(10 เม.ย.57)
ตลอดเดือนมีนาคมที่ผ่านมา กระทั่งเข้าสู่เดือนเมษายนนี้ ผู้เขียนได้นำเสนอข้อเขียนเชิงวิพากษ์ต่อคุณสุเทพ เทือกสุบรรณกับคณะแกนนำ “กปปส.”มาเป็นลำดับ หลักๆคือชี้ให้เห็นจุดสำคัญๆที่จะส่งผลต่อการต่อสู้ของขบวนการประชาชน เช่น การแสดงความชัดเจนในเรื่องที่เกี่ยวข้องกับผลประโยชน์ของชาติและประชาชน ว่าจะต้องไม่ “กั๊ก” หรือ “กำกวม” จนทำให้เกิดความกังขาในหมู่มวลชนแต่ประการใด โดยยกเอาตัวอย่างของ พล.ร.ต.วินัย กล่อมอินทร์ หลวงปู่พุทธะอิสระ และคุณนิติธร ล้ำเหลือ เป็นตัวอย่างเปรียบเทียบ ซึ่งไม่ได้หมายความว่าจะต้องเป็นการ “ดิสเครดิต”คุณสุเทพกับคณะแต่ประการใด
ในด้านแนวทางและยุทธศาสตร์การต่อสู้ ผู้เขียนได้เสนอให้ชูธง “สภาประชาชน” ยิ่งกว่าการชูบทบาทของ “กปปส.” หรือตัวคุณสุเทพเอง ด้วยคำนึงว่า การต่อสู้เอาชนะระบอบทักษิณครั้งนี้ เป็นวาระของคนไทยทั้งชาติ ที่จะขจัดปฐมเหตุแห่งวิกฤติที่กำลังเผชิญหน้าอยู่ ในบริบทเช่นนี้ ขบวนการประชาชนจะต้องหลุดจากวังวนของการต่อสู้ระหว่างกลุ่มอำนาจการเมือง จะต้องเป็นอิสระจากอำนาจอิทธิพลของพรรคหรือนักการเมืองทุกฝ่ายทุกกลุ่มอย่างแท้จริง
ทั้งนี้ เพื่อให้คนไทย “ทุกฝ่าย”เชื่อมั่นในขบวนการประชาชน และเข้าถึงเจตนารมณ์ทางการเมืองของประชาชนอย่างแท้จริง เกิดความศรัทธาในหมู่มวลมหาประชาชนยิ่งกว่าตัวคุณสุเทพและคณะ
ด้วยเหตุนี้ การแสดงออกใดๆที่ยัง “ติดพ่วง”อยู่กับผลประโยชน์ของอำนาจการเมืองเฉพาะกลุ่มหรือพรรคการเมืองใดๆ รังแต่จะบั่นทอนความเชื่อมั่นของสาธารณชนต่อขบวนการประชาชน ไม่ทางใดก็ทางหนึ่งเสมอ
ทำไมหรือ ?
ก็เพราะ ณ วันนี้ การเมืองเลือกตั้ง โดยพรรคการเมืองที่ได้ชัยชนะในการเลือกตั้งจัดตั้งรัฐบาลบริหารประเทศ ได้พิสูจน์ตนเองแล้วว่า ใช้ไม่ได้ในประเทศไทย ทั้งเป็นเหตุแห่งความแตกแยกของคนในชาติ เป็นแหล่งรวมของคนโกง และผู้มีอิทธิพลในทางเสื่อมเสียระดับชาติ เป็นระบบที่กีดกันคนดีคนเก่ง มิให้เข้าไปมีส่วนในการใช้อำนาจบริหารประเทศอย่างสิ้นเชิง
ในทางประวัติศาสตร์ ถือได้ว่าระบบการเมืองเลือกตั้ง ได้ถึง “ทางตัน” แล้ว
ประเทศไทยต้องการ “ทางออก” ที่มากกว่าการเมืองเลือกตั้ง !
ถึงเวลาที่คนไทยจะร่วมกัน “โละทิ้ง” การเมืองเลือกตั้ง แล้วสร้างระบบการเมืองที่ดีกว่าขึ้นแทนที่ !
