แกนนำ คปท.ชูแนวทางรณรงค์ปกป้องแผ่นดินไทย ไม่ให้แบ่งแยกประเทศ พุ่งเป้ากลุ่มทุน-ธุรกิจตระกูลชินวัตร เชื่อปาบึ้มศาลอาญาหวังข่มขู่-กดดันทหาร ด้าน “นิติธร” พอใจท่าที “พี่น้องจันทร์โอชา” หลังเอาเรื่องแดงเหิมแยกดินแดน เปรยเข้าข่ายคดีพิเศษชัด รอดูต่อมสำนึก “ธาริต” หากยังนิ่งก็มองได้ว่าพวกเดียวกัน
วันนี้ (3 มี.ค.) ความเคลื่อนไหวของเครือข่ายนักศึกษาประชาชนปฏิรูปประเทศไทย (คปท.) ที่สะพานชมัยมรุเชฐ ถนนพิษณุโลก ข้างทำเนียบรัฐบาล กลุ่มผู้ชุมนุมยังคงปักหลักชุมนุมอยู่ในที่ตั้งเพื่อรักษาพื้นที่และพักผ่อนตามอัธยาศัย ท่ามกลางการดูแลความปลอดภัยโดยรอบพื้นที่การชุมนุมยังเป็นไปอย่างเข้มงวด มีการตรวจสัมภาระและรถยนต์ของประชาชนที่เข้ามายังพื้นที่การชุมนุมด้วย เพื่อป้องกันมือที่ 3 เข้ามาสร้างสถานการณ์ โดยไม่มีการเคลื่อนไหวไปยังจุดใด
ทั้งนี้ นายอุทัย ยอดมณี ผู้ประสานงาน คปท.เปิดเผยว่า ในวันนี้ (3 มี.ค.) คณะแกนนำ คปท.มีการหารือถึงยุทธศาสตร์ การเคลื่อนไหว หลังจาก กปปส.ยุบรวมเวทีไปอยู่สวนลุมพินี โดยแนวทางเบื้องต้นจะมุ่งเน้นเรื่องของการรณรงค์ให้ประชาชนมาร่วมกันปกป้องแผ่นดินไทย ไม่ให้มีการแบ่งแยกประเทศ และคัดค้านการกระทำของคนเสื้อแดง รวมไปถึงสิ่งสำคัญจะมุ่งเป้าไปที่หัวใจหลักที่เป็นกลุ่มทุน และภาคธุรกิจของตระกูลชินวัตร อีกทั้งจะมุ่งเป้าไปที่องค์กรอิสระของต่างประเทศที่ยังมีความเชื่อว่ารัฐบาลรักษาการของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร มีความชอบธรรมซึ่งจะมีการดำเนินการเพื่อเสนอให้ยุติการสนับสนุนการดำเนินงานของรัฐบาลรักษาการดังกล่าว อย่างไรก็ตาม ในส่วนของรูปแบบการเคลื่อนไหวจะมีกำหนดอีกครั้ง โดยจะเริ่มดำเนินการขับเคลื่อนในสัปดาห์นี้ ส่วนการขว้างระเบิดใส่ศาลอาญานั้น เป็นการกระทำเพื่อข่มขู่การทำหน้าที่ของศาล และต้องการทำร้าย ข่มขู่เจ้าหน้าที่ทหารที่ดูแลพื้นที่และความปลอดภัยของประชาชน เพราะหากสร้างความรุนแรงกับเจ้าหน้าที่ทหารได้ ก็อาจจะเป็นการกดดันทหารเพื่อนำไปสู่การปฏิวัติ ซึ่งก็จะเข้าทางรัฐบาลรักษาการ และกลุ่มที่สนับสนุนรัฐบาลที่จะนำมวลชนมาต่อต้านทันที
ด้าน นายนิติธร ล้ำเหลือ ที่ปรึกษา คปท.กล่าวว่า ขอชมเชยทหารที่ดำเนินการปกป้องประเทศชาติอีกรูปแบบหนึ่งในกรณีที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบก สั่งให้ พล.ท.ปรีชา จันทร์โอชา แม่ทัพภาคที่ 3 ไปแจ้งความเอาผิดผู้ที่ขึ้นป้าย สปป.ล้านนา ส่วนกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) จะดำเนินการเอาผิดในข้อหากบฏหรือไม่นั้น ต้องดูที่จิตสำนึกของ นายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีดีเอสไอ ตนเชื่อว่านายธาริตมีความสามารถมากกว่านี้ ไม่จำเป็นต้องรอให้ใครมาฟ้องร้อง แต่ดีเอสไอสามารถทำหน้าที่ได้เองตามกฎหมายคดีพิเศษ เพราะเป็นความผิดซึ่งหน้า ตามขั้นตอนตามกฎหมายในคดีนี้ ไม่จำเป็นต้องมีผู้ร้องทุกข์อีก เพราะดีเอสไอมีฝ่ายสืบสวนสอบสวน และมีอำนาจะตาม ป.วิอาญา ในคดีพิเศษ อีกทั้งเป็นความผิดซึ่งหน้าที่ชัดเจน และมีหลักฐาน สามารถดำเนินคดีได้เอง แต่หากอธิบดีดีเอสไอ ไม่ดำเนินการ ตนมองว่า เพราะเป็นพวกเดียวกัน มีการสนับสนุนและให้ท้ายผู้กระทำผิดอย่างเต็มที่หรือไม่
