xs
xsm
sm
md
lg

ดอกเอ๋ยดอกไม้

เผยแพร่:   โดย: ไพรัตน์ แย้มโกสุม

โดย...ไพรัตน์ แย้มโกสุม

วลีเด็ดสุดฮอตของ “ลุงกำนันสุเทพ” เลขาธิการ กปปส.บนเวทีมวลมหาประชาชนที่ใครๆ ก็รู้จักดี นั่นคือ... “นางดอกไม้” คงหมายถึง นายกฯ รักษาการคนปัจจุบัน

เป็นการพูดถึง “คุณยิ่งลักษณ์” เปรียบเหมือน “ดอกไม้” จะเป็นดอกไม้อะไรมิทราบได้ ผู้พูดไม่ได้เจาะจง ให้ผู้ฟังตีความเอาเอง

ความหมายของดอกไม้ก็มีหลายอย่าง ทั้งแง่ดีและแง่ไม่ดี

ดอกไม้ คือส่วนสืบพันธุ์ของต้นไม้ (พจนานุกรม) เป็นเรื่องธรรมชาติธรรมดา

ดอกบัว เกิดและเจริญงอกงามในน้ำ แต่ไม่ติดน้ำ ทั้งส่งกลิ่นหอมชื่นชูใจให้รื่นรมย์ ฉันใด พระพุทธเจ้าทรงเกิดในโลกและอยู่ในโลก แต่ไม่ติดโลกเหมือนบัวไม่ติดน้ำ ฉันนั้น (พุทธพจน์) เป็นดอกไม้ฝ่ายดี ถ้ารู้จักคิดพินิจธรรม อาจบรรลุธรรมได้

ดอกทอง เป็นคำด่าว่าหญิงใจง่ายในทางประเวณี (พจนานุกรม) เป็นดอกไม้ฝ่ายไม่ดี

ดอกอุตพิด กลิ่นเหม็นเหมือนอุจจาระ ยางคัน (พจนานุกรม) เป็นดอกไม้ไม่พึงปรารถนาแม้หมูหมากาไก่ก็ยังเมิน ฯลฯ

พระพุทธเจ้า ทรงเปรียบดอกไม้ไว้ถึง 4 ประเภทได้แก่

1. ดอกไม้ชนิดที่สีงาม กลิ่นเหม็น อุปมาเหมือนคนเราบางคนที่หน้าตาดี มีการศึกษาดี ฐานะดี ลาภยศดี แต่ความประพฤติเลวทราม

2. ดอกไม้ชนิดที่สีไม่งาม แต่กลิ่นหอม อุปมาเหมือนคนเราบางคนที่แม้ว่าหน้าตาไม่สะสวย ไม่หล่อ การศึกษาและฐานะไม่ดีนัก ไม่มีลาภยศ แต่ว่ามีความประพฤติงดงาม มีน้ำใจ มีคุณธรรมศีลธรรม ไม่เห็นแก่ตัว ไม่เอารัดเอาเปรียบเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน

3. ดอกไม้ชนิดที่สีไม่งาม และกลิ่นเหม็น อุปมาเหมือนคนเราบางคนที่การศึกษาก็ไม่ดี ฐานะก็ต่ำต้อย แถมยังมีความประพฤติเลวทราม เบียดเบียนต่อสัตว์โลกและเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน

4. ดอกไม้ชนิดที่สีงาม และกลิ่นก็หอมหวน อุปมาเหมือนคนเราบางคนที่รูปลักษณ์ก็งดงาม การศึกษาก็ดี ฐานะก็ร่ำรวย มียศถาบรรดาศักดิ์สูงส่ง แถมจิตใจยังมีคุณธรรม มีความประพฤติงดงามทั้งกายและวาจา เป็นที่เคารพ นับหน้าถือตาของหมู่ชนทั่วไป

นี่คือ...สติปัญญาเป็นแสงสว่างไม่มีที่สิ้นสุด

ดอกไม้ 4 ชนิดดังกล่าว เปรียบเหมือนมาตรวัดที่จะไปตรวจสอบตรวจวัดบุคคลต่างๆ ได้เป็นอย่างดี โดยเฉพาะผู้มีอำนาจหน้าที่ปกครองบ้านปกครองเมือง ป่วยการที่จะไปใช้อีเวนท์อีเวรต่างๆ ให้สิ้นเปลืองเงินภาษีประชาชน

ในสมัยราชวงศ์หมิง “หลิวโป๋เวิน” ได้แต่งโศลกไว้ว่า...

