(3 เม.ย.57)
เส้นทางที่ประเทศไทยต้องเดิน
1.เส้นทางตัน เมื่อกลุ่มอำนาจต่างๆ “ล็อกกันตาย”
2.เส้นทางออก เมื่อ “ทุกฝ่าย” ยอมเดินไปตามเส้นทางของประชาชน
มาถึงวันนี้ ผู้เขียนเชื่อมั่นว่า ประเทศไทยได้เคลื่อนตัวเข้าสู่ “ทางตัน” เรียบร้อยแล้ว เมื่อการเลือกตั้งก็ทำไม่ได้ การปฏิรูปก็ยังไม่เกิด ทหารก็ “ลอยตัว” และทำตัวเป็นเพียง “เครื่องมือ” รัฐบาล (จากการให้สัมภาษณ์ของ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา เมื่อวานนี้) โดยไม่พยายามแยกแยะถูกผิด มองไม่เห็นเหตุแห่งวิกฤติของชาติ
ขณะที่หลายฝ่ายดูจะฝากความหวังไว้กับ “หมัดเด็ด” ของศาลรัฐธรรมนูญ ที่จะตัดสินชี้สถานะนายกฯของยิ่งลักษณ์ ในกรณีใช้อำนาจมิชอบในการสั่งย้ายนายถวิล เปลี่ยนสี (ตามคำวินิจฉัยของศาลปกครองสูงสุด) โดยมีการกำหนดให้ยิ่งลักษณ์ต้องเข้าชี้แจงต่อศาลฯภายใน 15 วัน หลังวันสงกรานต์เล็กน้อย
ทั้งนี้ ตามรูปคดี ยิ่งลักษณ์และคณะรัฐมนตรีมีความเป็นไปได้สูง ที่จะหลุดจากตำแหน่งหน้าที่ “ทั้งยวง”
“มะม่วงสุก” ก็หล่นลงมาให้เราเก็บกินได้ ตามทฤษฎีของคุณธีรยุทธ บุญมี
อันเป็นแสดงออกของกระบวนการ “ตุลาการภิวัฒน์” อีกครั้งหนึ่ง
แต่พอเป็นเช่นนี้ ก็ “เข้าทาง” พวกพรรคเพื่อไทยและ “นปช.” ทันที ในการที่จะประณามว่า ทั้งหมดเป็นแผนร้ายของ “อำมาตย์” โค่นล้มรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งโดยประชาชน กลั่นแกล้งพรรคเพื่อไทยและคนในตระกูลชินวัตร ซึ่ง ณ ตอนนี้ พวกเขาก็กำลังโหมปลุกระดมคนเสื้อแดงให้เตรียมพร้อมที่จะออกมา “ลุย”
ยิ่งเมื่อมีการแต่งตั้ง “นายกรัฐมนตรี ม.7” พวกเขาก็จะชี้หน้าว่าเป็น “นายกฯเถื่อน” รณรงค์ต่อต้านกันทั่วประเทศ
มองไม่ออกว่า ในเมื่อทหารประกาศจุดยืนชัดว่า จะทำตามคำสั่งของรัฐบาลเท่านั้น แล้วหากยิ่งลักษณ์ดื้อแพ่งไม่ยอมออก พรรคเพื่อไทยและกลุ่ม “นปช.” ก็เคลื่อนไหวประท้วงไปทุกหนแห่ง แล้วมวลชน “กปปส.” ก็ออกมาชุมนุมใหญ่ (ตามคำเรียกร้องของคุณสุเทพ เทือกสุบรรณเมื่อคืนวานนี้) เพื่อยันกับมวลชนคนเสื้อแดง สถานการณ์จะเป็นไปแบบไหน ?
ในมุมมองของผู้เขียน หากสถานการณ์เป็นไปในทำนองนี้ ก็เท่ากับว่า “ทุกฝ่าย” พร้อมใจกันผลักประเทศไทยเข้าสู่มุมอับ “ล็อกกันตาย” อยู่ตรงนั้น และในที่สุดก็จะระเบิดออกมาเป็นความรุนแรง เมื่อแต่ละฝ่ายพากัน “หน้ามืด” ต่อสู้ห้ำหั่นกันแบบไม่ลืมหูลืมตา
เส้นทางนี้ไปไม่รอด ไม่ใช่ทางออกที่แท้จริงของประเทศไทย !
