ASTVผู้จัดการรายวัน - นปช.ชุมนุมวันที่ 2 ยังหงอยไม่เลิก “ประธานตู่” ให้เตรียมตัวอีกครั้งหลังสงกรานต์ ก่อนแก้เกี้ยวท้า “สุเทพ” นัดมวลชนชุมนุมใหญ่วัน ป.ป.ช. - ศาล รธน.ลงดาบ “ยิ่งลักษณ์” ใครมากกว่าเอาประเทศไปเลย หวิดป่วนหนุ่มเสื้อแดงขว้างหินใส่ขบวน “จตุพร” จับสอบพบฉี่ม่วง “บิ๊กย้อย” แถลงจับปืน-กระท่อม-มีดแถวถนนอักษะ ด้าน คปท.ยันการ์ดไม่มีเอี่ยวยิงทหาร ขณะที่ กปปส.ให้มวลชนพัก 2 วัน ก่อนเคลื่อนบี้หน่วยราชการอีกหน 8 เม.ย.นี้
วานนี้ (6 เม.ย.) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า การชุมนุมของ กลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) ที่ปักหลักพักค้างเป็นวันที่ 2 บริเวณถนนอุทยาน หรือถนนอักษะ ย่านพุทธมณฑลสาย 4 จ.นครปฐม ตลอดทั้งคืนที่ผ่านมาเป็นไปด้วยความเรียบร้อย ขณะที่บรรยากาศในช่วงเช้า มวลชนบางส่วนยังคงพักผ่อน ปฏิบัติภารกิจส่วนตัว และรับประทานอาหารเช้า โดยมีเจ้าหน้าที่ทำความสะอาดจากเขตบางกอกน้อยกว่า 50 คนมาทำความสะอาดพื้นที่ด้วย ขณะที่กิจกรรมบนเวทีนอกเหนือจากการรายงานข่าวประจำวันแล้ว ยังได้มีแกนนำผลัดกันขึ้นปราศรัยโจมตี นายสุเทพ เทือกสุบรรณ เลขาธิการกปปส.และพล.อ.ประยุทธ์ จันโอชา ผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) และ พล.ต.อภิรัชต์ คงสมพงษ์ ผู้บัญชาการกองพลที่ 1 รักษาพระองค์ (พล. 1 รอ.) พร้อมแสดงจุดยืนยึดมั่นการคัดค้านนายกรัฐมนตรีนอกรัฐธรรมนูญ ตลอดจนการโจมตีการทำหน้าที่ขององค์กรอิสระที่ไม่เป็นกลาง และปลุกระดมมวลชนให้พร้อมต่อสู้ หาก น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร รักษาการนายกรัฐมนตรี ถูกชี้มูลความผิดจากองค์กรอิสระ สำหรับมาตรการในการรักษาความปลอดภัย ได้มีการจัดการ์ดอาสา ปฏิบัติหน้าที่ร่วมกับเจ้าหน้าที่ตำรวจดูแลรักษาความปลอดภัยอย่างเข้มงวด
ขณะที่ในช่วงบ่าย ความเคลื่อนไหวบนเวทีได้เน้นกิจกรรมสร้างความบันทิงให้แก่ผู้ชุมนุม เพื่อให้ได้ผ่อนคลายจากอากาศที่ร้อนอบอ้าว โดยมีมวลชนให้ความสนใจร่วมทำกิจกรรมที่ด้านหน้าเวทีจำนวนมากขณะที่มวลชนบางส่วนต้องหลบแดดตามเต็นท์พัก ตามร่มไม้ และจากอากาศที่ร้อนอบอ้าว ส่งผลให้มวลชนหลายรายมีอาการเป็นลมแดด เจ้าหน้าที่พยาบาลต้องเข้าปฐมพยาบาลต่อเนื่อง
***“จตุพร” ฉุน “สุเทพ” ประกาศรัฏฐาธิปัตย์
เมื่อเวลา 10.00 น. นายจตุพร พรหมพันธ์ ประธาน นปช.ได้ขึ้นเวทีปราศรัยกล่าวขอบคุณเจ้าหน้าที่ตำรวจและทหาร รวมทั้งการ์ด ในการดูแลความสงบเรียบร้อย ทำให้การชุมนุมเป็นไปด้วยความเรียบร้อยพร้อมทั้งนี้ตำหนิ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ เลขาธิการ กปปส.ที่ประกาศการเป็นรัฏฐาธิปัตย์ พร้อมประกาศจะเสนอชื่อนายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรี (ครม.) ด้วยตนเอง เรื่องนี้ประชาชนจะต้องร่วมกันต่อสู้คัดค้านโดยขอให้ผู้ชุมนุมเตรียมตัว ในห้วงเวลาหลังสงกรานต์ระหว่างวันที่ 18 เม.ย.หรืออาจจะก่อน หรือหลังเล็กน้อย ให้เตรียมตัวเคลื่อนไหวซึ่งจะเป็นการเคลื่อนไหวครั้งสุดท้ายเพื่อเดินหน้าให้บรรลุวัตถุประสงค์โดยเชื่อมั่นว่า จะไม่มีทางพ่ายแพ้แน่นอน
“ให้ทุกคนพร้อมสำหรับการชุมนุม โดยมีเวลาอีกเพียง 1 สัปดาห์ ซึ่งการต่อสู้ครั้งหน้าจะเป็นการต่อสู้ครั้งสุดท้ายเพื่อปิดบัญชีหากไม่สำเร็จ จะไม่ยุติการชุมนุม” นายจตุพรประกาศ
ขณะที่ นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ เลขาธิการ นปช. เรียกร้องให้ พล.อ.ประยุทธ์จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) ในฐานะผู้รับผิดชอบความมั่นคง ได้แสดงท่าทีต่อกรณีที่การประกาศเป็นรัฏฐาธิปัตย์ของนายสุเทพ เพราะหากนายสุเทพทำสำเร็จเท่ากับมีอำนาจเทียบเท่าผู้นำของรัฐมีอำนาจเหนือนิติบัญญัติ กองทัพจะอยู่ภายใต้นายสุเทพ คนไทย ข้าราชการสื่อมวลชนภาคส่วนต่างๆ จะต้องถูกบังคับให้ปฏิบัติตามอย่างไม่มีเงื่อนไข
“ขอถามไปยัง พล.อ.ประยุทธ์ จะยินยอมหรือมาตรการต่อต้านขัดขวางขอให้แสดงท่าทีให้ชัดเจน” นายณัฐวุฒิ กล่าว
***หนุ่มสารคามขว้างหินใส่“ประธานตู่”
จากนั้นผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายจตุพร และนายณัฐวุฒิ พร้อมด้วยแกนนำ อาทิ จ.ส.ต.ประสิทธิ์ ไชยศรีษะ อดีต ส.ส.เพื่อไทย และนายยศวริศ ชูกล่อม หรือ เจ๋ง ดอกจิก ได้เดินเท้าไปสักการะพระศรีศากยะทศพลญาณ ประธานพุทธมณฑลสุทรรศน์ หรือ หลวงพ่อใหญ่ พุทธมณฑล ซึ่งระหว่างทางที่พบปะทักทายมวลชนนั้น ก็เกิดเหตุวุ่นวายขึ้นเล็กน้อย เมื่อมีชายไม่ทราบชื่อขว้างปาก้อนหินใส่นายจตุพร การ์ด นปช.และเจ้าหน้าที่ตำรวจเข้าควบคุมตัวและนำชายคนดังกล่าวไปสอบสวนที่เต็นท์อำนวยการ ทั้งนี้ ไม่มีรายงานว่า นายจตุพรได้รับบาดเจ็บแต่อย่างใด
ภายหลังเหตุการณ์ พ.ต.อ.วิสูตร สถิตย์ ผกก.สภ.พุทธมณฑล เปิดเผยว่า จากการตรวจสอบพบผู้ก่อเหตุเป็นผู้ชุมนุมเสื้อแดงจริง ชื่อว่า นายเอกพจน์ โคทะแสง อายุ 29 ปี เป็นชาว จ.มหาสารคาม โดยพบว่าระหว่างเกิดเหตุ เจ้าตัวมีอาการโวยวาย และขณะที่กลุ่มการ์ด นปช.กำลังเดินเข้ามาเพื่อเคลียร์พื้นที่ให้นายจตุพร เข้ามาสักการะหลวงพ่อใหญ่ ทางด้านนายเอกพจน์ ได้ขว้างก้อนหินเข้าใส่การ์ดผู้ชุมนุม หลังจากนั้นการ์ดและเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงเข้าควบคุมตัวทันที
พ.ต.อ.วิสูตร กล่าวต่อว่า หลังนำตัวนายเอกพจน์ มายัง สภ.พุทธมณฑล ยังอยู่ในอาการหวาดระแวง พูดจาสับสนว่าจะมีคนมาทำร้าย จากนั้นเจ้าหน้าที่ได้ส่งตรวจปัสสาวะของนายเอกพจน์ ซึ่งพบสารเสพติดประเภท 1 ทำให้เชื่อว่าผู้ต้องหารายนี้มีอาการประสาทหลอนจากเสพยา ประจวบเหมาะกับสภาพอากาศที่ร้อน จึงก่อเหตุขว้างก้อนหินใส่การ์ด นปช.ฉะนั้นเจ้าหน้าที่จะควบคุมตัวนายเอกพจน์ และดำเนินคดีต่อไป
ขณะที่ นายจตุพร ได้กล่าวปฏิเสธว่า ไม่มีใครปาหินใส่ตัวเอง และไม่มีเหตุการณ์ใดๆเกิดขึ้น