ด้วยเหตุนี้ เมื่อคุณสุเทพกับคณะ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นอดีตนักการเมือง ยังคงติดอยู่กับการเมืองเลือกตั้ง มุ่งปฏิรูปเพื่อการเมืองเลือกตั้ง จึงขาดความน่าเชื่อถืออย่างมีนัยสำคัญ จำเป็นที่จะต้อง “ปรับ” จุดยืนครั้งใหญ่ ด้วยการหันมายึดมั่นในแนวทางการสร้าง “สภาประชาชน” ที่เป็นประชาธิปไตยทางตรง อันสะท้อนถึงอำนาจของประชาชนโดยตรง
คุณสุเทพกับคณะ จะต้องเร่งสร้างสภาประชาชน ให้เป็นเวทีของคนไทย “ทุกฝ่าย” ร่วมกันใช้อำนาจอธิปไตย ขับเคลื่อนกระบวนการเปลี่ยนแปลงประเทศไทย ปฏิรูปประเทศไทย โดยมีเป้าหมายสูงสุดอยู่ที่การปฏิวัติชีวิตของคนไทยโดยรวม
ทั้งนี้ เมื่อถึงวันประกาศ “ยึดอำนาจ” สิ่งที่จะต้องทำอันดับแรก ก็คือการเปิดสภาประชาชน โดยคุณสุเทพและกรรมการ “กปปส.” เป็นเจ้าภาพ เชิญชวนตัวแทนคนไทย “ทุกฝ่าย” เข้าร่วมการประชุม ทั้งกองทัพ ข้าราชการทุกกระทรวงทบวงกรม กลุ่มธุรกิจอุตสาหกรรม การค้าการลงทุน กรรมกรผู้ใช้แรงงาน และชาวนาเกษตรกร ฯลฯ เพื่อให้คนไทย “ทุกฝ่าย” ใช้สิทธิ์บนเวทีเดียวกัน ที่เป็นเวทีของประชาชน ดำเนินกิจกรรมทางการเมืองทุกประการ เพื่อผลประโยชน์ของชาติและประชาชนเท่านั้น !
ทั้งนายกรัฐมนตรี และคณะรัฐมนตรีของ “รัฐบาลประชาชน” ล้วนต้องมาจากมติที่ประชุมสภาประชาชนโดยตรง แล้วจึงนำขึ้นทูลเกล้าฯ ขอทรงลงพระปรมาภิไธย
อีกนัยหนึ่ง การเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่นี้ จะต้องมีประชาชนเป็น “เจ้าภาพ” ตั้งแต่ต้นจนจบ ดำเนินการปฏิรูปประเทศอย่างรอบด้าน โดยถือเอาผลประโยชน์ของประเทศชาติและประชาชนเป็นตัวตั้ง และผลพวงของการปฏิรูปจักต้องปรากฏให้เห็นเป็นรูปธรรมในทันทีทันใด
ซึ่งจะเป็นไปได้ก็ด้วยการสถาปนาระบบ “สภาประชาชน” ที่ประชาชนสามารถใช้อำนาจอธิปไตยโดยตรง อันเป็นรูปแบบหนึ่งของ “ประชาธิปไตยทางตรง” ขี้นมาเป็น “กลไก” ขับเคลื่อนกระบวนการเปลี่ยนแปลง ปฏิรูป และพัฒนาประเทศไทยอย่างยั่งยืน
ถึงเวลาที่คุณสุเทพจะต้องแสดงจุดยืนในเรื่องนี้อย่างชัดเจน !
ทั้งหมดที่กล่าวมา ก็เป็นเพียง “มาตรฐาน” ที่ผู้เขียนตั้งไว้ให้คุณสุเทพประพฤติปฏิบัติ ส่วนจะเกิดผลเช่นไร ก็เกินกว่าจะคาดเดา และผู้เขียนก็คงไม่มีอำนาจใดๆไปคาดคั้นหรือบีบบับคับให้คุณสุเทพต้องปฏิบัติตาม
กระนั้น ผู้เขียนก็เชื่อว่า ในการต่อสู้ครั้งสุดท้าย ชี้เป็นชี้ตาย เห็นผลแพ้ชนะแบบเบ็ดเสร็จ ที่กำลังจะระเบิดขึ้นนี้ คุณสุเทพจะไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากเส้นทางที่ประชาชนกำหนดขึ้นเท่านั้น !