เห็นได้ชัดว่า ความพยายามที่จะใช้ “ตัวช่วย” เช่นคำตัดสินของศาลรัฐธรรมนูญหรือการชี้ผิดของ ปปช. เพื่อนำไปสู่สภาวะ “สุญญากาศ” ทางการเมือง เปิดทางให้แก่การได้มาซึ่งนายกรัฐมนตรี “คนกลาง” มาแก้ไขวิกฤติประเทศไทย แทบจะเป็นไปไม่ได้ ในบริบทของมหาวิกฤติครั้งนี้
เพราะอะไรก็ตาม ที่ดำเนินไปแล้ว ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเห็นว่า ตัวเองเสียประโยชน์และอำนาจ ก็จะออกตัวขัดขวางเต็มที่
นั่นคือสิ่งที่ผู้เขียนเรียกว่า จะเลือกตั้งก็ไม่ได้ เพราะการเลือกตั้งทำให้ฝ่ายทักษิณได้อำนาจ ดูจากการเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภาเมื่อวันที่ 30 มี.ค.ที่ผ่านมา พิสูจน์ชัดแล้วว่า เมื่อใดที่เปิดให้มีการเลือกตั้ง ชัยชนะย่อมตกเป็นของฝ่ายทักษิณ และจุดนี้เองที่ผู้เขียนและผู้ที่เข้าถึงแก่นแท้ของการเมืองเลือกตั้งได้พากันตั้งปุจฉามาโดยตลอด ถึงแนวคิดการปฏิรูปของคุณสุเทพ เทือกสุบรรณ ที่เน้นการปฏิรูปกฎกติกาการเลือกตั้ง ให้เป็นหลักประกันแก่การได้มาซึ่ง “ประชาธิปไตยที่สมบูรณ์”
มันจะเป็นไปได้อย่างไร หากทุกสิ่งทุกอย่างไปตัดสินกันในสนามเลือกตั้ง ?
ผู้เขียนไม่เชื่อเลยว่า เพียงกฎกติกาเลือกตั้ง ที่ไม่ว่าจะเข้มงวดกวดขันกันแค่ไหน จะสามารถ “ปิดประตู” การเข้าสู่อำนาจของนักการเมืองในระบอบทักษิณ เพราะคนของระบอบทักษิณมีอยู่ทั่วไปในระบบการเลือกตั้ง
ทุกอย่างจะเข้าสู่วังวนเดิมๆ คือนักการเมืองคู่แข่งในสนามเลือกตั้ง ในสายตาประชาชน จะไม่มีอะไรแตกต่างไปจากกันและกัน เพราะจะเป็นผู้สมัครหน้าเดิมๆ ใช้วาทะกรรมแบบเดิมๆ นำเสนอสิทธิผลประโยชน์ (ซื้อเสียง) แบบเดิมๆ ในที่สุด พรรคการเมืองเงินหนา นักการเมืองใหญ่ทรงอิทธิพลกว่า ก็ยึดครองสภาฯ จัดตั้งรัฐบาล ออกคำสั่งให้ทหารอยู่ในแถว ข้าราชการในกระทรวงทบวงกรมต่างๆ ก็วิ่งกันตีนขวิด สนองตอบความต้องการของนักการเมือง เพื่อตัวเองจะได้ไต่เต้าขึ้นเป็นใหญ่ ประสบความสำเร็จในชีวิตการงาน เป็นต้น
วงจรอุบาทว์ก็จะทำหน้าที่ของมันไปตามเดิม !