***นัดลิ่วล้อชุมนุมใหญ่วันเดียวกับกปปส.
ต่อมาในช่วงค่ำ นายจตุพรได้ขึ้นประกาศท่าทีการเคลื่อนไหวอีกครั้งว่า ขอให้นัดหมายให้คนเสื้อแดงมาร่วมชุมนุมใหญ่อีกครั้งกันในวันที่ศาลรัฐธรรมนูญตัดสินคดีของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร รักษาการนายกรัฐมนตรี พร้อมวัดกำลังมวลชนกับกลุ่ม กปปส.ของ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ เลขาธิการ กปปส. และให้โลกตัดสินว่า มวลชนของฝ่ายใดมากกว่ากันหากใครชนะก็เอาแผ่นดินนี้ไปเลย
โดยก่อนหน้านั้นเมื่อเวลา 18.00 น. นายโรเบิร์ต อัมสเตอร์ดัม ทนายความต่างประเทศของกลุ่ม นปช.ได้สไกป์มายังเวที โดยกล่าวช่วงหนึ่งว่า ขณะนี้ทั่วโลกกำลังมองมาที่ประเทศไทย และกำลังมองเห็นว่าอะไรเกิดขึ้น เราจะต้องยืนยันว่าขณะนี้คนที่เป็นเจ้าของประเทศคือประชาชน และเราจะต้องไม่ยอมให้เครือข่ายของพรรคประชาธิปัตย์เข้ามาริดรอนอำนาจของประชาชน เราไม่สามารถให้ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ ใช้คำว่าปฏิรูปได้ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ใช้คำว่าประชาธิปไตยได้ รวมถึงตุลาการที่ออกมาเรียกตัวเองว่าเป็นศาล และ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) ที่ออกมาพูดคำว่าสันติภาพ คนของเสื้อแดงและพรรคเพื่อไทยต่างหากที่จะต้องเป็นคนพูดคำว่าปฏิรูป และสิ่งแรกที่พวกเราจะต้องทำ คือ การดำเนินการฟ้องร้องต่อศาลอาญาระหว่างประเทศ (ไอซีซี) เพราะสิ่งที่นายสุเทพประกาศเป็นรัฏฐาธิปัตย์ถือเป็นการกระทำที่ขัดหลักนิติธรรม จึงขอเตือนไปยังผู้ที่เกี่ยวข้องระวังเรื่องนี้ด้วย ทั้งนี้ เราจะส่งรายชื่อบุคคลทั้งหมดไปฟ้องรัฐสภาโลก เพื่อจะระงับการการดำเนินงานทางการเมืองในต่างประเทศของบุคคลเหล่านี้ โดยเฉพาะนายอภิสิทธิ์ที่จะเดินทางไปลอนดอนคงจะไม่ได้ไป
“เราต้องไปยืนถามคนสองคน คือ นายอภิสิทธิ์ นายสุเทพ ที่มีข้อกล่าวหาสังหารประชาชน ว่าคนเหล่านี้หรือจะมานำการปฏิรูป จะมีคนไทยคนไหนยอม คนที่มีข้อหาฆาตกรรมขัดขวางคนบริสุทธิ์ไม่ให้ไปเลือกตั้ง เราควรเรียก กปปส.ในชื่อที่แท้จริงคือ ตาลีบันหรือผู้ก่อการร้ายของอัฟานิสถาน แท้จริงแล้ว ตาลีบันของประเทศไทย เลวร้ายกว่าตาลีบันที่พวกตะวันตกรู้จักเสียอีก” นายโรเบิร์ต ระบุ
***จับปืน-กระท่อม-มีดแถวถนนอักษะ
อีกด้าน ที่ศูนย์อำนวยการรักษาความสงบเรียบร้อย (ศอ.รส.) พล.ต.อ.วรพงษ์ ชิวปรีชา รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (รอง ผบ.ตร.) กล่าวก่อนประชุม ศอ.รส.ถึงสถานการณ์การชุมนุมของ นปช.และ กปปส.ว่า การชุมนุมที่ผ่านมาตำรวจห่วงในเรื่องการเผชิญหน้า ใช้อาวุธปืนต่อสู้กันของ 2 กลุ่ม แต่ดีที่ยังไม่เกิด ในการเคลื่อนขบวนกลับ ศอ.รส.มีแผนการดูแลป้องกันเหตุแทรกซ้อนเช่นเดียวกับตอนเคลื่อนขบวนมาชุมนุม สำหรับการปราศรัยบนเวทีนั้น ศอ.รส.ได้บันทึกไว้ทั้งหมด และให้ฝ่ายกฎหมายถอดเทปคำปราศรัยตรวจสอบว่ามีการพูดหรือแสดงที่เข้าข่ายผิดกฎหมายหรือไม่
“สถานการณ์โดยรวมเป็นไปด้วยความเรียบร้อย ไม่มีเหตุเผชิญหน้าของทั้งสองฝ่าย ขณะที่การชุมนุมของ นปช.เมื่อวานนี้สามารถยึดอาวุธปืนได้ 5 กระบอก ซึ่งอยู่ระหว่างการสอบสวน และล่าสุดตรวจพบอาวุธปืนพกเพิ่มอีก 1 กระบอก และใบกระท่อมพร้อมมีดที่บริเวณหัวหน้าอักษะคาดว่าจะเข้าไปร่วมชุมนุมกับ นปช. อย่างไรก็ตามได้สั่งการกำลังที่ตั้งด่านทุกจุดให้เข้มงวดการตรวจค้นมากยิ่งขึ้น โดยทั้งทหารและตำรวจสนธิกำลังดูแลความความปลอดภัยจนจะจบการชุมนุมของกลุ่มนปช.ซึ่งยังคงมีวอร์รูมติดตามสถานการณ์จนถึงวันที่ 7 เม.ย.” พล.ต.อ.วรพงษ์กล่าว
ผู้สื่อข่าวถามว่าตำรวจประเมินสถานการณ์หลังจากการชุมนุมของ นปช.อย่างไร พล.ต.อ.วรพงษ์ กล่าวว่า ถ้ามองในแง่ดีการชุมนุมก็คงจะจบ เห็นว่าต่างฝ่ายต่างมีผู้สนับสนุนจำนวนมาก ถ้าหากไม่คุยกันให้จบ ประเทศจะอยู่กันอย่างไร ผู้เกี่ยวข้องไม่สามารถปล่อยให้เป็นอย่างนี้ต่อไปได้ ในส่วน ศอ.รส.ก็มีฝ่ายเจรจาต่อรอง เป็นชุดปฏิบัติการเข้าไปเจรจากับทุกกลุ่มทุกฝ่าย เพื่อประสานงานให้สถานการณ์ดีขึ้นมาโดยตลอด
***จัด119กองร้อยดูแลทั่วกรุงเทพฯ
สำหรับเหตุการณ์ที่ทหารถูกลอบยิงได้รับบาดเจ็บ บริเวณวัดเบญจมบพิตรฯ และการขว้างปะทัดยักษ์ในพื้นที่ คปท. ถนนพิษณุโลกนั้น รอง ผบ.ตร.กล่าวว่า ได้กำชับตำรวจท้องที่ สอบสวนข้อเท็จจริงแล้ว เบื้องต้นคาดว่าทั้ง 2 เหตุการณ์อาจจะมีความเชื่อมโยงกัน เนื่องจากเวลาเกิดเหตุใกล้เคียงกัน อย่างไรก็ตาม เจ้าหน้าที่ตำรวจ ยังเพิ่มกำลังอย่างเข้มงวด มีการตรวจค้นและตั้งด่านความมั่นคง รอบพื้นที่การชุมนุม 5 จุด ใหญ่ ประกอบด้วยกลุ่ม กปปส.ที่สวนลุมพินี กลุ่ม นปช.ถนนอักษะ กลุ่ม คปท.ถนนพิษณุโลก และกองทัพธรรม โดยมีเจ้าหน้าที่ 119 กองร้อย ดูแลความสงบทั่วกรุงเทพฯ
ขณะที่ พล.ท.ภราดร พัฒนถาบุตร เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) และในฐานะกรรมการ ศอ.รส. เปิดเผยว่า การชุมนุมของ นปช.วานนี้มีผู้ชุมนุมไม่ถึง 5 แสนคน เนื่องจากมีปัญหาด้านการเจรจา และคาดว่าวันนี้ผู้ชุมนุมอาจจะไม่ต่างจากเมื่อวานนี้ ซึ่งทางรัฐบาลจะติดตามเนื้อหาการปราศรัยของแกนนำต่อไป และก็เชื่อว่าจะไม่มีการชุมนุมยืดเยื้อ ส่วนที่แกนนำระบุว่า จะมีการชุมนุมในวันที่ 18 เม.ย.นี้อีกครั้งนั้น คาดว่าไม่น่ามีเหตุรุนแรงเกิดขึ้น เนื่องจากพื้นที่การชุมนุมไม่มีตึกสูง ทั้งนี้ ในส่วนของการชุมนุมของ กปปส.นั้น หลังจากที่ดูเนื้อหาของการประชุมแกนนำทั่วประเทศเมื่อวานนี้แล้ว ทางรัฐบาลจะเฝ้าติดตามต่อไป และยอมรับว่ามีความกังวลต่อการชุมนุมที่นายสุเทพประกาศว่า จะมีการต่อสู้อีก 15 วัน แต่หากไม่มีการเผชิญหน้า ก็คาดว่าจะไม่มีปัญหาเกิดขึ้น
