xs
xsm
sm
md
lg

ผู้จัดการสุดสัปดาห์

x

ไร้เงา “เศรษฐา” หุ้นใหญ่แสนสิริ หรือรับรู้สัญญาณการเมือง

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


ASTVผู้จัดการสุดสัปดาห์ -เศรษฐา ทวีสิน หรือ เสี่ยนิด บิ๊กบอสแห่ง บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) หรือ SIRI ถือเป็นหนึ่งในบรรดานักธุรกิจของฟากธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ที่มีความใกล้ชิดและสนิทสนมกับพรรคเพื่อไทย ทั้งกับ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ที่ปัจจุบันยังคงบริหารประเทศภายใต้ “รักษาการนายกรัฐมนตรี” รวมถึงมีสายสัมพันธ์ที่เป็นเพื่อนสนิทกับ นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รักษาการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง

และแน่นอน เหตุการณ์ที่สะท้อนให้เห็นถึงความ “แนบแน่น” คงจะหนีไม่พ้นเรื่องที่เป็นข่าวครึกโครมเมื่อช่วง 2 ปีที่ผ่านมากับเหตุการณ์ “ว.5โฟร์ซีซั่น” ที่ชั้น 7 ในวันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2555

ล่าสุด เสี่ยนิดก็ถูกจุดประเด็นให้ดังขึ้นมาอีกครั้ง เมื่อไม่ปรากฏรายชื่อผู้ถือหุ้นใหญ่ในบริษัทแสนสิริที่มีสินทรัพย์ ณ วันที่ 31 ธ.ค. 56 ที่แจ้งในตลาดหลักทรัพย์รวมกว่าครึ่งแสนล้านบาท และมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาดก็ไม่น้อยถึง 15,157.58 ล้านบาท

คำถามที่เกิดขึ้นมีอยู่ว่า เพราะอะไร “เศรษฐา ทวีสิน” จึงปล่อยหุ้น SIRI ออกมา!

ทั้งนี้ ตามข้อมูลที่ รายชื่อกลุ่มผู้ถือหุ้นรายใหญ่ 5 อันดับแรก ณ วันที่ 14 มกราคม 2557 ซึ่งเป็นวันปิดสมุดทะเบียนพักการโอนหุ้นครั้งล่าสุด อันดับ 1 บริษัท วิริยะประกันภัย จำกัด (มหาชน) 6.58 % บริษัท ไทยเอ็นวีดีอาร์ จำกัด 5.24 % บริษัท ฟินันซ่าประกันชีวิต จำกัด 2.60 % CHASE NOMINEES LIMITED 47 ถือ 2.32 % และ นายวันจักร บุรณศิริ 2.27 % ซึ่งหากไล่ดูรายชื่อตั้งแต่อันดับ 1 ไปจนถึงอันดับที่ 29 ไม่มีรายชื่อนายเศรษฐา ทวีสิน ถือหุ้น ยกเว้นเพียงบริษัท ที.เอส. สตาร์ จำกัด มีหุ้นในแสนสิริ จำนวน 130 ล้านหุ้น สัดส่วน 1.36 %จากปี 55 มีครองหุ้นในแสนสิริ 19.27 % ทั้งนี้ เป็นที่รับรู้กันว่า บริษัทนอมินีแห่งนี้ ที่ถูกก่อตั้งขึ้นโดยนายเศรษฐา ทวีสิน

ขณะที่ผู้ถือหุ้นรายใหญ่ที่ปรากฏชื่อเข้ามาอยู่ในแสนสิริฯและถือว่า เป็นนักธุรกิจที่อยู่ในวงการอสังหาริมทรัพย์มานาน คือนายคีรี กาญจนพาสน์ ที่ถือหุ้นอยู่ 92 ล้านหุ้น คิดเป็น 0.96 % หากจะว่าไปแล้ว นายคีรี เป็นหนึ่งในเจ้าสัวของเมืองไทย ที่ทำธุรกิจทั้งอสังหาริมทรัพย์และมีโครงการขนาดใหญ่โครงข่ายระบบรถไฟฟ้าบีทีเอส ที่สามารถต่อยอดและหนุนการพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ได้

“การที่ไม่ปรากฏชื่อการเป็นผู้ถือครองหุ้นแสนสิริล่าสุด เพราะได้ถือลงทุนในรูปแบบอื่น และยืนยันไม่ได้ขายหุ้นทิ้งโดยยังถืออยู่” นายเศรษฐาได้กล่าวผ่านสื่อแห่งหนึ่งต่อการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างผู้ถือหุ้น ซึ่งขณะที่ให้สัมภาษณ์ นายเศรษฐาอยู่ระหว่างเดินทางในประเทศอังกฤษ ดังนั้น จึงไม่สะดวกที่จะให้ข้อมูลเพิ่มเติมมากกว่านี้

ถึงกระนั้น ก็มีกระแสข่าวอีกฟากหนึ่งว่า ฝ่ายความมั่นคงกำลังจับตามองนายเศรษฐาเป็นพิเศษ โดยมีการตรวจสอบและขึ้นบัญชีรายชื่อนักธุรกิจที่มีความเกี่ยวโยงกับรัฐบาล และอาจจะเป็นเพราะนักธุรกิจรายนี้ รับรู้ข้อมูลเชิงลึก จึงอาจจะทยอยขายหุ้นทิ้ง เพื่อป้องกันปัญหา