สรุปคือ เส้นทางของกลุ่มอำนาจและผลประโยชน์ต่างๆ ไม่อาจนำประเทศไทยพ้นจากวิกฤติได้ ไม่ว่าฝ่ายเป็นผู้กำหนด อีกฝ่ายก็จะต้องต่อต้านแบบหัวชนฝา ขณะที่คุณสุเทพ เทือกสุบรรณก็ขาดความชัดเจนในเรื่องเส้นทางการเปลี่ยนแปลงของประเทศไทย นำมวลมหาประชาชนถลำลงสู่ห้วงเหวแห่งความขัดแย้งระหว่างกลุ่มการเมืองต่างๆ ทั้งนี้ ดูได้จากแนวคิดของเขาที่ว่า ภายหลังการ “ปฏิรูป”แล้ว พรรคการเมืองที่ดี (หมายถึงพรรคประชาธิปัตย์?) จะได้เข้าสภาฯจัดตั้งรัฐบาล ประเทศไทยก็จะได้มาซึ่ง “ประชาธิปไตยที่สมบูรณ์”
ซึ่งผู้เขียนขอฟันธงว่า แนวคิดของคุณสุเทพนี้ จะไม่นำไปสู่การแก้ไขปัญหาของประเทศไทยแต่ประการใด ตรงกันข้าม กลับทำให้การแก้ไขปัญหาของประเทศไทย โดยประชาชนเป็น “เจ้าภาพ” กลายเป็นหมัน มวลมหาประชาชนที่ติดตามคุณสุเทพจะท้อแท้สิ้นหวัง
ในทัศนะของผู้เขียน ทางออกของประเทศชาติ จะต้องเป็นเส้นทางของประชาชนเท่านั้น !
ข้อสรุปนี้ ตั้งอยู่บนฐานของความเป็นจริง ที่จะพิสูจน์ได้ในบั้นปลาย
ความเป็นจริงก็คือ เมื่อประเทศเข้าสู่ทางตัน ประชาชนก็ไร้ทางออก เมื่อกลุ่มอำนาจต่างๆพากัน “ล็อกกันตาย” ประชาชนก็ต้องขวนขวายหาทางออก ซึ่งหมายถึงทางออกของประเทศชาติ ซึ่งหมายถึงว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่ดำเนินไป แม้ว่าจักเป็นไปตามเจตนารมณ์ของประชาชน แต่ก็ย่อมเป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติเสมอ เพราะผลประโยชน์ของประชาชนเป็นหนึ่งเดียวกับของประเทศชาติ
ทั้งนี้ ขบวนการประชาชนซึ่งได้รวมตัวกันเข้าเป็นจำนวนหลายล้านแล้ว สะท้อนเจตนารมณ์ร่วมกันของคนไทยทั้งชาติได้อย่างเป็นจริงแล้ว(ที่จะเปลี่ยนแปลงและปฏิรูปประเทศไทย) มีความเป็น “รัฐาธิปัตย์” สมบูรณ์แล้ว(ในฐานะมวลมหาประชาชนหลายล้านคนที่ตื่นรู้ทางการเมืองสูงสุด) จักต้องแสดงตนอย่างเด่นชัดตั้งแต่วันนี้ว่า มีความพร้อมสูงสุดในการที่จะนำพาประเทศไทยออกจากทางตัน ด้วยมาตรการที่ “ทุกฝ่าย” รับได้
นั่นคือ เปิดประชุมสภาประชาชน เลือกตัวนายกรัฐมนตรีของประชาชน และจัดตั้งรัฐบาลของประชาชน
ทั้งนี้ แกนนำ “กปปส.” ทั้งกลุ่มคุณสุเทพและคณะ กลุ่ม “คปท.”โดยคุณนิติธร ล้ำเหลือและคณะ กลุ่ม “หลวงปู่ฯ” ที่แจ้งวัฒนะ กลุ่มกองทัพธรรม และคณะเสนาธิการร่วมฯ เป็นต้น จะต้องเปิดประชุมลงมติ ดำเนินการชุมนุมมวลชนครั้งใหญ่ทั่วประเทศ ประกาศเปิดสภาประชาชนทุกจังหวัด ทำการเลือกตัวนายกฯ และจัดตั้งรัฐบาลของประชาชนขึ้นมา แล้วนำขึ้นทูลเกล้าฯขอทรงลงพระปรมาภิไธย
แล้วประเทศไทยก็จะเดินหน้าต่อไปได้ จริงๆ !