***“ยะใส”วิเคราะห์เหตุเสื้อแดงเรตติ้งตก
อีกด้าน นายสุริยะใส กตะศิลา ผู้ประสานงานกลุ่มกรีน และกรรมการ กปปส.กล่าวถึงปัจจัยที่ทำให้มวลชนคนเสื้อแดงเดินทางเข้าร่วมการชุมนุมครั้งนี้ค่อนข้างน้อยว่า กลุ่มคนเสื้อแดงที่เคยสนับสนุนรัฐบาล ได้เริ่มมองเห็นความล้มเหลวการบริหารของรัฐบาล โดยเฉพาะคดีทุจริตโครงการรับจำนำข้าว และเห็นว่า พรรคเพื่อไทย เองก็ได้สูญเสียอำนาจลง ซึ่งศาลรัฐธรรมนูญอยู่ระหว่างเตรียมวินิจฉัยสถานภาพรัฐบาลพ้นรักษาการ และตั้งข้อสังเกต เป็นที่น่าแปลกใจ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ไม่มีการโฟนอิน หรือวิดีโอลิงค์เข้ามาในเวทีชุมนุม ซึ่งคาดว่าคงรอประเมินการชุมนุมเคลื่อนไหวของคนเสื้อแดง ว่า ยังมีพลังอยู่หรือไม่
“เชื่อว่าประชาชนในหลายพื้นที่ ไม่ตกเป็นเครื่องมือของการปลุกปั่นจากแกนนำ นปช.เหมือนเดิม หลังจากพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบก ในฐานะ รอง ผอ.กอ.รมน. ได้มีคำสั่งให้ กอ.รมน.ระดับจังหวัดได้ทำความเข้าใจกับมวลชนมากขึ้น ส่วนตัวมีความเป็นห่วงว่า แกนนำ นปช.อาจปรับกลยุทธ์ เน้นการเคลื่อนไหวที่มีลักษณะสุ่มเสี่ยง ยั่วยุ ข่มขู่ บุกปิดล้อม สำนักงาน ป.ป.ช. และศาลรัฐธรรมนูญ ด้วยการคุกคามไปที่ตัวกรรมการในองค์กรอิสระเหล่านั้นมากขึ้น” นายสุริยะใส กล่าว
***“อภิรัชต์”ชี้นปช.คนน้อยไม่ห่วงปะทะ
ขณะที่ พ.อ.อภิรัชต์ คงสงพงษ์ ผบ.พล.1รอ. ในฐานะผู้บัญชาการกองกำลังทหาร กล่าวภายหลังเข้าเยี่ยม จ.ส.อ.ไขยยันต์ เล็กพงษ์และ ส.ต.ประเสริฐ จันทร์ศรี ทหารสังกัด ร.29 พัน 2 รอ.ที่ถูกยิงด้วยอาวุธขณะออกลาดตระเวนรักษาความปลอดภัย บริเวณพื้นที่ซอยลิขิต ถนนราชดำเนินนอก เขตดุสิต ใกล้ที่ชุมนุมของกลุ่ม คปท.เมื่อกลางดึกคืนวันที่ 5 เม.ย.ว่า ขณะนี้ทหาร 2 นายปลอดภัยแล้ว ส่วนสาเหตุการถูกลอบยิงนั้น น่าจะมาจากการเข้าใจผิด โดยได้ไปแจ้งความที่ สน.ดุสิตแล้วเพื่อให้เจ้าหน้าที่ตำรวจดำเนินการตรวจค้นและทำแผนในพื้นที่ดังกล่าว
“วันนี้ ผบ.ทบ.ได้สั่งการกำชับให้ทหารทำการตรวจเข้มในทุกพื้นที่ ไม่ว่าจะเป็นพื้นที่การชุมนุมของนปช.ที่ ถ.อักษะ พุทธมณฑล พื้นที่การชุมนุมของคปท.บริเวณถนนพิษณุโลก ข้างทำเนียบรัฐบาล หรือแม้แต่พื้นที่ชุมนุม กปปส. สวนลุมพินี เพื่อให้เกิดความเท่าเทียมกัน ทั้งนี้เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจะเห็นได้ว่าทหารไม่ได้ถือวาวุธเข้าไปปฎิบัติหน้าที่แต่กลับถูกทำร้าย ซึ่งจะได้หมดข้อกังขาเสียทีว่า ทหารไม่มีอาวุธและไม่ได้เลือกที่จะปฎิบัติกับกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง เราอยู่เคียงข้างประชาชนทุกกลุ่มทุกฝ่ายแต่ขอให้ชุมนุมด้วยความสงบปราศจากอาวุธ” พล.ต.อภิรัชต์ กล่าว
พล.ต.อภิรัชต์ กล่าวอีกว่า จนถึงขณะนี้สถานการร์การชุมนุมของ นปช.ยังปกติไม่มีเหตุการณ์อะไร และไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง เพราะแกนนำ นปช.ประกาศว่าจะเดินทางกลับในวันนี้ รวมถึงจำนวนกลุ่มผู้ชุมนุมก็ไม่ได้มากอะไร จึงไม่มีอะไรน่าห่วง อย่างไรก็ตามจากการตั้งจุดตรวจค้นเพื่อความปลอดภัยปรากฎว่าเจ้าหน้าที่พบอาวุธปืน กระสุนปืน ระเบิดปิงปอง และมีดดาบ จำนวนหนึ่งซึ่งผู้ไม่หวังดีลักลอบนำเข้าไปในที่ชุมนุมบริเวณถนนอักษะ
***คปท.เสียใจทหารถูกยิง-ยันไม่มีเอี่ยว
สำหรับบรรยากาศการชุมนุมของกลุ่มเครือข่ายนักศึกษาประชาชนประเทศไทย (คปท.) แกนนำและผู้ชุมนุมได้ร่วมกันทำกิจกรรมทำบุญเนื่องในวันจักรี ภายในทำเนียบรัฐบาล โดยมีการนิมนต์พระสงฆ์ 9 รูป มาเจริญพระพุทธมนต์ จากนั้นคณะแกนนำ คปท.ได้ขึ้นไปอัญเชิญพระพุทธชินราชและพระไชยหลังช้าง รวม 3 องค์ ที่ได้นำไปประดิษฐานไว้บริเวณ ด้านหน้าพระพรหม บนดาดฟ้าตึกไทยคู่ฟ้า ตั้งแต่วันที่ 29 มี.ค.ที่ผ่านมา โดยได้ทำการย้ายทีมประดิษฐานใหม่ ไปยังชั้นลอยดาดฟ้า บนยอดตึกไทยคู่ฟ้า ที่เป็นจุดเดียวกับฐานของธงชาติไทย เพื่อแสดงถึงความเป็นชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ที่อยู่สูงสุดของประเทศไทย และอยู่คู่กับประเทศไทย พร้อมกันนั้น ยังได้ทำพิธีบวงสรวงพระพุทธรูปควบคู่ไปกับด้านล่างด้วย
ขณะที่นายนัสเซอร์ ยีหมะ หัวหน้าการ์ด คปท.แถลงถึงกรณีที่เจ้าหน้าที่ทหารถูกยิง ใกล้พื้นที่ชุมนุมของกลุ่ม คปท.โดยมีกระแสข่าวว่าเป็นฝีมือของการ์ด คปท.ว่า ขอแสดงความเสียใจกับทหารที่ได้รับบาดเจ็บ ซึ่งทาง คปท.จะส่งกระเช้าดอกไม้ไปเยี่ยมในฐานะที่เป็นเพื่อนบ้านกัน แต่สำหรับเหตุการณ์ดังกล่าว เริ่มมาจากเหตุเมื่อคืนที่ผ่านมา (5 เม.ย.) มีคนร้ายยิงระเบิดไม่ทราบชนิดเข้ามาที่ด่านแยกนางเลิ้ง จึงนำไปสู่เหตุที่ถนนลิขิต เมื่อเจ้าหน้าที่ทหารลาดตระเวนจึงได้ไปปะทะกับกลุ่มไม่ทราบฝ่าย
“ขอยืนยันว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นไม่ใช่ฝีมือการ์ดของ คปท. เพราะอยู่นอกพื้นที่ความรับผิดชอบ คปท.ยังไม่มีการตอบโต้ใดๆ การให้ข่าวออกมาคงเป็นการเข้าใจผิด เพราะจากการตรวจสอบบริเวณที่เกิดเหตุนั้นมืด ส่วนการที่ทหารได้ไปแจ้งความเอาผิดนั้น ก็ได้มีการประสานและอธิบายไปแล้วว่าไม่ได้เกี่ยวกับ คปท.”
ด้าน พ.ต.อ.ศุภกิจ ต่อบุญ ผกก.สน.ดุสิต พร้อมด้วย เจ้าหน้าที่ตำรวจสืบสวนสอบสวน กองบัญชาการตำรวจนครบาล และตำรวจสืบสวน สน.ดุสิต เจ้าหน้าที่กองพิสูจน์หลักฐาน และเจ้าหน้าที่ทหาร ได้ลงพื้นที่ตรวจสอบจุดเกิดเหตุ พบแจ็กเก็ตหุ้มหัวกระสุนกระจายอยู่กว่า 18 จุด และพบหัวกระสุน ขนาด 11 มม. จำนวน 1 หัว ก่อนเปิดเผยว่า จากการตรวจสอบที่เกิดเหตุ ซึ่งเบื้องต้นยังไม่ยืนว่าผู้ก่อเหตุเป็นการ์ด คปท.หรือไม่ เนื่องจากจุดเกิดเหตุเป็นช่วงเวลาที่สภาพพื้นที่ มืด ไม่มีแสงสว่าง จึงไม่สามารถมองเห็นผู้ยิงได้ และกล้องวงจรปิดไม่สามารถใช้งานได้ ทั้งนี้ ตนได้รายงานข้อมูลไปยัง พล.ต.อ.วรพงษ์ ชิวปรีชา รอง ผบ.ตร.ซึ่งจะเป็นผู้รับผิดชอบในคดีนี้แล้ว