“ดีเหมือนสนเขียวชั่วเหมือนดอกไม้     ดูๆ ไปที่เห็นตรงหน้าเทียบไม่ได้
วันหนึ่งโดนพายุซัดสาดกระเซ็น        เห็นเพียงสนเขียวไร้เงาผกาแก้ว”

คาถาตักเตือนชาวโลกบทนี้ พูดถึงบาปบุญคุณโทษ วิบากผล กรรมวิบาก เป็นตรรกะของเหตุและผล กุศลมูล (อโลภะ อโทสะ อโมหะ) เหมือนต้นสนใบเขียว อกุศลมูล (โลภะ โทสะ โมหะ) เหมือนดอกไม้สนใบเขียวไม่ให้ความรู้สึกน่าสนใจเท่าดอกไม้ แต่ยามที่มันต้องประสบกับลมพายุพัดกระหน่ำ ต้องเจอวิบากกรรม เราจะห็นแต่สนใบเขียว แต่ไม่เห็นดอกไม้

ลองพูดอีกมิติก็คือ ความชั่วเหมือนหินลับมีด ดูภายนอกมองไม่เห็นความเสียหาย ความจริงมันสึกกร่อนลงทุกวัน ความดีเหมือนดอกมะลิ จำปี จำปา แม้มันจะไม่มีความพิเศษอันใด แต่เราก็ได้กลิ่นหอมชื่นใจจากมัน

เราอย่าคิดว่า ทำชั่วแล้วไม่มีใครรู้ สวรรค์รู้ แผ่นดินรู้ วิบากกรรมรู้ มโนสำนึกของตนก็รู้ การทำความดี ไม่ต้องกลัวว่าจะไม่ได้ผลตอบแทน ดูดอกไม้ใบหญ้าในสวนสิ ดูมันเหมือนไม่ได้เจริญเติบโตอะไรเลย แต่เล็กๆ น้อยๆ ค่อยๆ เป็นค่อยๆ ไป เผลอประเดี๋ยวเดียวผลิดอกออกใบเต็มสวนเลย

โบราณท่านว่า... “คนดี-คนรังแก-สวรรค์ไม่รังแก คนชั่ว-คนกลัว-สวรรค์ไม่กลัว” เราไม่ต้องวิตกกับสิ่งได้เสีย กฎแห่งกรรม วิบากกรรม มันผ่ามิติแห่งกาลเวลาทั้งอดีต ปัจจุบัน และอนาคต

ดูประวัติศาสตร์ซักหน่อย (ประวัติศาสตร์ทำให้คนฉลาด ประเทศที่พัฒนาแล้วทั้งหลายจึงให้ความสนใจกับประวัติศาสตร์)

สมัยก่อนในเมืองจีน มีขบวนรถไฟขบวนหนึ่ง วิ่งจากนครนานกิงไปเซี่ยงไฮ้ พอเข้าสู่ชานชาลาเซี่ยงไฮ้ บังเอิญชนเข้ากับรถไฟอีกขบวน ผู้คนล้มตายจำนวนมาก เมื่อตรวจสอบผู้ประสบภัย พบว่าส่วนใหญ่เป็นนักศึกษามัธยมปลายชาวญี่ปุ่นที่เดินทางมาท่องเที่ยวจีน เล่ากันว่าในวันเกิดเหตุตรงกับวันที่ญี่ปุ่นรุกรานจีนในอดีตเป็นวันสังหารหมู่นานกิง จึงมีคนกล่าวกันว่า ลูกหลานของทหารญี่ปุ่นเหล่านั้น เมื่อเติบใหญ่ได้รับผลวิบากเชื่อมโยงจากกรรมที่บุพการีก่อไว้

อีกซักเรื่อง ในอดีตมีนักศึกษาหนุ่มคนหนึ่งเร่งเดินทางไปเข้าสอบในเมืองหลวง สอบเสร็จ ขณะที่ผู้คุมสอบตรวจข้อสอบ เห็นตัวหนังสือตัวหนึ่งในข้อสอบของบัณฑิตหนุ่มคนนี้ขาดไปขีดหนึ่ง ฝูงมดรุมกันมาล้อมอยู่ที่อักษรตัวนี้ ผู้คุมสอบเอามือปัดฝูงมดออกไป เพื่อจะหักคะแนนอักษรตัวนี้ พอปัดออกฝูงมดกลับมารวมตัวกันใหม่อย่างรวดเร็ว เหมือนตั้งใจจะทำให้คนมองไม่เห็นคำผิด ผู้คุมสอบรู้สึกแปลกใจมาก คิดในใจว่า นักเรียนที่เข้าสอบคนนี้ต้องทำบุญกุศลอะไรมาแน่นอน แม้แต่มดยังมาช่วยคุ้มครองไม่ให้เขาต้องสอบตก จึงเรียกบัณฑิตคนนั้นมาสอบถาม บัณฑิตรายงานว่า ครั้งหนึ่งขณะกำลังอ่านตำรา เห็นฝูงมดเข้ามารุมล้อมหาอาหารด้วยความหิวโหย เขาไม่ได้ขับไล่หรือบี้พวกมันตาย เพียงแต่ให้น้ำตาลพวกมันไปก้อนหนึ่งเท่านั้นเอง