ดังนั้น ข้อปฏิบัติที่จะเป็นหลักประกัน มิให้เกิดความผิดพลาดในการทำศึกใหญ่ “ยกสุดท้าย” ในอีกไม่กี่วันข้างหน้านี้ สำหรับกำนันสุเทพแล้ว จึงหนีไม่พ้นการ “ปรับ” ตนครั้งใหญ่ โดยไม่มีข้อแม้ใดๆ
ประการแรก จะต้องเลิกมุกนักการเมืองโดยเด็ดขาด ได้แก่การพูด “เอาดีใส่ตัว เอาชั่วใส่คนอื่น” ซึ่งนักการเมืองทุกค่ายได้ทำเช่นนี้มาโดยตลอด เพื่อแย่งคะแนนเสียงกัน
ประการที่สอง จะต้องเลิกใช้มุกของนักวิชาการโดยเด็ดขาด ได้แก่การนำเอาศัพท์รัฐศาสตร์ที่ยากแก่การตีความมาใช้ เช่นคำว่า “รัฏฐาธิปัตย์” ไม่มีประโยชน์ต่อการต่อสู้อะไรเลย ตรงกันข้ามกลับเป็นการยื่น “ดาบ” ให้ฝ่ายตรงข้ามใช้ฟาดฟัน
ในทางที่ถูกต้อง คุณสุเทพจักต้องใช้มุกของประชาชนเท่านั้น คือพูดและปฏิบัติในสิ่งที่ประชาชนรู้และต้องการ มุ่งให้ประชาชนเชื่อมั่นในอำนาจของตนเอง ว่า “อำนาจประชาชน” มีความสำคัญและยิ่งใหญ่ที่สุดในการเปลี่ยนแปลงประเทศไทยครั้งนี้ อยู่ในฐานะ “อำนาจกำหนด” คือเป็น “ปัจจัยชี้ขาด” ในการต่อสู้เอาชนะระบอบทักษิณ
ส่วนอำนาจอื่นๆ เช่นอำนาจปืน (กองทัพ) อำนาจทุน(กลุ่มธุรกิจการค้า)ล้วนแต่เป็นอำนาจเสริม จักต้องโน้มน้าวให้พวกเขายอมรับอำนาจประชาชน และแสดงบทบาทเป็น “ส่วนเสริม”ช่วยให้การต่อสู้ของประชาชนประสบความสำเร็จได้เร็วขึ้น
คุณสุเทพจะต้องใช้ท่าที “เรียกร้อง” หากมิใช่ “ร้องขอ” การสนับสนุนของกองทัพ ข้าราชการ และภาคธุรกิจการค้าเอกชน
จะต้องใช้ความใหญ่โตของขบวนการประชาชนเป็นสิ่งดึงดูด และใช้การอธิบายให้เห็นถึงความยิ่งใหญ่ของอำนาจประชาชนเป็นตัวโน้มน้าว เดินหน้าตะลุยศึก สร้างการเปลี่ยนแปลงอย่างไม่ขาดสาย กองทัพจึงจะขยับ และคนไทย “ทุกฝ่าย” จึงจะยอมรับ และยินดีเข้าร่วมกระบวนการสร้างสรรค์ นวัตกรรม ประติมากรรม ระบบ “สภาประชาชน” ให้เป็นกลไกการเมืองที่ยอดเยี่ยมที่สุดของคนไทยโดยรวม
ขอให้คุณสุเทพใช้อำนาจประชาชนเป็นอาวุธเอก แล้ว “ปาฏิหาริย์” ก็จะเกิดขึ้น !
นี่คือ “ความจริง” ที่คุณสุเทพต้องเข้าถึงและยึดมั่น !