เส้นทางที่ประเทศไทยต้องเดิน
1.เส้นทางตัน เมื่อกลุ่มอำนาจต่างๆ “ล็อกกันตาย”
2.เส้นทางออก เมื่อ “ทุกฝ่าย” ยอมเดินไปตามเส้นทางของประชาชน
มาถึงวันนี้ ผู้เขียนเชื่อมั่นว่า ประเทศไทยได้เคลื่อนตัวเข้าสู่ “ทางตัน” เรียบร้อยแล้ว เมื่อการเลือกตั้งก็ทำไม่ได้ การปฏิรูปก็ยังไม่เกิด ทหารก็ “ลอยตัว” และทำตัวเป็นเพียง “เครื่องมือ” รัฐบาล (จากการให้สัมภาษณ์ของ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา เมื่อวานนี้) โดยไม่พยายามแยกแยะถูกผิด มองไม่เห็นเหตุแห่งวิกฤติของชาติ
ขณะที่หลายฝ่ายดูจะฝากความหวังไว้กับ “หมัดเด็ด” ของศาลรัฐธรรมนูญ ที่จะตัดสินชี้สถานะนายกฯของยิ่งลักษณ์ ในกรณีใช้อำนาจมิชอบในการสั่งย้ายนายถวิล เปลี่ยนสี (ตามคำวินิจฉัยของศาลปกครองสูงสุด) โดยมีการกำหนดให้ยิ่งลักษณ์ต้องเข้าชี้แจงต่อศาลฯภายใน 15 วัน หลังวันสงกรานต์เล็กน้อย
ทั้งนี้ ตามรูปคดี ยิ่งลักษณ์และคณะรัฐมนตรีมีความเป็นไปได้สูง ที่จะหลุดจากตำแหน่งหน้าที่ “ทั้งยวง”
“มะม่วงสุก” ก็หล่นลงมาให้เราเก็บกินได้ ตามทฤษฎีของคุณธีรยุทธ บุญมี
อันเป็นแสดงออกของกระบวนการ “ตุลาการภิวัฒน์” อีกครั้งหนึ่ง
แต่พอเป็นเช่นนี้ ก็ “เข้าทาง” พวกพรรคเพื่อไทยและ “นปช.” ทันที ในการที่จะประณามว่า ทั้งหมดเป็นแผนร้ายของ “อำมาตย์” โค่นล้มรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งโดยประชาชน กลั่นแกล้งพรรคเพื่อไทยและคนในตระกูลชินวัตร ซึ่ง ณ ตอนนี้ พวกเขาก็กำลังโหมปลุกระดมคนเสื้อแดงให้เตรียมพร้อมที่จะออกมา “ลุย”
ยิ่งเมื่อมีการแต่งตั้ง “นายกรัฐมนตรี ม.7” พวกเขาก็จะชี้หน้าว่าเป็น “นายกฯเถื่อน” รณรงค์ต่อต้านกันทั่วประเทศ
มองไม่ออกว่า ในเมื่อทหารประกาศจุดยืนชัดว่า จะทำตามคำสั่งของรัฐบาลเท่านั้น แล้วหากยิ่งลักษณ์ดื้อแพ่งไม่ยอมออก พรรคเพื่อไทยและกลุ่ม “นปช.” ก็เคลื่อนไหวประท้วงไปทุกหนแห่ง แล้วมวลชน “กปปส.” ก็ออกมาชุมนุมใหญ่ (ตามคำเรียกร้องของคุณสุเทพ เทือกสุบรรณเมื่อคืนวานนี้) เพื่อยันกับมวลชนคนเสื้อแดง สถานการณ์จะเป็นไปแบบไหน ?
ในมุมมองของผู้เขียน หากสถานการณ์เป็นไปในทำนองนี้ ก็เท่ากับว่า “ทุกฝ่าย” พร้อมใจกันผลักประเทศไทยเข้าสู่มุมอับ “ล็อกกันตาย” อยู่ตรงนั้น และในที่สุดก็จะระเบิดออกมาเป็นความรุนแรง เมื่อแต่ละฝ่ายพากัน “หน้ามืด” ต่อสู้ห้ำหั่นกันแบบไม่ลืมหูลืมตา
เส้นทางนี้ไปไม่รอด ไม่ใช่ทางออกที่แท้จริงของประเทศไทย !