***กปปส.นิ่งในที่ตั้ง-เคลื่อนอีกที 8 เม.ย.
วันเดียวกัน ทางด้านการชุมนุมของ กปปส.ที่สวนลุมพินี มีประชาชนมาร่วมชุมนุมท่ามกลางสภาพอากาศที่ร้อนอบอ้าว ซึ่งส่วนใหญ่พักภายในเต๊นท์ และกางร่มบริเวณหน้าเวที ขณะที่บนเวทีปราศรัย มีการปราศรัยโจมตีการทำงานของรัฐบาล และเจ้าหน้าที่ตำรวจ โดยเฉพาะประเด็นการอำนวยความสะดวกการชุมนุมของ นปช.และการจับคนร้ายที่ก่อเหตุความรุนแรงในการชุมนุม ไม่มีความคืบหน้า สลับกับการแสดงดนตรี เพื่อสร้างบรรยากาศการชุมนุม และมีกิจกรรมให้ผู้ร่วมชุมนุม ร่วมเสวนาแสดงความคิดเห็นการปฏิรูปประเทศในประเด็นต่างๆ และเชิญชวนให้ข้าราชการและประชาชนออกมาต่อสู้ร่วมกับกลุ่ม กปปส. สำหรับการรักษาความปลอดภัยพื้นที่ชุมนุม เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยกลุ่มผู้ชุมนุม ได้ตรวจสอบผู้เข้าร่วมชุมนุม และมีการลาดตระเวนยังจุดต่างๆรอบพื้นที่
ผู้สื่อข่าวรายงานด้วยว่า ขณะนี้ได้มีมวลชน กปปส.บางส่วนหอบกระเป๋าสัมภาระเดินทางกลับต่างจังหวัด หลังจากร่วมเดินขบวนครั้งใหญ่เมื่อวันที่ 29 มี.ค.ที่ผ่านมา โดยกลับไปเตรียมตัวให้พร้อมกับการเคลื่อนไหวในวันเผด็จศึก ขณะที่มวลชนบางส่วนเดินทางพร้อมด้วยสัมภาระเข้าพื้นที่ชุมนุม สลับหมุนเวียนกันด้วย
โดย นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ โฆษก กปปส. กล่าวว่า แกนนำได้หารือแล้วเห็นว่า จะให้มวลชนพักผ่อนในพื้นที่การชุมนุม โดยไม่เคลื่อนขบวนดาวกระจายไปไหน เนื่องจากเป็นช่วงการชุมนุมของกลุ่ม นปช. ที่จัดชุมนุมระหว่างวันที่ 5-7 เม.ย. เพราะหากมีการเคลื่อนขบวนมวลชนออกไปทำกิจกรรม ก็อาจถูกกล่าวอ้างต่างๆ โดยเฉพาะหากเกิดเหตุการณ์ไม่พึงประสงค์ขึ้น ก็จะถูกกล่าวหาว่า กลุ่ม กปปส.ยั่วยุ ดังนั้น จึงสรุปให้มวลชนพักในที่ตั้ง รวม 2 วัน คือ วันที่ 6-7 เม.ย. ส่วนกิจกรรมในวันที่ 8 เม.ย. เมื่อราชการเปิดทำงานแล้ว จะหารืออีกครั้งว่า กปปส. จะเคลื่อนไหวทำกิจกรรมใดต่อไป
***เย้ย นปช.ที่อักษะเต็มที่แค่ 2 หมื่น
นายเอกนัฏ ยังได้กล่าวถึง การชุมนุมของกลุ่ม นปช.ด้วยว่า ได้คำนวณตัวเลขในช่วงยอดการชุมนุมสูงสุด จากภาพมุมสูงและพื้นที่การชุมนุม แล้ว เชื่อว่ามีผู้มาชุมนุมประมาณ 2 หมื่นคน แต่จากการประเมินตัวเลขของ สมช.และ สตช.จะมีความคลาดเคลื่อนจากความจริงมาก เพราะจากพฤติกรรมของ สมช. และ สตช. จะประเมินตัวเลขผู้ชุมนุมทั้ง 2 ฝ่าย คลาดเคลื่อนไปจากความจริง โดยจะประเมินผู้ชุมนุมของ นปช.ให้สูง แต่จะประเมินผู้ชุมนุมของกลุ่ม กปปส.ต่ำมาก โดยตลอด
นายเอกนัฏ กล่าวต่อว่า ส่วนที่เวทีการชุมนุมของ นปช.ที่ได้กล่าวโจมตีกลุ่ม กปปส.นั้น เราไม่ได้ให้ราคากับการโจมตีของ นปช. เพราะทั้งหมดเป็นยุทธศาสตร์ของระบอบทักษิณ เพื่อสร้างสถานการณ์เพื่อให้เห็นว่า เป็นการแคลื่อนไหว เป็นการต่อสู้ระหว่างประชาชนกับประชาชนทั้งสองกลุ่ม ทั้งที่เราออกมาแสดงออกถึงสิทธิทางการเมือง แต่ระบอบทักษิณต้องการปลุกปั่นเพื่อระดมคนเสื้อแดง เป็นเครื่องมือเพื่อให้กลุ่ม นปช.และ กปปส.ตอบโต้กัน ทั้งที่ความจริงเป็นการต่อสู้ระหว่างภาคประชาชนกับระบอบทักษิณเท่านั้น
“ หากรัฐบาลไม่ยอมรับอำนาจการตรวจสอบขององค์กรอิสระ และศาลรัฐธรรมนูญ ทั้งที่ทำหน้าที่ถูกต้องตามที่รัฐธรรมนูญบัญญัติไว้ และเป็นองค์กรเหล่านี้เป็นไปตามระบบการปกครองสำคัญภายใต้รัฐธรรมนูญ ก็เท่ากับว่า รัฐบาลได้ทำลายระบอบประชาธิปไตยไปแล้ว ทำให้ กปปส.ต้องมาออกมาเคลื่อนไหวใหญ่อีกครั้ง เพื่อมาปกป้อง รักษารัฐธรรมนูญ และองค์กรอิสระในระบอบประชาธิปไตย” โฆษก กปปส.ระบุ
นายเอกนัฏ กล่าวย้ำว่า กปปส.จะเคลื่อนไหวครั้งต่อไปในวันอังคารที่ 8 เม.ย. โดยจะเดินหน้าเชิญชวนข้าราชการประจำ ให้เลิกรับใช้ระบอบทักษิณ ซึ่ง กปปส.ก็ยินดีจะเจรจากับข้าราชการ ในการเปิดสถานที่ราชการต่างๆ แต่มีข้อแม้ว่า สถานที่ราชการต้องติดป้ายแสดงเจตนารมณ์ว่าพร้อมปฏิรูปประเทศไทย หยุดรับใช้ระบอบทักษิณ และปฏิเสธไม่ให้รัฐมนตรีเข้ามามีอิทธิพลบงการราชการได้
เมื่อถามว่า การที่ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ เลขาธิการ กปปส. ระบุว่าจะเป็นรัฏฐาธิปัตย์เอง จะทำให้เกิดปัญหาขึ้นหรือไม่ นายเอกนัฏ กล่าวว่า จุดสำคัญอยู่ที่เงื่อนไขของรัฐบาล ถ้ารัฐบาลไม่เคารพคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ และ ป.ป.ช. หรือองค์กรอิสระ ตามรัฐธรรมนูญ หรือถ้าต้องสิ้นสภาพความเป็นรัฐบาลจากคำตัดสินดังกล่าว ประชาชนก็มีสิทธิที่จะมาทวงอำนาจคืนจากรัฐบาลเถื่อน ซึ่งในรัฐธรรมนูญมาตรา 3 ก็ระบุชัดเจนว่า อำนาจอธิปไตยเป็นของปวงชนชาวไทย ส่วนใครจะใช้กรณีนี้ว่า อะไรก็แล้วแต่ แต่ประชาชนก็เข้าใจดีว่าเป็นอย่างไร เพราะถ้ารัฐบาลไม่เคารพคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ ก็เท่ากับไม่เคารพกฎหมายไปด้วย
***ขู่ฟ้องศาลรธน.“เทือก”ตั้งรัฐฏาธิปัตย์
ทางด้านพรรคเพื่อไทย นายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ โฆษกพรรคเพื่อไทย แถลงกรณีนายสุเทพ เทือกสุบรรณ เลขาธิการกปปส. ประกาศเป็นองค์รัฐฎาธิปัตย์ จะนำรายชื่อนายกรัฐมนตรีขึ้นทูลเกล้าฯว่า เป็นการสะท้อนธาตุแท้ของนายสุเทพที่ละเมิดกฎหมาย และกระทำก้าวล่วงพระราชอำนาจ นายสุเทพไม่เคยเห็นประชาธิปไตยอยู่ในสายตา และไม่เคยเห็นความสำคัญของประชาชน ทราบว่า นายสุเทพมีการประชุมวางแผนกับบุคคสำคัญที่โรงแรงแห่งหนึ่ง ย่านสุขุมวิท มีการวางแผนกำหนดตัวนายกรัฐมนตรีคนกลางไว้สามคนคือ นาย พ. นายอ. และพลเอก ป. ดังนั้นฝ่ายกฎหมายพรรคเพื่อไทยจะรวบรวมหลักฐานยื่นร้องต่อกองปราบปรามในสัปดาห์หน้า และจะร้องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยการกระทำของนายสุเทพเป็นการล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตย จากการประเมินสถานการณ์การชุมนุมของทั้งสองกลุ่ม คาดว่า จะมีความเข้มข้นหลังเทศกาลสงกรานต์ โดยเฉพาะหากศาลและองค์กรอิสระดำเนินการให้นายกฯและรัฐบาลพ้นจากหน้าที่ จะมีกระบวนการรัฐฎาธิปัตย์เกิดขึ้นทันที เมื่อถึงวันนั้นคนไทยบางส่วนจะไม่ยอมให้นายสุเทพล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยแน่นอน อยากแนะนำให้นายสุเทพไปตรวจสุขภาพจิตว่าปกติดดีหรือไม่ ที่จะตั้งตนเป็นรัฐฎาธิปัตย์ ความคิดของนายสุเทพวันนี้ ไม่ต่างจากฮิตเลอร์ที่เป็นเผด็จการมากกว่าประชาธิปไตย
***“โอ๊คอ๊าค”สับแก๊งค์ปล้นอำนาจ ปชช.
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายพานทองแท้ ชินวัตร บุตรชาย พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นักโทษคดีอาญาหนีคำพิพากษาศาลจำคุก 2 ปีไปต่างประเทศ โพสต์ข้อความลงเฟซบุ๊คเพจชื่อ “Oak Phanthongtae Shinawatra” โจมตีนายสุเทพ เทือกสุบรรณ เลขาธิการ กปปส. กล่าวหาว่า เป็นหัวหน้ากบฏโจร ที่รวมหัวกับองค์กรอิสระบางองค์กร เป็นแก๊งค์ปล้นอำนาจประชาชน บังหน้าด้วยการขายฝันปฏิรูปประเทศไทย รวมทั้งโจมตีพรรคประชาธิปัตย์ว่ามีส่วนร่วม และอาจจะได้เปรียบพรรคการเมืองอื่นๆ
นายพานทองแท้ กล่าวว่า การประกาศตัวเองเป็นรัฏฐาธิปัตย์ ของนายสุเทพ หากมีการดำเนินการสำเร็จ จะมีการดำเนินการในเรื่องของการยึดทรัพย์ตระกูลชินวัตร แต่งตั้งนายกรัฐมนตรี และคณะรัฐมนตรี โดยนายสุเทพจะนำรายชื่อขึ้นทูลเกล้าฯ เพื่อให้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงลงพระปรมาภิไธย และจะเป็นผู้รับสนอง พระบรมราชโองการเอง รวมทั้งแต่งตั้งสภานิติบัญญัติขึ้นเอง เพื่อปฏิรูปประเทศ, แก้ไขรัฐธรรมนูญและกฎหมายอื่นๆ เมื่อทำทุกอย่างเสร็จสิ้นแล้วจึงจะยอมให้มีการเลือกตั้ง
“ในระยะยาวเชื่อว่า พรรคประชาธิปัตย์จะเสียคะแนนเสียงเยอะครับ ถ้าการสู้กันทางความคิดครั้งนี้ หากระบอบประชาธิปไตย พ่ายแพ้ต่อระบอบอำมาตยาธิปไตยอีกครั้ง ประเทศไทยจะกลายเป็นประเทศที่เจริญรั้งท้ายบนเวทีโลก ไปร่วมประชุมที่ไหนนายกฯไทยก็ต้องไปยืนห่อเหี่ยว ไม่สง่าผ่าเผยเหมือนกับประเทศประชาธิปไตย ที่นายกฯมาจากการเลือกตั้ง คนไทยเตรียมอับอายชาวโลกกันอีกครั้งได้เลย”.