และใช่ว่า เหตุการณ์ผ่องถ่ายหุ้นในแสนสิริจะพึ่งเกิดขึ้น หากแต่มีปรากฏให้เห็นเป็นระยะ โดยในวันที่ 26 กรกฎาคม ปี 2556 ได้มี การขายหุ้นให้แก่ นายณภัทร ทวีสิน บุตรชาย โดยเป็นเพียงการโอนหุ้นที่ถืออยู่ให้แก่บุตร และยังขายหุ้นให้แก่นายวรรัตม์ ทวีสิน บุตรที่บรรลุนิติภาวะ เป็นการโอนหุ้นให้โดยเสน่หา ไม่มีค่าตอบแทน

อย่างไรก็ตาม ปฏิกิริยา ของนักวิเคราะห์หลายสำนัก ต่างมองว่า หนึ่งในผู้ถือหุ้นใหญ่ลดสัดส่วนการถือครองหุ้น ก็อาจจะมีนัยสำคัญต่อทิศทางการบริหารธุรกิจ โดยจะเห็นได้ว่า ในหลายปีที่ผ่านมา แสนสิริ ได้ทุ่มงบจำนวนมากในการทำการตลาดและประชาสัมพันธ์อย่างต่อเนื่อง จนสามารถสร้างชื่อและผลักดันให้แบรนด์ของแสนสิริเป็นที่ยอมรับและรับรู้ในผู้บริโภคและนักลงทุนต่างประเทศได้ดี และนั้นก็เป็นเป้าหมายที่ เศรษฐา ระบุไว้ว่า วันนี้ แบรนด์ SIRI ถือเป็นอันดับ 1 ในแง่ของคุณภาพ และภายใน 2-3 ปีข้างหน้า มีโอกาสเลื่อนขึ้นแท่นอันดับ 1 ในแง่ของยอดขายและกำไร

และดูเหมือนว่า ความพยายามของเศรษฐา จะเป็นไปได้ และสอดรับไปกับการทำราคาหุ้นให้ขยับขึ้นมาสูง แต่การแรงสร้างยอดขายที่มากๆ ขึ้นต่อเนื่อง ในสถานการณ์ที่เศรษฐกิจของไทยช่วงที่ผ่านมาและต่อเนื่องถึงปัจจุบันที่ชะลอตัว กำลังสร้างผลกระทบต่อโครงการของแสนสิริมิใช่น้อย

นายอุทัย อุทัยแสงสุข รองกรรมการผู้จัดการอาวุโส แสนสิริ ออกมายอมรับล่าสุด เตรียมทบทวนแผนและเป้าหมายในปีนี้ จากที่วางไว้ 30,000 ล้านบาท ครึ่งปีแรกประเมินจะทำได้เพียง 10,000 ล้านบาท และอาจจะปรับแผนเปิดโครงการใหม่จากที่วางไว้ 19 โครงการ มูลค่า 20,000 ล้านบาทลง

โดยผู้บริหารดังกล่าวชี้ สัญญาณอันตรายว่า ช่วงไตรมาส 1/57 ที่ผ่านมา มีลูกค้าที่โอนบ้านและคอนโดฯไม่ได้ ปรับตัวเพิ่มสูงขึ้นเป็นมากกว่า 10% จากระดับปกติอยู่ที่ 5-10% โดยส่วนใหญ่เป็นโครงการคอนโดฯที่ระดับราคา 1-3 ล้านบาท เนื่องจากกลุ่มลูกค้าส่วนใหญ่ไม่ผ่านการขอสินเชื่อจากธนาคารพาณิชย์ จากผลกระทบทางด้านการเมืองและเศรษฐกิจที่ส่งผลต่อกลุ่มลูกค้าที่มีรายได้ไม่แน่นอน และอีกส่วนหนึ่งมาจากการชะลอโอนของลูกค้า ซึ่งมีไม่มาก

“กลุ่มลูกค้าในตลาดคอนโดฯราคา 1-3 ล้านบาท มีการกู้ไม่ผ่านค่อนข้างเยอะ โดยเฉพาะในส่วนที่มีรายได้ไม่แน่นอน เพราะแบงก์ค่อนข้างเข้มงวดจากปัญหาทางการเมืองและสภาพเศรษฐกิจในปัจจุบัน”

ทิศทางเชิงลบดังกล่าว ก็ไปเป็นตามที่โบรกเกอร์คาดการณ์ไว้ และหากการโอนที่ไม่เข้าเป้า อาจจะมีผลกระทบไปถึงรายได้ และกระทบกระเทือนถึงกระแสเงินสดในบริษัท โดยสิ่งที่แสนสิริทำได้ในช่วงนี้ คือ การขายอาคารสิริภิญโญ มูลค่าการขาย 1,700 ล้านบาท เข้ากองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ โดยจะมีการบันทึกกำไรจากการขายสินทรัพย์ 500-600 ล้านบาท พอจะบริหารองค์กรได้ และเป็นการผ่อนคลายภาระทางการเงินที่ค่อนข้างหนักของแสนสิริให้เบาลง เนื่องจาก หนี้สินต่อทุน (D/E) สูงเป็น 1.9 เท่า ณ ปลายปี 56

...และนี่อาจะเป็นสัญญาณที่คนใกล้ชิดรัฐบาล “เศรษฐา ทวีสิน ” อาจจะพอล่วงรู้ถึงอนาคตของตนเองและธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ แบรนด์ “แสนสิริ”


เศรษฐา ทวีสิน
กำลังโหลดความคิดเห็น