แสนสิริฯ ปรับนโยบายพัฒนาโครงการแนวสูง เน้นยื่นขอ EIA ก่อนสร้าง-เปิดขาย หลังประสบปัญหาการส่งมอบล่าช้า กระทบการรับรู้รายได้พลาดเป้า แจงปี56เป้ารับรู้รายได้ 17,500ล้านบาท รับรู้รายได้เพียง15,500 ล้านเหตุงานก่อสร้างล่าช้าส่งมอบไม่ทันกว่า2,000ล้านบาท เผยแผนปี57ผุดคอนโด9โครงการใหม่มูลค่า17,600ล้านบาท วางเป้าขาย16,000ล้าน รับรู้รายได้18,000 ล้านบาท จากแบล็คล็อคในมือกว่า58,000ล้านบาท
นายอุทัย อุทัยแสงสุข รองกรรมการผู้จัดการอาวุโส สายงานพัฒนาธุรกิจ และพัฒนาคอนโดมิเนียม บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่าในปี2556ที่ผ่านมาบริษัทต้องประสบปัญหางานก่อสร้างและการส่งมอบห้องชุดที่ล่าช้า ส่งผลกระทบต่อเป้าการรับรู้รายได้ของแสนสิริ โดยในปีที่แล้วบริษัทตั้งเป้าว่าจะมียอดโอนห้องชุดทั้งปีรวม 17,500 ล้านบาท แต่เกิดปัญหาความล่าช้าจากขั้นตอนการก่อสร้างทำให้ในปีที่ผ่านมาบริษัทมีรายได้รับรู้อย่ที่ 15,500ล้านบาท ซึ่งเป็นผลมาจากการเริ่มงานก่อสร้างโครงการที่ล่าช้าเพราะต้องรอผลการอนุมัติการจัดทำรายงานผลกระทบสิ่งแวดล้อม หรือ EIA
ดังนั้น ในปี2557 นี้ บริษัทจึงมีนโยบายการพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียมโครงการใหม่ ในทุกโครงการที่จะต้องผ่าน EIA แล้วจึงดำเนินการก่อสร้างและเปิดขาย เพื่อแก้ปัญหางานก่อสร้างและการส่งมอบโครงการที่ล่าช้า โดยในปี2557นี้บริษัทมีแผนจะเปิดตังวโครงการคอนโดโครงการใหม่รวม 9 โครงการ มูลค่ารวม 17,600 ล้านบาท และตั้งเป้าว่าจะมียอดขายรวมที่ 16,000ล้านบาท โดยโครงการที่เปิดใหม่แบ่งเป็นโครงการที่เปิดตัวในพื้นที่ กทม. 4 โครงการ และในต่างจังหวัด 5โครงการ โดยจะเปิดตัวในช่วงไตรมาสแรก1โครงการไตรมาสที่ 2 จำนวน3โครงการ ไตรมาสที่3 จำนวน4โครงการและไตรมาสสุดท้าย 1โครงการ โดยขณะนี้บริษัทมีที่ดินรอบรับการพัฒนาโครงการใหม่แล้ว8แปลงเหลืออีกเพียง1แปลงที่อยู่ระหว่างการจัดซื้อ
“จากนโยบายการยื่นขอEIA ก่อนการเปิดขายโครงการในปีนี้ ทำให้ในช่วงไตรมาสแรกมีจำนวนการเปิดตัวโครงการใหม่ของบรัทมีจำนวนน้อย และจะทยอยไปเพิ่มมากขึ้นในช่วงครึ่ปีหลัง”