ตลอดเดือนมีนาคมที่ผ่านมา กระทั่งเข้าสู่เดือนเมษายนนี้ ผู้เขียนได้นำเสนอข้อเขียนเชิงวิพากษ์ต่อคุณสุเทพ เทือกสุบรรณกับคณะแกนนำ “กปปส.”มาเป็นลำดับ หลักๆคือชี้ให้เห็นจุดสำคัญๆที่จะส่งผลต่อการต่อสู้ของขบวนการประชาชน เช่น การแสดงความชัดเจนในเรื่องที่เกี่ยวข้องกับผลประโยชน์ของชาติและประชาชน ว่าจะต้องไม่ “กั๊ก” หรือ “กำกวม” จนทำให้เกิดความกังขาในหมู่มวลชนแต่ประการใด โดยยกเอาตัวอย่างของ พล.ร.ต.วินัย กล่อมอินทร์ หลวงปู่พุทธะอิสระ และคุณนิติธร ล้ำเหลือ เป็นตัวอย่างเปรียบเทียบ ซึ่งไม่ได้หมายความว่าจะต้องเป็นการ “ดิสเครดิต”คุณสุเทพกับคณะแต่ประการใด
ในด้านแนวทางและยุทธศาสตร์การต่อสู้ ผู้เขียนได้เสนอให้ชูธง “สภาประชาชน” ยิ่งกว่าการชูบทบาทของ “กปปส.” หรือตัวคุณสุเทพเอง ด้วยคำนึงว่า การต่อสู้เอาชนะระบอบทักษิณครั้งนี้ เป็นวาระของคนไทยทั้งชาติ ที่จะขจัดปฐมเหตุแห่งวิกฤติที่กำลังเผชิญหน้าอยู่ ในบริบทเช่นนี้ ขบวนการประชาชนจะต้องหลุดจากวังวนของการต่อสู้ระหว่างกลุ่มอำนาจการเมือง จะต้องเป็นอิสระจากอำนาจอิทธิพลของพรรคหรือนักการเมืองทุกฝ่ายทุกกลุ่มอย่างแท้จริง
ทั้งนี้ เพื่อให้คนไทย “ทุกฝ่าย”เชื่อมั่นในขบวนการประชาชน และเข้าถึงเจตนารมณ์ทางการเมืองของประชาชนอย่างแท้จริง เกิดความศรัทธาในหมู่มวลมหาประชาชนยิ่งกว่าตัวคุณสุเทพและคณะ
ด้วยเหตุนี้ การแสดงออกใดๆที่ยัง “ติดพ่วง”อยู่กับผลประโยชน์ของอำนาจการเมืองเฉพาะกลุ่มหรือพรรคการเมืองใดๆ รังแต่จะบั่นทอนความเชื่อมั่นของสาธารณชนต่อขบวนการประชาชน ไม่ทางใดก็ทางหนึ่งเสมอ
ทำไมหรือ ?
ก็เพราะ ณ วันนี้ การเมืองเลือกตั้ง โดยพรรคการเมืองที่ได้ชัยชนะในการเลือกตั้งจัดตั้งรัฐบาลบริหารประเทศ ได้พิสูจน์ตนเองแล้วว่า ใช้ไม่ได้ในประเทศไทย ทั้งเป็นเหตุแห่งความแตกแยกของคนในชาติ เป็นแหล่งรวมของคนโกง และผู้มีอิทธิพลในทางเสื่อมเสียระดับชาติ เป็นระบบที่กีดกันคนดีคนเก่ง มิให้เข้าไปมีส่วนในการใช้อำนาจบริหารประเทศอย่างสิ้นเชิง
ในทางประวัติศาสตร์ ถือได้ว่าระบบการเมืองเลือกตั้ง ได้ถึง “ทางตัน” แล้ว
ประเทศไทยต้องการ “ทางออก” ที่มากกว่าการเมืองเลือกตั้ง !
ถึงเวลาที่คนไทยจะร่วมกัน “โละทิ้ง” การเมืองเลือกตั้ง แล้วสร้างระบบการเมืองที่ดีกว่าขึ้นแทนที่ !