กุศลจิตเพียงน้อยนิด ทำให้ฝูงมดพากันมาตอบแทน กฎแห่งกรรมมองข้ามไม่ได้เลย

ฟังเรื่องดอกไม้และเรื่องประวัติศาสตร์เพลินๆ แล้ว ลองมาดูเรื่องใกล้ๆ ตัว เรื่องของตัวเองหรือเรื่องประเทศชาติของเราบ้าง ว่าเป็นอย่างไร ไม่ใช่ไม่รู้สึกรู้สา ไม่ใช่ต่างคนต่างอยู่ โดยความเป็นจริงแล้ว “สิ่งทั้งมวลล้วนเนื่องกันอยู่”... “เราเป็นส่วนหนึ่งของประเทศ”... “ประเทศเป็นส่วนหนึ่งของเรา”

สถานการณ์บ้านเมืองขณะนี้เข้าขั้นวิกฤตโคตรๆ ข้ามโลกไปถึงจักรวาลกันเลย สิ่งที่ไม่เคยพบเห็น เช่น ไม่ยอมรับอำนาจศาล แบ่งแยกประเทศ ปืนระเบิดลงกันแทบทุกวันยังกะสนามรบ ฆ่าได้แม้เด็ก คนแก่ คนกำลังสวดมนต์ ฯลฯ ก็ได้พบเห็นแล้วในชาตินี้ ณ ที่นี่ และเดี๋ยวนี้ มหัศจรรย์เหลือล้นที่คนมีอำนาจ มีกองทัพอันเกรียงไกรแห่งรัฐ ไม่จัดการแก้ไขความชั่วร้ายของแผ่นดินโดยเด็ดขาด งงว่ะ

“กู โกง โกหก” คือสามกอในการก่อกรรมทำชั่ว เป็นสูตรพิเศษในการปกครองบ้านเมือง สิ่งที่ทำตรงกันข้ามกับสิ่งที่พูดเสมอ

การพูดจาที่ออกตามสื่อต่างๆ ไม่เกรงใจผู้ฟัง ที่ติดตามข้อมูลข่าวสารทุกวันบ้างเลย ใครพูดจริง ใครพูดเท็จ ใครเป็นเผด็จการทรราช ใครเป็นประชาธิปไตย ใครขายชาติ ใครรักชาติ ใครก่อการดี ใครก่อการร้าย ฯลฯ กระทั่งโคตรเหง้าเหล่ากอเป็นเช่นไร ผู้ฟังเขารู้แจ้งแทงทะลุจนหมดไส้หมดพุงอยู่แล้ว ยุคนี้สมัยนี้ ใครๆ เขาก็กินข้าวด้วยกันทั้งนั้น หยุดคุยโวอวดโง่กันเสียที

การเลือกตั้งแบบเก่า มันหนีไม่พ้น “อัปรีย์ไป จัญไรมา” อยู่นั่นแหละ ดังนั้นประชาชนจึงลุกขึ้นสู้เพื่อปฏิรูปก่อนเลือกตั้ง มันจึงจะมีทางได้คนดีเข้าสภาฯ เพื่อออกกฎหมายขจัดคนชั่วมิให้มีอำนาจทำชั่ว และส่งเสริมคนดีให้มีโอกาสได้ปกครองบ้านเมือง ความเป็นธรรมและสันติสุขจึงจะเกิดขึ้นเท่านั้นเอง ไม่มีอะไรซับซ้อนซ่อนเงื่อนที่ต้องตะแบงกัน

ไม่ว่าประวัติศาสตร์ไทยหรือประวัติศาสตร์โลก ต่างก็ซ้ำรอย ซ้ำแล้วซ้ำเล่า นั่นคือ จอมเผด็จการทรราช ล้วนถึงจุดจบในสนามรบประชาธิปไตยด้วยกันทั้งนั้น ไม่เห็นมีสักรายที่หนีพ้นกฎประวัติศาสตร์หรือกฎแห่งกรรมไปได้ ไม่เคยอ่าน ไม่เคยดู ก็ลองฟังกันบ้าง...บางทีอาจจะเห็นตัวโง่คือตัวเองนั่นแล

วิพากษ์วิจารณ์ภายนอกมามากแล้ว ขอพินิจพิจารณาภายในบ้าง เป็นการชาร์จแบตเตอรี่ใจเพื่อเพิ่มพลังกันหน่อย

ผู้รักธรรม หรือรักธรรมชาติ คือผู้เจริญ ผู้เจริญทั้งหลายจึงรักดอกไม้ ชอบดอกไม้ ไม่ว่าดอกไม้จะถูกมองในมิติใดๆ ก็ตาม ดอกไม้ก็ยังเป็นดอกไม้ที่เติบใหญ่มาจากภายใน

...ดอกไม้ผลิบานคือความบริสุทธิ์
ความบริสุทธิ์คือความว่าง
ความว่างคือประสบการณ์สูงสุดในชีวิต...
“ดอกเอ๋ยดอกไม้
สดใสงามตา
เบ่งบานล้นค่า
ดินฟ้าเปรมปรีดิ์”
กำลังโหลดความคิดเห็น