ทั้งนี้ ในปี2556 ที่ผ่านมาบริษัทไม่สามารถส่งมอบห้องชุดได้ตามเป้าหมายที่ 17,500ล้านบาท โดยมียอดโอนเพียง15,500 ล้านบาท ทำให้ยังคงมียอดโอนห้องชุดที่เป็นสต๊อกรอรับรู้รายได้ของปีที่ผ่านมา ซึ่งจะยกมารับรู้รายได้ในปีนี้กว่า2,000 ล้านบาท ขณะที่ในปี2557นี้ บริษัทตั้งเป้าว่าจะมียอดรับรู้รายได้จากการรับโอนห้องชุดรวม 18,000 ล้านบาท โดยยอดรับรู้รายได้ดังกล่าวจะมาจากสต๊อกยอดขายห้องชุดที่ก่อสร้างเสร้จและต้องส่งมอบในปีนี้ 14,000ล้านบาท จากสต๊อกยอดขายในพอร์ตทั้งหมดที่มีอยู่ 58,000 ล้านบาท โดยในส่วนที่เหลือจะทยอยรับรู้ในช่วง1-2ปีข้างหน้า ทำให้ ณ ปัจจุบันบริษัทมีสต๊อกรอรับรู้รายได้ในมือที่แน่นอนแล้ว 16,000 ล้านบาท ส่วนที่เหลืออีก2,000 ล้านบาทจะมาจากโครงการใหม่ที่เปิดขายในปีนี้
“ในปีก่อนหน้าปัญหาหลักที่ทำให้ยอดรับรู้รายได้ของบริษัทไม่เป็นไปตามเป้า คือปัญหาความล่าช้าในการขอ EIA และงานก่อสร้างแล้ว ปัญหารการปฏิเสธสินเชื่อและการทิ้งดาวน์ของลูกค้าก็เป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่มีผลกระทบกับยอดรับรู้รายได้ของบริษัท โดยในส่วนของการทิ้งดาวน์นั้นส่วนใหญ่เกิดขึ้นในโครงการที่มีราคาขายต่ำกว่า 80,000 บาทต่อตร.ม.กว่า10% ส่วนกลุ่มโครงการที่มีราคาสูงขึ้นไปมีอยู่เพียง3-5% เท่านั้น”
นายอุทัยกล่าวว่า ปัจจุบัน แสนสิริ มีห้องชุดที่อยู่ระหว่างการขายในมือ 20,000 ล้านบาท ซึ่งมีทั้งห้องชุดที่เปิดขายใหม่และห้องชุดที่นำกลับมารีเซลใหม่ เนื่องจากลูกค้าไม่สามารถรับโอนได้ โดยสาเหตุหลักที่ลูกค้าไม่สามารถรับโดอนได้เนื่องจากมีปัญหาด้านการขอสินเชื่อ ซึ่งในปีที่ผ่านมาสัดส่วนขอลูกค้าที่ถูกปฏิเสธสินเชื่อจากสถาบันการเงินนั้นปรับตัวสูงขึ้นจาก 7-8% เป็น10-15% ทั้งนี้ สต๊อกห้องชุดที่เป็นสต๊อกรอขายในมือกว่า 20,000 ล้านบาท ที่บริษัทถืออยู่ในขณะนี้ ถือว่ามีจำนวนไม่สูง จึงไม่ส่งผลกระทบต่อบริษัท เนื่องจากส่วนใหญ่ยังเป้ฯห้องชุดที่สร้างไม่เสร็จและบริษัทยังมีระเยะเวลาในการทำตลาดอีกนานจนกว่าจะก่อสร้างเสร็จ
“แต่หากสภาวะตลาดไม่ดี ห้องชุดไม่สามารถยอดได้ตามเป้า หรือสต๊อกห้องชุดในมือระบายออกยากในปีนี้ บริษัทก็สามารถปรับแผนลดการเปิดตัวโครงการใหม่และนำห้องชุดที่มีอยู่ในมือออกมาขายเพื่อรองรับความต้องการของตลาดได้ ดังนั้น สต๊อกหองชุดรอการขายกว่า 20,000ล้านบาทที่ถืออยู่ในขณะนี้จึงไม่ส่งผลต่อบริษัท”