ด้วยเหตุนี้ เมื่อคุณสุเทพกับคณะ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นอดีตนักการเมือง ยังคงติดอยู่กับการเมืองเลือกตั้ง มุ่งปฏิรูปเพื่อการเมืองเลือกตั้ง จึงขาดความน่าเชื่อถืออย่างมีนัยสำคัญ จำเป็นที่จะต้อง “ปรับ” จุดยืนครั้งใหญ่ ด้วยการหันมายึดมั่นในแนวทางการสร้าง “สภาประชาชน” ที่เป็นประชาธิปไตยทางตรง อันสะท้อนถึงอำนาจของประชาชนโดยตรง
คุณสุเทพกับคณะ จะต้องเร่งสร้างสภาประชาชน ให้เป็นเวทีของคนไทย “ทุกฝ่าย” ร่วมกันใช้อำนาจอธิปไตย ขับเคลื่อนกระบวนการเปลี่ยนแปลงประเทศไทย ปฏิรูปประเทศไทย โดยมีเป้าหมายสูงสุดอยู่ที่การปฏิวัติชีวิตของคนไทยโดยรวม
ทั้งนี้ เมื่อถึงวันประกาศ “ยึดอำนาจ” สิ่งที่จะต้องทำอันดับแรก ก็คือการเปิดสภาประชาชน โดยคุณสุเทพและกรรมการ “กปปส.” เป็นเจ้าภาพ เชิญชวนตัวแทนคนไทย “ทุกฝ่าย” เข้าร่วมการประชุม ทั้งกองทัพ ข้าราชการทุกกระทรวงทบวงกรม กลุ่มธุรกิจอุตสาหกรรม การค้าการลงทุน กรรมกรผู้ใช้แรงงาน และชาวนาเกษตรกร ฯลฯ เพื่อให้คนไทย “ทุกฝ่าย” ใช้สิทธิ์บนเวทีเดียวกัน ที่เป็นเวทีของประชาชน ดำเนินกิจกรรมทางการเมืองทุกประการ เพื่อผลประโยชน์ของชาติและประชาชนเท่านั้น !
ทั้งนายกรัฐมนตรี และคณะรัฐมนตรีของ “รัฐบาลประชาชน” ล้วนต้องมาจากมติที่ประชุมสภาประชาชนโดยตรง แล้วจึงนำขึ้นทูลเกล้าฯ ขอทรงลงพระปรมาภิไธย
อีกนัยหนึ่ง การเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่นี้ จะต้องมีประชาชนเป็น “เจ้าภาพ” ตั้งแต่ต้นจนจบ ดำเนินการปฏิรูปประเทศอย่างรอบด้าน โดยถือเอาผลประโยชน์ของประเทศชาติและประชาชนเป็นตัวตั้ง และผลพวงของการปฏิรูปจักต้องปรากฏให้เห็นเป็นรูปธรรมในทันทีทันใด
ซึ่งจะเป็นไปได้ก็ด้วยการสถาปนาระบบ “สภาประชาชน” ที่ประชาชนสามารถใช้อำนาจอธิปไตยโดยตรง อันเป็นรูปแบบหนึ่งของ “ประชาธิปไตยทางตรง” ขี้นมาเป็น “กลไก” ขับเคลื่อนกระบวนการเปลี่ยนแปลง ปฏิรูป และพัฒนาประเทศไทยอย่างยั่งยืน
ถึงเวลาที่คุณสุเทพจะต้องแสดงจุดยืนในเรื่องนี้อย่างชัดเจน !
ทั้งหมดที่กล่าวมา ก็เป็นเพียง “มาตรฐาน” ที่ผู้เขียนตั้งไว้ให้คุณสุเทพประพฤติปฏิบัติ ส่วนจะเกิดผลเช่นไร ก็เกินกว่าจะคาดเดา และผู้เขียนก็คงไม่มีอำนาจใดๆไปคาดคั้นหรือบีบบับคับให้คุณสุเทพต้องปฏิบัติตาม
กระนั้น ผู้เขียนก็เชื่อว่า ในการต่อสู้ครั้งสุดท้าย ชี้เป็นชี้ตาย เห็นผลแพ้ชนะแบบเบ็ดเสร็จ ที่กำลังจะระเบิดขึ้นนี้ คุณสุเทพจะไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากเส้นทางที่ประชาชนกำหนดขึ้นเท่านั้น !