เห็นได้ชัดว่า ความพยายามที่จะใช้ “ตัวช่วย” เช่นคำตัดสินของศาลรัฐธรรมนูญหรือการชี้ผิดของ ปปช. เพื่อนำไปสู่สภาวะ “สุญญากาศ” ทางการเมือง เปิดทางให้แก่การได้มาซึ่งนายกรัฐมนตรี “คนกลาง” มาแก้ไขวิกฤติประเทศไทย แทบจะเป็นไปไม่ได้ ในบริบทของมหาวิกฤติครั้งนี้
เพราะอะไรก็ตาม ที่ดำเนินไปแล้ว ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเห็นว่า ตัวเองเสียประโยชน์และอำนาจ ก็จะออกตัวขัดขวางเต็มที่
นั่นคือสิ่งที่ผู้เขียนเรียกว่า จะเลือกตั้งก็ไม่ได้ เพราะการเลือกตั้งทำให้ฝ่ายทักษิณได้อำนาจ ดูจากการเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภาเมื่อวันที่ 30 มี.ค.ที่ผ่านมา พิสูจน์ชัดแล้วว่า เมื่อใดที่เปิดให้มีการเลือกตั้ง ชัยชนะย่อมตกเป็นของฝ่ายทักษิณ และจุดนี้เองที่ผู้เขียนและผู้ที่เข้าถึงแก่นแท้ของการเมืองเลือกตั้งได้พากันตั้งปุจฉามาโดยตลอด ถึงแนวคิดการปฏิรูปของคุณสุเทพ เทือกสุบรรณ ที่เน้นการปฏิรูปกฎกติกาการเลือกตั้ง ให้เป็นหลักประกันแก่การได้มาซึ่ง “ประชาธิปไตยที่สมบูรณ์”
มันจะเป็นไปได้อย่างไร หากทุกสิ่งทุกอย่างไปตัดสินกันในสนามเลือกตั้ง ?
ผู้เขียนไม่เชื่อเลยว่า เพียงกฎกติกาเลือกตั้ง ที่ไม่ว่าจะเข้มงวดกวดขันกันแค่ไหน จะสามารถ “ปิดประตู” การเข้าสู่อำนาจของนักการเมืองในระบอบทักษิณ เพราะคนของระบอบทักษิณมีอยู่ทั่วไปในระบบการเลือกตั้ง
ทุกอย่างจะเข้าสู่วังวนเดิมๆ คือนักการเมืองคู่แข่งในสนามเลือกตั้ง ในสายตาประชาชน จะไม่มีอะไรแตกต่างไปจากกันและกัน เพราะจะเป็นผู้สมัครหน้าเดิมๆ ใช้วาทะกรรมแบบเดิมๆ นำเสนอสิทธิผลประโยชน์ (ซื้อเสียง) แบบเดิมๆ ในที่สุด พรรคการเมืองเงินหนา นักการเมืองใหญ่ทรงอิทธิพลกว่า ก็ยึดครองสภาฯ จัดตั้งรัฐบาล ออกคำสั่งให้ทหารอยู่ในแถว ข้าราชการในกระทรวงทบวงกรมต่างๆ ก็วิ่งกันตีนขวิด สนองตอบความต้องการของนักการเมือง เพื่อตัวเองจะได้ไต่เต้าขึ้นเป็นใหญ่ ประสบความสำเร็จในชีวิตการงาน เป็นต้น
วงจรอุบาทว์ก็จะทำหน้าที่ของมันไปตามเดิม !