วานนี้ (6 เม.ย.) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า การชุมนุมของ กลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) ที่ปักหลักพักค้างเป็นวันที่ 2 บริเวณถนนอุทยาน หรือถนนอักษะ ย่านพุทธมณฑลสาย 4 จ.นครปฐม ตลอดทั้งคืนที่ผ่านมาเป็นไปด้วยความเรียบร้อย ขณะที่บรรยากาศในช่วงเช้า มวลชนบางส่วนยังคงพักผ่อน ปฏิบัติภารกิจส่วนตัว และรับประทานอาหารเช้า โดยมีเจ้าหน้าที่ทำความสะอาดจากเขตบางกอกน้อยกว่า 50 คนมาทำความสะอาดพื้นที่ด้วย ขณะที่กิจกรรมบนเวทีนอกเหนือจากการรายงานข่าวประจำวันแล้ว ยังได้มีแกนนำผลัดกันขึ้นปราศรัยโจมตี นายสุเทพ เทือกสุบรรณ เลขาธิการกปปส.และพล.อ.ประยุทธ์ จันโอชา ผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) และ พล.ต.อภิรัชต์ คงสมพงษ์ ผู้บัญชาการกองพลที่ 1 รักษาพระองค์ (พล. 1 รอ.) พร้อมแสดงจุดยืนยึดมั่นการคัดค้านนายกรัฐมนตรีนอกรัฐธรรมนูญ ตลอดจนการโจมตีการทำหน้าที่ขององค์กรอิสระที่ไม่เป็นกลาง และปลุกระดมมวลชนให้พร้อมต่อสู้ หาก น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร รักษาการนายกรัฐมนตรี ถูกชี้มูลความผิดจากองค์กรอิสระ สำหรับมาตรการในการรักษาความปลอดภัย ได้มีการจัดการ์ดอาสา ปฏิบัติหน้าที่ร่วมกับเจ้าหน้าที่ตำรวจดูแลรักษาความปลอดภัยอย่างเข้มงวด
ขณะที่ในช่วงบ่าย ความเคลื่อนไหวบนเวทีได้เน้นกิจกรรมสร้างความบันทิงให้แก่ผู้ชุมนุม เพื่อให้ได้ผ่อนคลายจากอากาศที่ร้อนอบอ้าว โดยมีมวลชนให้ความสนใจร่วมทำกิจกรรมที่ด้านหน้าเวทีจำนวนมากขณะที่มวลชนบางส่วนต้องหลบแดดตามเต็นท์พัก ตามร่มไม้ และจากอากาศที่ร้อนอบอ้าว ส่งผลให้มวลชนหลายรายมีอาการเป็นลมแดด เจ้าหน้าที่พยาบาลต้องเข้าปฐมพยาบาลต่อเนื่อง
***“จตุพร” ฉุน “สุเทพ” ประกาศรัฏฐาธิปัตย์
เมื่อเวลา 10.00 น. นายจตุพร พรหมพันธ์ ประธาน นปช.ได้ขึ้นเวทีปราศรัยกล่าวขอบคุณเจ้าหน้าที่ตำรวจและทหาร รวมทั้งการ์ด ในการดูแลความสงบเรียบร้อย ทำให้การชุมนุมเป็นไปด้วยความเรียบร้อยพร้อมทั้งนี้ตำหนิ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ เลขาธิการ กปปส.ที่ประกาศการเป็นรัฏฐาธิปัตย์ พร้อมประกาศจะเสนอชื่อนายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรี (ครม.) ด้วยตนเอง เรื่องนี้ประชาชนจะต้องร่วมกันต่อสู้คัดค้านโดยขอให้ผู้ชุมนุมเตรียมตัว ในห้วงเวลาหลังสงกรานต์ระหว่างวันที่ 18 เม.ย.หรืออาจจะก่อน หรือหลังเล็กน้อย ให้เตรียมตัวเคลื่อนไหวซึ่งจะเป็นการเคลื่อนไหวครั้งสุดท้ายเพื่อเดินหน้าให้บรรลุวัตถุประสงค์โดยเชื่อมั่นว่า จะไม่มีทางพ่ายแพ้แน่นอน
“ให้ทุกคนพร้อมสำหรับการชุมนุม โดยมีเวลาอีกเพียง 1 สัปดาห์ ซึ่งการต่อสู้ครั้งหน้าจะเป็นการต่อสู้ครั้งสุดท้ายเพื่อปิดบัญชีหากไม่สำเร็จ จะไม่ยุติการชุมนุม” นายจตุพรประกาศ
ขณะที่ นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ เลขาธิการ นปช. เรียกร้องให้ พล.อ.ประยุทธ์จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) ในฐานะผู้รับผิดชอบความมั่นคง ได้แสดงท่าทีต่อกรณีที่การประกาศเป็นรัฏฐาธิปัตย์ของนายสุเทพ เพราะหากนายสุเทพทำสำเร็จเท่ากับมีอำนาจเทียบเท่าผู้นำของรัฐมีอำนาจเหนือนิติบัญญัติ กองทัพจะอยู่ภายใต้นายสุเทพ คนไทย ข้าราชการสื่อมวลชนภาคส่วนต่างๆ จะต้องถูกบังคับให้ปฏิบัติตามอย่างไม่มีเงื่อนไข
“ขอถามไปยัง พล.อ.ประยุทธ์ จะยินยอมหรือมาตรการต่อต้านขัดขวางขอให้แสดงท่าทีให้ชัดเจน” นายณัฐวุฒิ กล่าว
***หนุ่มสารคามขว้างหินใส่“ประธานตู่”
จากนั้นผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายจตุพร และนายณัฐวุฒิ พร้อมด้วยแกนนำ อาทิ จ.ส.ต.ประสิทธิ์ ไชยศรีษะ อดีต ส.ส.เพื่อไทย และนายยศวริศ ชูกล่อม หรือ เจ๋ง ดอกจิก ได้เดินเท้าไปสักการะพระศรีศากยะทศพลญาณ ประธานพุทธมณฑลสุทรรศน์ หรือ หลวงพ่อใหญ่ พุทธมณฑล ซึ่งระหว่างทางที่พบปะทักทายมวลชนนั้น ก็เกิดเหตุวุ่นวายขึ้นเล็กน้อย เมื่อมีชายไม่ทราบชื่อขว้างปาก้อนหินใส่นายจตุพร การ์ด นปช.และเจ้าหน้าที่ตำรวจเข้าควบคุมตัวและนำชายคนดังกล่าวไปสอบสวนที่เต็นท์อำนวยการ ทั้งนี้ ไม่มีรายงานว่า นายจตุพรได้รับบาดเจ็บแต่อย่างใด
ภายหลังเหตุการณ์ พ.ต.อ.วิสูตร สถิตย์ ผกก.สภ.พุทธมณฑล เปิดเผยว่า จากการตรวจสอบพบผู้ก่อเหตุเป็นผู้ชุมนุมเสื้อแดงจริง ชื่อว่า นายเอกพจน์ โคทะแสง อายุ 29 ปี เป็นชาว จ.มหาสารคาม โดยพบว่าระหว่างเกิดเหตุ เจ้าตัวมีอาการโวยวาย และขณะที่กลุ่มการ์ด นปช.กำลังเดินเข้ามาเพื่อเคลียร์พื้นที่ให้นายจตุพร เข้ามาสักการะหลวงพ่อใหญ่ ทางด้านนายเอกพจน์ ได้ขว้างก้อนหินเข้าใส่การ์ดผู้ชุมนุม หลังจากนั้นการ์ดและเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงเข้าควบคุมตัวทันที
พ.ต.อ.วิสูตร กล่าวต่อว่า หลังนำตัวนายเอกพจน์ มายัง สภ.พุทธมณฑล ยังอยู่ในอาการหวาดระแวง พูดจาสับสนว่าจะมีคนมาทำร้าย จากนั้นเจ้าหน้าที่ได้ส่งตรวจปัสสาวะของนายเอกพจน์ ซึ่งพบสารเสพติดประเภท 1 ทำให้เชื่อว่าผู้ต้องหารายนี้มีอาการประสาทหลอนจากเสพยา ประจวบเหมาะกับสภาพอากาศที่ร้อน จึงก่อเหตุขว้างก้อนหินใส่การ์ด นปช.ฉะนั้นเจ้าหน้าที่จะควบคุมตัวนายเอกพจน์ และดำเนินคดีต่อไป
ขณะที่ นายจตุพร ได้กล่าวปฏิเสธว่า ไม่มีใครปาหินใส่ตัวเอง และไม่มีเหตุการณ์ใดๆเกิดขึ้น
