีไม่ชั่ว แต่รอตีกิน หรือรอเสียบกับผู้ชนะเท่านั้นหรือเปล่า กลางแบบนี้น่าละอาย ไม่มีหิริโอตตัปปะ ไม่มีธรรมคุ้มครองโลก ไม่อายชั่วกลัวบาป
กลางอีกอย่างเป็นกลางแท้ คือ มัชฌิมาปฏิปทา แปลว่า “ทางสายกลาง” หรือมรรคมีองค์แปด อันเป็นทางหรือข้อปฏิบัติไปสู่ความพ้นทุกข์เป็นอิสระ ดับทุกข์ดับกิเลสได้เด็ดขาดสิ้นเชิง
ผู้ที่ชอบอ้างความเป็นกลางทั้งหลาย (ไม่กล้าฟันธงว่าจะอยู่ข้างถูกหรือข้างผิด) คงหมายถึงความเป็นกลางแท้-แน่นะ? ถ้าเช่นนั้นขออนุโมทนาสาธุๆๆ ด้วยเจ้าข้า