สรุปคือ เส้นทางของกลุ่มอำนาจและผลประโยชน์ต่างๆ ไม่อาจนำประเทศไทยพ้นจากวิกฤติได้ ไม่ว่าฝ่ายเป็นผู้กำหนด อีกฝ่ายก็จะต้องต่อต้านแบบหัวชนฝา ขณะที่คุณสุเทพ เทือกสุบรรณก็ขาดความชัดเจนในเรื่องเส้นทางการเปลี่ยนแปลงของประเทศไทย นำมวลมหาประชาชนถลำลงสู่ห้วงเหวแห่งความขัดแย้งระหว่างกลุ่มการเมืองต่างๆ ทั้งนี้ ดูได้จากแนวคิดของเขาที่ว่า ภายหลังการ “ปฏิรูป”แล้ว พรรคการเมืองที่ดี (หมายถึงพรรคประชาธิปัตย์?) จะได้เข้าสภาฯจัดตั้งรัฐบาล ประเทศไทยก็จะได้มาซึ่ง “ประชาธิปไตยที่สมบูรณ์”
ซึ่งผู้เขียนขอฟันธงว่า แนวคิดของคุณสุเทพนี้ จะไม่นำไปสู่การแก้ไขปัญหาของประเทศไทยแต่ประการใด ตรงกันข้าม กลับทำให้การแก้ไขปัญหาของประเทศไทย โดยประชาชนเป็น “เจ้าภาพ” กลายเป็นหมัน มวลมหาประชาชนที่ติดตามคุณสุเทพจะท้อแท้สิ้นหวัง
ในทัศนะของผู้เขียน ทางออกของประเทศชาติ จะต้องเป็นเส้นทางของประชาชนเท่านั้น !
ข้อสรุปนี้ ตั้งอยู่บนฐานของความเป็นจริง ที่จะพิสูจน์ได้ในบั้นปลาย
ความเป็นจริงก็คือ เมื่อประเทศเข้าสู่ทางตัน ประชาชนก็ไร้ทางออก เมื่อกลุ่มอำนาจต่างๆพากัน “ล็อกกันตาย” ประชาชนก็ต้องขวนขวายหาทางออก ซึ่งหมายถึงทางออกของประเทศชาติ ซึ่งหมายถึงว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่ดำเนินไป แม้ว่าจักเป็นไปตามเจตนารมณ์ของประชาชน แต่ก็ย่อมเป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติเสมอ เพราะผลประโยชน์ของประชาชนเป็นหนึ่งเดียวกับของประเทศชาติ
ทั้งนี้ ขบวนการประชาชนซึ่งได้รวมตัวกันเข้าเป็นจำนวนหลายล้านแล้ว สะท้อนเจตนารมณ์ร่วมกันของคนไทยทั้งชาติได้อย่างเป็นจริงแล้ว(ที่จะเปลี่ยนแปลงและปฏิรูปประเทศไทย) มีความเป็น “รัฐาธิปัตย์” สมบูรณ์แล้ว(ในฐานะมวลมหาประชาชนหลายล้านคนที่ตื่นรู้ทางการเมืองสูงสุด) จักต้องแสดงตนอย่างเด่นชัดตั้งแต่วันนี้ว่า มีความพร้อมสูงสุดในการที่จะนำพาประเทศไทยออกจากทางตัน ด้วยมาตรการที่ “ทุกฝ่าย” รับได้
นั่นคือ เปิดประชุมสภาประชาชน เลือกตัวนายกรัฐมนตรีของประชาชน และจัดตั้งรัฐบาลของประชาชน
ทั้งนี้ แกนนำ “กปปส.” ทั้งกลุ่มคุณสุเทพและคณะ กลุ่ม “คปท.”โดยคุณนิติธร ล้ำเหลือและคณะ กลุ่ม “หลวงปู่ฯ” ที่แจ้งวัฒนะ กลุ่มกองทัพธรรม และคณะเสนาธิการร่วมฯ เป็นต้น จะต้องเปิดประชุมลงมติ ดำเนินการชุมนุมมวลชนครั้งใหญ่ทั่วประเทศ ประกาศเปิดสภาประชาชนทุกจังหวัด ทำการเลือกตัวนายกฯ และจัดตั้งรัฐบาลของประชาชนขึ้นมา แล้วนำขึ้นทูลเกล้าฯขอทรงลงพระปรมาภิไธย
แล้วประเทศไทยก็จะเดินหน้าต่อไปได้ จริงๆ !