ดังนั้น ข้อปฏิบัติที่จะเป็นหลักประกัน มิให้เกิดความผิดพลาดในการทำศึกใหญ่ “ยกสุดท้าย” ในอีกไม่กี่วันข้างหน้านี้ สำหรับกำนันสุเทพแล้ว จึงหนีไม่พ้นการ “ปรับ” ตนครั้งใหญ่ โดยไม่มีข้อแม้ใดๆ
ประการแรก จะต้องเลิกมุกนักการเมืองโดยเด็ดขาด ได้แก่การพูด “เอาดีใส่ตัว เอาชั่วใส่คนอื่น” ซึ่งนักการเมืองทุกค่ายได้ทำเช่นนี้มาโดยตลอด เพื่อแย่งคะแนนเสียงกัน
ประการที่สอง จะต้องเลิกใช้มุกของนักวิชาการโดยเด็ดขาด ได้แก่การนำเอาศัพท์รัฐศาสตร์ที่ยากแก่การตีความมาใช้ เช่นคำว่า “รัฏฐาธิปัตย์” ไม่มีประโยชน์ต่อการต่อสู้อะไรเลย ตรงกันข้ามกลับเป็นการยื่น “ดาบ” ให้ฝ่ายตรงข้ามใช้ฟาดฟัน
ในทางที่ถูกต้อง คุณสุเทพจักต้องใช้มุกของประชาชนเท่านั้น คือพูดและปฏิบัติในสิ่งที่ประชาชนรู้และต้องการ มุ่งให้ประชาชนเชื่อมั่นในอำนาจของตนเอง ว่า “อำนาจประชาชน” มีความสำคัญและยิ่งใหญ่ที่สุดในการเปลี่ยนแปลงประเทศไทยครั้งนี้ อยู่ในฐานะ “อำนาจกำหนด” คือเป็น “ปัจจัยชี้ขาด” ในการต่อสู้เอาชนะระบอบทักษิณ
ส่วนอำนาจอื่นๆ เช่นอำนาจปืน (กองทัพ) อำนาจทุน(กลุ่มธุรกิจการค้า)ล้วนแต่เป็นอำนาจเสริม จักต้องโน้มน้าวให้พวกเขายอมรับอำนาจประชาชน และแสดงบทบาทเป็น “ส่วนเสริม”ช่วยให้การต่อสู้ของประชาชนประสบความสำเร็จได้เร็วขึ้น
คุณสุเทพจะต้องใช้ท่าที “เรียกร้อง” หากมิใช่ “ร้องขอ” การสนับสนุนของกองทัพ ข้าราชการ และภาคธุรกิจการค้าเอกชน
จะต้องใช้ความใหญ่โตของขบวนการประชาชนเป็นสิ่งดึงดูด และใช้การอธิบายให้เห็นถึงความยิ่งใหญ่ของอำนาจประชาชนเป็นตัวโน้มน้าว เดินหน้าตะลุยศึก สร้างการเปลี่ยนแปลงอย่างไม่ขาดสาย กองทัพจึงจะขยับ และคนไทย “ทุกฝ่าย” จึงจะยอมรับ และยินดีเข้าร่วมกระบวนการสร้างสรรค์ นวัตกรรม ประติมากรรม ระบบ “สภาประชาชน” ให้เป็นกลไกการเมืองที่ยอดเยี่ยมที่สุดของคนไทยโดยรวม
ขอให้คุณสุเทพใช้อำนาจประชาชนเป็นอาวุธเอก แล้ว “ปาฏิหาริย์” ก็จะเกิดขึ้น !
นี่คือ “ความจริง” ที่คุณสุเทพต้องเข้าถึงและยึดมั่น !