สำหรับในปี2556ที่ผ่านมา แสนสิริ มีการเปิดตัวโครงการใหม่ทั้งสิ้น 48 โครงการโดยในจำนวนดังกล่าวเป็นโครงการคอนดดมิเนียม 29โครงการ คิดเป็นมูลค่ากว่า 42,000 ล้านบาท โดยสามารถสร้างยอดขายได้แล้ว 30,000 ล้านบาท ทำให้ในขณะนี้บริษัทมีสต๊อกยอดขายรอรับรู้ได้ในมือซึ่งจะทยอยรับรู้ในช่ว1-4ปีจานี้กว่า 58,000ล้านบาท
นายอุทัย อุทัยแสงสุข รองกรรมการผู้จัดการอาวุโส สายงานพัฒนาธุรกิจ และพัฒนาคอนโดมิเนียม บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่าในปี2556ที่ผ่านมาบริษัทต้องประสบปัญหางานก่อสร้างและการส่งมอบห้องชุดที่ล่าช้า ส่งผลกระทบต่อเป้าการรับรู้รายได้ของแสนสิริ โดยในปีที่แล้วบริษัทตั้งเป้าว่าจะมียอดโอนห้องชุดทั้งปีรวม 17,500 ล้านบาท แต่เกิดปัญหาความล่าช้าจากขั้นตอนการก่อสร้างทำให้ในปีที่ผ่านมาบริษัทมีรายได้รับรู้อย่ที่ 15,500ล้านบาท ซึ่งเป็นผลมาจากการเริ่มงานก่อสร้างโครงการที่ล่าช้าเพราะต้องรอผลการอนุมัติการจัดทำรายงานผลกระทบสิ่งแวดล้อม หรือ EIA
ดังนั้น ในปี2557 นี้ บริษัทจึงมีนโยบายการพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียมโครงการใหม่ ในทุกโครงการที่จะต้องผ่าน EIA แล้วจึงดำเนินการก่อสร้างและเปิดขาย เพื่อแก้ปัญหางานก่อสร้างและการส่งมอบโครงการที่ล่าช้า โดยในปี2557นี้บริษัทมีแผนจะเปิดตังวโครงการคอนโดโครงการใหม่รวม 9 โครงการ มูลค่ารวม 17,600 ล้านบาท และตั้งเป้าว่าจะมียอดขายรวมที่ 16,000ล้านบาท โดยโครงการที่เปิดใหม่แบ่งเป็นโครงการที่เปิดตัวในพื้นที่ กทม. 4 โครงการ และในต่างจังหวัด 5โครงการ โดยจะเปิดตัวในช่วงไตรมาสแรก1โครงการไตรมาสที่ 2 จำนวน3โครงการ ไตรมาสที่3 จำนวน4โครงการและไตรมาสสุดท้าย 1โครงการ โดยขณะนี้บริษัทมีที่ดินรอบรับการพัฒนาโครงการใหม่แล้ว8แปลงเหลืออีกเพียง1แปลงที่อยู่ระหว่างการจัดซื้อ
“จากนโยบายการยื่นขอEIA ก่อนการเปิดขายโครงการในปีนี้ ทำให้ในช่วงไตรมาสแรกมีจำนวนการเปิดตัวโครงการใหม่ของบรัทมีจำนวนน้อย และจะทยอยไปเพิ่มมากขึ้นในช่วงครึ่ปีหลัง”
ทั้งนี้ ในปี2556 ที่ผ่านมาบริษัทไม่สามารถส่งมอบห้องชุดได้ตามเป้าหมายที่ 17,500ล้านบาท โดยมียอดโอนเพียง15,500 ล้านบาท ทำให้ยังคงมียอดโอนห้องชุดที่เป็นสต๊อกรอรับรู้รายได้ของปีที่ผ่านมา ซึ่งจะยกมารับรู้รายได้ในปีนี้กว่า2,000 ล้านบาท ขณะที่ในปี2557นี้ บริษัทตั้งเป้าว่าจะมียอดรับรู้รายได้จากการรับโอนห้องชุดรวม 18,000 ล้านบาท