***นัดลิ่วล้อชุมนุมใหญ่วันเดียวกับกปปส.
ต่อมาในช่วงค่ำ นายจตุพรได้ขึ้นประกาศท่าทีการเคลื่อนไหวอีกครั้งว่า ขอให้นัดหมายให้คนเสื้อแดงมาร่วมชุมนุมใหญ่อีกครั้งกันในวันที่ศาลรัฐธรรมนูญตัดสินคดีของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร รักษาการนายกรัฐมนตรี พร้อมวัดกำลังมวลชนกับกลุ่ม กปปส.ของ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ เลขาธิการ กปปส. และให้โลกตัดสินว่า มวลชนของฝ่ายใดมากกว่ากันหากใครชนะก็เอาแผ่นดินนี้ไปเลย
โดยก่อนหน้านั้นเมื่อเวลา 18.00 น. นายโรเบิร์ต อัมสเตอร์ดัม ทนายความต่างประเทศของกลุ่ม นปช.ได้สไกป์มายังเวที โดยกล่าวช่วงหนึ่งว่า ขณะนี้ทั่วโลกกำลังมองมาที่ประเทศไทย และกำลังมองเห็นว่าอะไรเกิดขึ้น เราจะต้องยืนยันว่าขณะนี้คนที่เป็นเจ้าของประเทศคือประชาชน และเราจะต้องไม่ยอมให้เครือข่ายของพรรคประชาธิปัตย์เข้ามาริดรอนอำนาจของประชาชน เราไม่สามารถให้ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ ใช้คำว่าปฏิรูปได้ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ใช้คำว่าประชาธิปไตยได้ รวมถึงตุลาการที่ออกมาเรียกตัวเองว่าเป็นศาล และ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) ที่ออกมาพูดคำว่าสันติภาพ คนของเสื้อแดงและพรรคเพื่อไทยต่างหากที่จะต้องเป็นคนพูดคำว่าปฏิรูป และสิ่งแรกที่พวกเราจะต้องทำ คือ การดำเนินการฟ้องร้องต่อศาลอาญาระหว่างประเทศ (ไอซีซี) เพราะสิ่งที่นายสุเทพประกาศเป็นรัฏฐาธิปัตย์ถือเป็นการกระทำที่ขัดหลักนิติธรรม จึงขอเตือนไปยังผู้ที่เกี่ยวข้องระวังเรื่องนี้ด้วย ทั้งนี้ เราจะส่งรายชื่อบุคคลทั้งหมดไปฟ้องรัฐสภาโลก เพื่อจะระงับการการดำเนินงานทางการเมืองในต่างประเทศของบุคคลเหล่านี้ โดยเฉพาะนายอภิสิทธิ์ที่จะเดินทางไปลอนดอนคงจะไม่ได้ไป
“เราต้องไปยืนถามคนสองคน คือ นายอภิสิทธิ์ นายสุเทพ ที่มีข้อกล่าวหาสังหารประชาชน ว่าคนเหล่านี้หรือจะมานำการปฏิรูป จะมีคนไทยคนไหนยอม คนที่มีข้อหาฆาตกรรมขัดขวางคนบริสุทธิ์ไม่ให้ไปเลือกตั้ง เราควรเรียก กปปส.ในชื่อที่แท้จริงคือ ตาลีบันหรือผู้ก่อการร้ายของอัฟานิสถาน แท้จริงแล้ว ตาลีบันของประเทศไทย เลวร้ายกว่าตาลีบันที่พวกตะวันตกรู้จักเสียอีก” นายโรเบิร์ต ระบุ
***จับปืน-กระท่อม-มีดแถวถนนอักษะ
อีกด้าน ที่ศูนย์อำนวยการรักษาความสงบเรียบร้อย (ศอ.รส.) พล.ต.อ.วรพงษ์ ชิวปรีชา รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (รอง ผบ.ตร.) กล่าวก่อนประชุม ศอ.รส.ถึงสถานการณ์การชุมนุมของ นปช.และ กปปส.ว่า การชุมนุมที่ผ่านมาตำรวจห่วงในเรื่องการเผชิญหน้า ใช้อาวุธปืนต่อสู้กันของ 2 กลุ่ม แต่ดีที่ยังไม่เกิด ในการเคลื่อนขบวนกลับ ศอ.รส.มีแผนการดูแลป้องกันเหตุแทรกซ้อนเช่นเดียวกับตอนเคลื่อนขบวนมาชุมนุม สำหรับการปราศรัยบนเวทีนั้น ศอ.รส.ได้บันทึกไว้ทั้งหมด และให้ฝ่ายกฎหมายถอดเทปคำปราศรัยตรวจสอบว่ามีการพูดหรือแสดงที่เข้าข่ายผิดกฎหมายหรือไม่
“สถานการณ์โดยรวมเป็นไปด้วยความเรียบร้อย ไม่มีเหตุเผชิญหน้าของทั้งสองฝ่าย ขณะที่การชุมนุมของ นปช.เมื่อวานนี้สามารถยึดอาวุธปืนได้ 5 กระบอก ซึ่งอยู่ระหว่างการสอบสวน และล่าสุดตรวจพบอาวุธปืนพกเพิ่มอีก 1 กระบอก และใบกระท่อมพร้อมมีดที่บริเวณหัวหน้าอักษะคาดว่าจะเข้าไปร่วมชุมนุมกับ นปช. อย่างไรก็ตามได้สั่งการกำลังที่ตั้งด่านทุกจุดให้เข้มงวดการตรวจค้นมากยิ่งขึ้น โดยทั้งทหารและตำรวจสนธิกำลังดูแลความความปลอดภัยจนจะจบการชุมนุมของกลุ่มนปช.ซึ่งยังคงมีวอร์รูมติดตามสถานการณ์จนถึงวันที่ 7 เม.ย.” พล.ต.อ.วรพงษ์กล่าว
ผู้สื่อข่าวถามว่าตำรวจประเมินสถานการณ์หลังจากการชุมนุมของ นปช.อย่างไร พล.ต.อ.วรพงษ์ กล่าวว่า ถ้ามองในแง่ดีการชุมนุมก็คงจะจบ เห็นว่าต่างฝ่ายต่างมีผู้สนับสนุนจำนวนมาก ถ้าหากไม่คุยกันให้จบ ประเทศจะอยู่กันอย่างไร ผู้เกี่ยวข้องไม่สามารถปล่อยให้เป็นอย่างนี้ต่อไปได้ ในส่วน ศอ.รส.ก็มีฝ่ายเจรจาต่อรอง เป็นชุดปฏิบัติการเข้าไปเจรจากับทุกกลุ่มทุกฝ่าย เพื่อประสานงานให้สถานการณ์ดีขึ้นมาโดยตลอด
***จัด119กองร้อยดูแลทั่วกรุงเทพฯ
สำหรับเหตุการณ์ที่ทหารถูกลอบยิงได้รับบาดเจ็บ บริเวณวัดเบญจมบพิตรฯ และการขว้างปะทัดยักษ์ในพื้นที่ คปท. ถนนพิษณุโลกนั้น รอง ผบ.ตร.กล่าวว่า ได้กำชับตำรวจท้องที่ สอบสวนข้อเท็จจริงแล้ว เบื้องต้นคาดว่าทั้ง 2 เหตุการณ์อาจจะมีความเชื่อมโยงกัน เนื่องจากเวลาเกิดเหตุใกล้เคียงกัน อย่างไรก็ตาม เจ้าหน้าที่ตำรวจ ยังเพิ่มกำลังอย่างเข้มงวด มีการตรวจค้นและตั้งด่านความมั่นคง รอบพื้นที่การชุมนุม 5 จุด ใหญ่ ประกอบด้วยกลุ่ม กปปส.ที่สวนลุมพินี กลุ่ม นปช.ถนนอักษะ กลุ่ม คปท.ถนนพิษณุโลก และกองทัพธรรม โดยมีเจ้าหน้าที่ 119 กองร้อย ดูแลความสงบทั่วกรุงเทพฯ
ขณะที่ พล.ท.ภราดร พัฒนถาบุตร เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) และในฐานะกรรมการ ศอ.รส. เปิดเผยว่า การชุมนุมของ นปช.วานนี้มีผู้ชุมนุมไม่ถึง 5 แสนคน เนื่องจากมีปัญหาด้านการเจรจา และคาดว่าวันนี้ผู้ชุมนุมอาจจะไม่ต่างจากเมื่อวานนี้ ซึ่งทางรัฐบาลจะติดตามเนื้อหาการปราศรัยของแกนนำต่อไป และก็เชื่อว่าจะไม่มีการชุมนุมยืดเยื้อ ส่วนที่แกนนำระบุว่า จะมีการชุมนุมในวันที่ 18 เม.ย.นี้อีกครั้งนั้น คาดว่าไม่น่ามีเหตุรุนแรงเกิดขึ้น เนื่องจากพื้นที่การชุมนุมไม่มีตึกสูง ทั้งนี้ ในส่วนของการชุมนุมของ กปปส.นั้น หลังจากที่ดูเนื้อหาของการประชุมแกนนำทั่วประเทศเมื่อวานนี้แล้ว ทางรัฐบาลจะเฝ้าติดตามต่อไป และยอมรับว่ามีความกังวลต่อการชุมนุมที่นายสุเทพประกาศว่า จะมีการต่อสู้อีก 15 วัน แต่หากไม่มีการเผชิญหน้า ก็คาดว่าจะไม่มีปัญหาเกิดขึ้น