โดยยอดรับรู้รายได้ดังกล่าวจะมาจากสต๊อกยอดขายห้องชุดที่ก่อสร้างเสร้จและต้องส่งมอบในปีนี้ 14,000ล้านบาท จากสต๊อกยอดขายในพอร์ตทั้งหมดที่มีอยู่ 58,000 ล้านบาท โดยในส่วนที่เหลือจะทยอยรับรู้ในช่วง1-2ปีข้างหน้า ทำให้ ณ ปัจจุบันบริษัทมีสต๊อกรอรับรู้รายได้ในมือที่แน่นอนแล้ว 16,000 ล้านบาท ส่วนที่เหลืออีก2,000 ล้านบาทจะมาจากโครงการใหม่ที่เปิดขายในปีนี้
“ในปีก่อนหน้าปัญหาหลักที่ทำให้ยอดรับรู้รายได้ของบริษัทไม่เป็นไปตามเป้า คือปัญหาความล่าช้าในการขอ EIA และงานก่อสร้างแล้ว ปัญหารการปฏิเสธสินเชื่อและการทิ้งดาวน์ของลูกค้าก็เป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่มีผลกระทบกับยอดรับรู้รายได้ของบริษัท โดยในส่วนของการทิ้งดาวน์นั้นส่วนใหญ่เกิดขึ้นในโครงการที่มีราคาขายต่ำกว่า 80,000 บาทต่อตร.ม.กว่า10% ส่วนกลุ่มโครงการที่มีราคาสูงขึ้นไปมีอยู่เพียง3-5% เท่านั้น”
นายอุทัยกล่าวว่า ปัจจุบัน แสนสิริ มีห้องชุดที่อยู่ระหว่างการขายในมือ 20,000 ล้านบาท ซึ่งมีทั้งห้องชุดที่เปิดขายใหม่และห้องชุดที่นำกลับมารีเซลใหม่ เนื่องจากลูกค้าไม่สามารถรับโอนได้ โดยสาเหตุหลักที่ลูกค้าไม่สามารถรับโดอนได้เนื่องจากมีปัญหาด้านการขอสินเชื่อ ซึ่งในปีที่ผ่านมาสัดส่วนขอลูกค้าที่ถูกปฏิเสธสินเชื่อจากสถาบันการเงินนั้นปรับตัวสูงขึ้นจาก 7-8% เป็น10-15% ทั้งนี้ สต๊อกห้องชุดที่เป็นสต๊อกรอขายในมือกว่า 20,000 ล้านบาท ที่บริษัทถืออยู่ในขณะนี้ ถือว่ามีจำนวนไม่สูง จึงไม่ส่งผลกระทบต่อบริษัท เนื่องจากส่วนใหญ่ยังเป้ฯห้องชุดที่สร้างไม่เสร็จและบริษัทยังมีระเยะเวลาในการทำตลาดอีกนานจนกว่าจะก่อสร้างเสร็จ
“แต่หากสภาวะตลาดไม่ดี ห้องชุดไม่สามารถยอดได้ตามเป้า หรือสต๊อกห้องชุดในมือระบายออกยากในปีนี้ บริษัทก็สามารถปรับแผนลดการเปิดตัวโครงการใหม่และนำห้องชุดที่มีอยู่ในมือออกมาขายเพื่อรองรับความต้องการของตลาดได้ ดังนั้น สต๊อกหองชุดรอการขายกว่า 20,000ล้านบาทที่ถืออยู่ในขณะนี้จึงไม่ส่งผลต่อบริษัท”
สำหรับในปี2556ที่ผ่านมา แสนสิริ มีการเปิดตัวโครงการใหม่ทั้งสิ้น 48 โครงการโดยในจำนวนดังกล่าวเป็นโครงการคอนดดมิเนียม 29โครงการ คิดเป็นมูลค่ากว่า 42,000 ล้านบาท โดยสามารถสร้างยอดขายได้แล้ว 30,000 ล้านบาท ทำให้ในขณะนี้บริษัทมีสต๊อกยอดขายรอรับรู้ได้ในมือซึ่งจะทยอยรับรู้ในช่ว1-4ปีจานี้กว่า 58,000ล้านบาท