***“ยะใส”วิเคราะห์เหตุเสื้อแดงเรตติ้งตก
อีกด้าน นายสุริยะใส กตะศิลา ผู้ประสานงานกลุ่มกรีน และกรรมการ กปปส.กล่าวถึงปัจจัยที่ทำให้มวลชนคนเสื้อแดงเดินทางเข้าร่วมการชุมนุมครั้งนี้ค่อนข้างน้อยว่า กลุ่มคนเสื้อแดงที่เคยสนับสนุนรัฐบาล ได้เริ่มมองเห็นความล้มเหลวการบริหารของรัฐบาล โดยเฉพาะคดีทุจริตโครงการรับจำนำข้าว และเห็นว่า พรรคเพื่อไทย เองก็ได้สูญเสียอำนาจลง ซึ่งศาลรัฐธรรมนูญอยู่ระหว่างเตรียมวินิจฉัยสถานภาพรัฐบาลพ้นรักษาการ และตั้งข้อสังเกต เป็นที่น่าแปลกใจ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ไม่มีการโฟนอิน หรือวิดีโอลิงค์เข้ามาในเวทีชุมนุม ซึ่งคาดว่าคงรอประเมินการชุมนุมเคลื่อนไหวของคนเสื้อแดง ว่า ยังมีพลังอยู่หรือไม่
“เชื่อว่าประชาชนในหลายพื้นที่ ไม่ตกเป็นเครื่องมือของการปลุกปั่นจากแกนนำ นปช.เหมือนเดิม หลังจากพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบก ในฐานะ รอง ผอ.กอ.รมน. ได้มีคำสั่งให้ กอ.รมน.ระดับจังหวัดได้ทำความเข้าใจกับมวลชนมากขึ้น ส่วนตัวมีความเป็นห่วงว่า แกนนำ นปช.อาจปรับกลยุทธ์ เน้นการเคลื่อนไหวที่มีลักษณะสุ่มเสี่ยง ยั่วยุ ข่มขู่ บุกปิดล้อม สำนักงาน ป.ป.ช. และศาลรัฐธรรมนูญ ด้วยการคุกคามไปที่ตัวกรรมการในองค์กรอิสระเหล่านั้นมากขึ้น” นายสุริยะใส กล่าว
***“อภิรัชต์”ชี้นปช.คนน้อยไม่ห่วงปะทะ
ขณะที่ พ.อ.อภิรัชต์ คงสงพงษ์ ผบ.พล.1รอ. ในฐานะผู้บัญชาการกองกำลังทหาร กล่าวภายหลังเข้าเยี่ยม จ.ส.อ.ไขยยันต์ เล็กพงษ์และ ส.ต.ประเสริฐ จันทร์ศรี ทหารสังกัด ร.29 พัน 2 รอ.ที่ถูกยิงด้วยอาวุธขณะออกลาดตระเวนรักษาความปลอดภัย บริเวณพื้นที่ซอยลิขิต ถนนราชดำเนินนอก เขตดุสิต ใกล้ที่ชุมนุมของกลุ่ม คปท.เมื่อกลางดึกคืนวันที่ 5 เม.ย.ว่า ขณะนี้ทหาร 2 นายปลอดภัยแล้ว ส่วนสาเหตุการถูกลอบยิงนั้น น่าจะมาจากการเข้าใจผิด โดยได้ไปแจ้งความที่ สน.ดุสิตแล้วเพื่อให้เจ้าหน้าที่ตำรวจดำเนินการตรวจค้นและทำแผนในพื้นที่ดังกล่าว
“วันนี้ ผบ.ทบ.ได้สั่งการกำชับให้ทหารทำการตรวจเข้มในทุกพื้นที่ ไม่ว่าจะเป็นพื้นที่การชุมนุมของนปช.ที่ ถ.อักษะ พุทธมณฑล พื้นที่การชุมนุมของคปท.บริเวณถนนพิษณุโลก ข้างทำเนียบรัฐบาล หรือแม้แต่พื้นที่ชุมนุม กปปส. สวนลุมพินี เพื่อให้เกิดความเท่าเทียมกัน ทั้งนี้เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจะเห็นได้ว่าทหารไม่ได้ถือวาวุธเข้าไปปฎิบัติหน้าที่แต่กลับถูกทำร้าย ซึ่งจะได้หมดข้อกังขาเสียทีว่า ทหารไม่มีอาวุธและไม่ได้เลือกที่จะปฎิบัติกับกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง เราอยู่เคียงข้างประชาชนทุกกลุ่มทุกฝ่ายแต่ขอให้ชุมนุมด้วยความสงบปราศจากอาวุธ” พล.ต.อภิรัชต์ กล่าว
พล.ต.อภิรัชต์ กล่าวอีกว่า จนถึงขณะนี้สถานการร์การชุมนุมของ นปช.ยังปกติไม่มีเหตุการณ์อะไร และไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง เพราะแกนนำ นปช.ประกาศว่าจะเดินทางกลับในวันนี้ รวมถึงจำนวนกลุ่มผู้ชุมนุมก็ไม่ได้มากอะไร จึงไม่มีอะไรน่าห่วง อย่างไรก็ตามจากการตั้งจุดตรวจค้นเพื่อความปลอดภัยปรากฎว่าเจ้าหน้าที่พบอาวุธปืน กระสุนปืน ระเบิดปิงปอง และมีดดาบ จำนวนหนึ่งซึ่งผู้ไม่หวังดีลักลอบนำเข้าไปในที่ชุมนุมบริเวณถนนอักษะ
***คปท.เสียใจทหารถูกยิง-ยันไม่มีเอี่ยว
สำหรับบรรยากาศการชุมนุมของกลุ่มเครือข่ายนักศึกษาประชาชนประเทศไทย (คปท.) แกนนำและผู้ชุมนุมได้ร่วมกันทำกิจกรรมทำบุญเนื่องในวันจักรี ภายในทำเนียบรัฐบาล โดยมีการนิมนต์พระสงฆ์ 9 รูป มาเจริญพระพุทธมนต์ จากนั้นคณะแกนนำ คปท.ได้ขึ้นไปอัญเชิญพระพุทธชินราชและพระไชยหลังช้าง รวม 3 องค์ ที่ได้นำไปประดิษฐานไว้บริเวณ ด้านหน้าพระพรหม บนดาดฟ้าตึกไทยคู่ฟ้า ตั้งแต่วันที่ 29 มี.ค.ที่ผ่านมา โดยได้ทำการย้ายทีมประดิษฐานใหม่ ไปยังชั้นลอยดาดฟ้า บนยอดตึกไทยคู่ฟ้า ที่เป็นจุดเดียวกับฐานของธงชาติไทย เพื่อแสดงถึงความเป็นชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ที่อยู่สูงสุดของประเทศไทย และอยู่คู่กับประเทศไทย พร้อมกันนั้น ยังได้ทำพิธีบวงสรวงพระพุทธรูปควบคู่ไปกับด้านล่างด้วย
ขณะที่นายนัสเซอร์ ยีหมะ หัวหน้าการ์ด คปท.แถลงถึงกรณีที่เจ้าหน้าที่ทหารถูกยิง ใกล้พื้นที่ชุมนุมของกลุ่ม คปท.โดยมีกระแสข่าวว่าเป็นฝีมือของการ์ด คปท.ว่า ขอแสดงความเสียใจกับทหารที่ได้รับบาดเจ็บ ซึ่งทาง คปท.จะส่งกระเช้าดอกไม้ไปเยี่ยมในฐานะที่เป็นเพื่อนบ้านกัน แต่สำหรับเหตุการณ์ดังกล่าว เริ่มมาจากเหตุเมื่อคืนที่ผ่านมา (5 เม.ย.) มีคนร้ายยิงระเบิดไม่ทราบชนิดเข้ามาที่ด่านแยกนางเลิ้ง จึงนำไปสู่เหตุที่ถนนลิขิต เมื่อเจ้าหน้าที่ทหารลาดตระเวนจึงได้ไปปะทะกับกลุ่มไม่ทราบฝ่าย
“ขอยืนยันว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นไม่ใช่ฝีมือการ์ดของ คปท. เพราะอยู่นอกพื้นที่ความรับผิดชอบ คปท.ยังไม่มีการตอบโต้ใดๆ การให้ข่าวออกมาคงเป็นการเข้าใจผิด เพราะจากการตรวจสอบบริเวณที่เกิดเหตุนั้นมืด ส่วนการที่ทหารได้ไปแจ้งความเอาผิดนั้น ก็ได้มีการประสานและอธิบายไปแล้วว่าไม่ได้เกี่ยวกับ คปท.”
ด้าน พ.ต.อ.ศุภกิจ ต่อบุญ ผกก.สน.ดุสิต พร้อมด้วย เจ้าหน้าที่ตำรวจสืบสวนสอบสวน กองบัญชาการตำรวจนครบาล และตำรวจสืบสวน สน.ดุสิต เจ้าหน้าที่กองพิสูจน์หลักฐาน และเจ้าหน้าที่ทหาร ได้ลงพื้นที่ตรวจสอบจุดเกิดเหตุ พบแจ็กเก็ตหุ้มหัวกระสุนกระจายอยู่กว่า 18 จุด และพบหัวกระสุน ขนาด 11 มม. จำนวน 1 หัว ก่อนเปิดเผยว่า จากการตรวจสอบที่เกิดเหตุ ซึ่งเบื้องต้นยังไม่ยืนว่าผู้ก่อเหตุเป็นการ์ด คปท.หรือไม่ เนื่องจากจุดเกิดเหตุเป็นช่วงเวลาที่สภาพพื้นที่ มืด ไม่มีแสงสว่าง จึงไม่สามารถมองเห็นผู้ยิงได้ และกล้องวงจรปิดไม่สามารถใช้งานได้ ทั้งนี้ ตนได้รายงานข้อมูลไปยัง พล.ต.อ.วรพงษ์ ชิวปรีชา รอง ผบ.ตร.ซึ่งจะเป็นผู้รับผิดชอบในคดีนี้แล้ว
***กปปส.นิ่งในที่ตั้ง-เคลื่อนอีกที 8 เม.ย.
วันเดียวกัน ทางด้านการชุมนุมของ กปปส.ที่สวนลุมพินี มีประชาชนมาร่วมชุมนุมท่ามกลางสภาพอากาศที่ร้อนอบอ้าว ซึ่งส่วนใหญ่พักภายในเต๊นท์ และกางร่มบริเวณหน้าเวที ขณะที่บนเวทีปราศรัย มีการปราศรัยโจมตีการทำงานของรัฐบาล และเจ้าหน้าที่ตำรวจ โดยเฉพาะประเด็นการอำนวยความสะดวกการชุมนุมของ นปช.และการจับคนร้ายที่ก่อเหตุความรุนแรงในการชุมนุม ไม่มีความคืบหน้า สลับกับการแสดงดนตรี เพื่อสร้างบรรยากาศการชุมนุม และมีกิจกรรมให้ผู้ร่วมชุมนุม ร่วมเสวนาแสดงความคิดเห็นการปฏิรูปประเทศในประเด็นต่างๆ และเชิญชวนให้ข้าราชการและประชาชนออกมาต่อสู้ร่วมกับกลุ่ม กปปส. สำหรับการรักษาความปลอดภัยพื้นที่ชุมนุม เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยกลุ่มผู้ชุมนุม ได้ตรวจสอบผู้เข้าร่วมชุมนุม และมีการลาดตระเวนยังจุดต่างๆรอบพื้นที่
ผู้สื่อข่าวรายงานด้วยว่า ขณะนี้ได้มีมวลชน กปปส.บางส่วนหอบกระเป๋าสัมภาระเดินทางกลับต่างจังหวัด หลังจากร่วมเดินขบวนครั้งใหญ่เมื่อวันที่ 29 มี.ค.ที่ผ่านมา โดยกลับไปเตรียมตัวให้พร้อมกับการเคลื่อนไหวในวันเผด็จศึก ขณะที่มวลชนบางส่วนเดินทางพร้อมด้วยสัมภาระเข้าพื้นที่ชุมนุม สลับหมุนเวียนกันด้วย
โดย นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ โฆษก กปปส. กล่าวว่า แกนนำได้หารือแล้วเห็นว่า จะให้มวลชนพักผ่อนในพื้นที่การชุมนุม โดยไม่เคลื่อนขบวนดาวกระจายไปไหน เนื่องจากเป็นช่วงการชุมนุมของกลุ่ม นปช. ที่จัดชุมนุมระหว่างวันที่ 5-7 เม.ย. เพราะหากมีการเคลื่อนขบวนมวลชนออกไปทำกิจกรรม ก็อาจถูกกล่าวอ้างต่างๆ โดยเฉพาะหากเกิดเหตุการณ์ไม่พึงประสงค์ขึ้น ก็จะถูกกล่าวหาว่า กลุ่ม กปปส.ยั่วยุ ดังนั้น จึงสรุปให้มวลชนพักในที่ตั้ง รวม 2 วัน คือ วันที่ 6-7 เม.ย. ส่วนกิจกรรมในวันที่ 8 เม.ย. เมื่อราชการเปิดทำงานแล้ว จะหารืออีกครั้งว่า กปปส. จะเคลื่อนไหวทำกิจกรรมใดต่อไป
***เย้ย นปช.ที่อักษะเต็มที่แค่ 2 หมื่น
นายเอกนัฏ ยังได้กล่าวถึง การชุมนุมของกลุ่ม นปช.ด้วยว่า ได้คำนวณตัวเลขในช่วงยอดการชุมนุมสูงสุด จากภาพมุมสูงและพื้นที่การชุมนุม แล้ว เชื่อว่ามีผู้มาชุมนุมประมาณ 2 หมื่นคน แต่จากการประเมินตัวเลขของ สมช.และ สตช.จะมีความคลาดเคลื่อนจากความจริงมาก เพราะจากพฤติกรรมของ สมช. และ สตช. จะประเมินตัวเลขผู้ชุมนุมทั้ง 2 ฝ่าย คลาดเคลื่อนไปจากความจริง โดยจะประเมินผู้ชุมนุมของ นปช.ให้สูง แต่จะประเมินผู้ชุมนุมของกลุ่ม กปปส.ต่ำมาก โดยตลอด
นายเอกนัฏ กล่าวต่อว่า ส่วนที่เวทีการชุมนุมของ นปช.ที่ได้กล่าวโจมตีกลุ่ม กปปส.นั้น เราไม่ได้ให้ราคากับการโจมตีของ นปช. เพราะทั้งหมดเป็นยุทธศาสตร์ของระบอบทักษิณ เพื่อสร้างสถานการณ์เพื่อให้เห็นว่า เป็นการแคลื่อนไหว เป็นการต่อสู้ระหว่างประชาชนกับประชาชนทั้งสองกลุ่ม ทั้งที่เราออกมาแสดงออกถึงสิทธิทางการเมือง แต่ระบอบทักษิณต้องการปลุกปั่นเพื่อระดมคนเสื้อแดง เป็นเครื่องมือเพื่อให้กลุ่ม นปช.และ กปปส.ตอบโต้กัน ทั้งที่ความจริงเป็นการต่อสู้ระหว่างภาคประชาชนกับระบอบทักษิณเท่านั้น
“ หากรัฐบาลไม่ยอมรับอำนาจการตรวจสอบขององค์กรอิสระ และศาลรัฐธรรมนูญ ทั้งที่ทำหน้าที่ถูกต้องตามที่รัฐธรรมนูญบัญญัติไว้ และเป็นองค์กรเหล่านี้เป็นไปตามระบบการปกครองสำคัญภายใต้รัฐธรรมนูญ ก็เท่ากับว่า รัฐบาลได้ทำลายระบอบประชาธิปไตยไปแล้ว ทำให้ กปปส.ต้องมาออกมาเคลื่อนไหวใหญ่อีกครั้ง เพื่อมาปกป้อง รักษารัฐธรรมนูญ และองค์กรอิสระในระบอบประชาธิปไตย” โฆษก กปปส.ระบุ
นายเอกนัฏ กล่าวย้ำว่า กปปส.จะเคลื่อนไหวครั้งต่อไปในวันอังคารที่ 8 เม.ย. โดยจะเดินหน้าเชิญชวนข้าราชการประจำ ให้เลิกรับใช้ระบอบทักษิณ ซึ่ง กปปส.ก็ยินดีจะเจรจากับข้าราชการ ในการเปิดสถานที่ราชการต่างๆ แต่มีข้อแม้ว่า สถานที่ราชการต้องติดป้ายแสดงเจตนารมณ์ว่าพร้อมปฏิรูปประเทศไทย หยุดรับใช้ระบอบทักษิณ และปฏิเสธไม่ให้รัฐมนตรีเข้ามามีอิทธิพลบงการราชการได้
เมื่อถามว่า การที่ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ เลขาธิการ กปปส. ระบุว่าจะเป็นรัฏฐาธิปัตย์เอง จะทำให้เกิดปัญหาขึ้นหรือไม่ นายเอกนัฏ กล่าวว่า จุดสำคัญอยู่ที่เงื่อนไขของรัฐบาล ถ้ารัฐบาลไม่เคารพคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ และ ป.ป.ช. หรือองค์กรอิสระ ตามรัฐธรรมนูญ หรือถ้าต้องสิ้นสภาพความเป็นรัฐบาลจากคำตัดสินดังกล่าว ประชาชนก็มีสิทธิที่จะมาทวงอำนาจคืนจากรัฐบาลเถื่อน ซึ่งในรัฐธรรมนูญมาตรา 3 ก็ระบุชัดเจนว่า อำนาจอธิปไตยเป็นของปวงชนชาวไทย ส่วนใครจะใช้กรณีนี้ว่า อะไรก็แล้วแต่ แต่ประชาชนก็เข้าใจดีว่าเป็นอย่างไร เพราะถ้ารัฐบาลไม่เคารพคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ ก็เท่ากับไม่เคารพกฎหมายไปด้วย
***ขู่ฟ้องศาลรธน.“เทือก”ตั้งรัฐฏาธิปัตย์
ทางด้านพรรคเพื่อไทย นายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ โฆษกพรรคเพื่อไทย แถลงกรณีนายสุเทพ เทือกสุบรรณ เลขาธิการกปปส. ประกาศเป็นองค์รัฐฎาธิปัตย์ จะนำรายชื่อนายกรัฐมนตรีขึ้นทูลเกล้าฯว่า เป็นการสะท้อนธาตุแท้ของนายสุเทพที่ละเมิดกฎหมาย และกระทำก้าวล่วงพระราชอำนาจ นายสุเทพไม่เคยเห็นประชาธิปไตยอยู่ในสายตา และไม่เคยเห็นความสำคัญของประชาชน ทราบว่า นายสุเทพมีการประชุมวางแผนกับบุคคสำคัญที่โรงแรงแห่งหนึ่ง ย่านสุขุมวิท มีการวางแผนกำหนดตัวนายกรัฐมนตรีคนกลางไว้สามคนคือ นาย พ. นายอ. และพลเอก ป. ดังนั้นฝ่ายกฎหมายพรรคเพื่อไทยจะรวบรวมหลักฐานยื่นร้องต่อกองปราบปรามในสัปดาห์หน้า และจะร้องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยการกระทำของนายสุเทพเป็นการล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตย จากการประเมินสถานการณ์การชุมนุมของทั้งสองกลุ่ม คาดว่า จะมีความเข้มข้นหลังเทศกาลสงกรานต์ โดยเฉพาะหากศาลและองค์กรอิสระดำเนินการให้นายกฯและรัฐบาลพ้นจากหน้าที่ จะมีกระบวนการรัฐฎาธิปัตย์เกิดขึ้นทันที เมื่อถึงวันนั้นคนไทยบางส่วนจะไม่ยอมให้นายสุเทพล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยแน่นอน อยากแนะนำให้นายสุเทพไปตรวจสุขภาพจิตว่าปกติดดีหรือไม่ ที่จะตั้งตนเป็นรัฐฎาธิปัตย์ ความคิดของนายสุเทพวันนี้ ไม่ต่างจากฮิตเลอร์ที่เป็นเผด็จการมากกว่าประชาธิปไตย
***“โอ๊คอ๊าค”สับแก๊งค์ปล้นอำนาจ ปชช.
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายพานทองแท้ ชินวัตร บุตรชาย พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นักโทษคดีอาญาหนีคำพิพากษาศาลจำคุก 2 ปีไปต่างประเทศ โพสต์ข้อความลงเฟซบุ๊คเพจชื่อ “Oak Phanthongtae Shinawatra” โจมตีนายสุเทพ เทือกสุบรรณ เลขาธิการ กปปส. กล่าวหาว่า เป็นหัวหน้ากบฏโจร ที่รวมหัวกับองค์กรอิสระบางองค์กร เป็นแก๊งค์ปล้นอำนาจประชาชน บังหน้าด้วยการขายฝันปฏิรูปประเทศไทย รวมทั้งโจมตีพรรคประชาธิปัตย์ว่ามีส่วนร่วม และอาจจะได้เปรียบพรรคการเมืองอื่นๆ
นายพานทองแท้ กล่าวว่า การประกาศตัวเองเป็นรัฏฐาธิปัตย์ ของนายสุเทพ หากมีการดำเนินการสำเร็จ จะมีการดำเนินการในเรื่องของการยึดทรัพย์ตระกูลชินวัตร แต่งตั้งนายกรัฐมนตรี และคณะรัฐมนตรี โดยนายสุเทพจะนำรายชื่อขึ้นทูลเกล้าฯ เพื่อให้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงลงพระปรมาภิไธย และจะเป็นผู้รับสนอง พระบรมราชโองการเอง รวมทั้งแต่งตั้งสภานิติบัญญัติขึ้นเอง เพื่อปฏิรูปประเทศ, แก้ไขรัฐธรรมนูญและกฎหมายอื่นๆ เมื่อทำทุกอย่างเสร็จสิ้นแล้วจึงจะยอมให้มีการเลือกตั้ง
“ในระยะยาวเชื่อว่า พรรคประชาธิปัตย์จะเสียคะแนนเสียงเยอะครับ ถ้าการสู้กันทางความคิดครั้งนี้ หากระบอบประชาธิปไตย พ่ายแพ้ต่อระบอบอำมาตยาธิปไตยอีกครั้ง ประเทศไทยจะกลายเป็นประเทศที่เจริญรั้งท้ายบนเวทีโลก ไปร่วมประชุมที่ไหนนายกฯไทยก็ต้องไปยืนห่อเหี่ยว ไม่สง่าผ่าเผยเหมือนกับประเทศประชาธิปไตย ที่นายกฯมาจากการเลือกตั้ง คนไทยเตรียมอับอายชาวโลกกันอีกครั้งได้เลย”.