วานนี้ (26มี.ค.) น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว ถึงการพบกับ เอกอัคราชทูตอินเดียประจำประเทศไทย ว่า ในโอกาสที่นายหรรษ วรรณศฤงคลา เอกอัครราชทูตอินเดียประจำประเทศไทย ได้มาเยี่ยมคารวะ เนื่องในโอกาสเข้ารับตำแหน่งใหม่ จึงได้มีโอกาสพูดคุย หารือกันในหลายประเด็น โดยเฉพาะการริเริ่มความร่วมมือ เช่น ในด้านการค้า การลงทุน การพัฒนาโครงข่ายคมนาคม ซึ่งตลอดระยะเวลา 2 ปีที่ผ่านมา ได้มีการเยือนในระดับผู้นำระหว่างกันหลายครั้ง ทำให้ความร่วมมือในหลายด้าน มีความก้าวหน้าเป็นที่น่าพอใจ
ทั้งนี้ ประเด็นสำคัญที่ได้มีการหารือ ได้แก่ ความคืบหน้าในโครงการเชื่อมโยงโครงข่ายคมนาคมขนส่งทางถนน ระหว่างไทย เมียนมาร์ อินเดีย
(Trilateral Highway) ซึ่งได้ริเริ่มขึ้นเพื่อส่งเสริมการการลงทุนระหว่างกันนั้น ได้มีความคืบหน้าอย่างมาก โดยกำหนดเป้าหมายให้แล้วเสร็จ
ภายในปี 2559
อย่างไรก็ดี ในปัจจุบัน มีการชะลอความก้าวหน้า เนื่องจากขาดการผลักดันในระดับนโยบาย โดยเฉพาะในส่วนของประเทศไทยที่ยังไม่มีรัฐบาลอำนาจเต็ม จึงทำให้การประชุม หารือ หรือการตัดสินใจในระดับรัฐมนตรี มีความล่าช้า ซึ่งก็เป็นที่น่าเสียดาย เพราะเส้นทางนี้จะสามารถส่งเสริมการค้า การลงทุน และการท่องเที่ยวระหว่างกันได้เป็นอย่างดี
อีกประเด็นหนึ่งที่ได้มีการหารือ คือโครงการท่าเรือนำลึกทวาย ที่ไทยให้การสนับสนุนตลอดระยะเวลา 2 ปีที่ผ่านมา ซึ่งทางรัฐบาลได้มีแผนการเชื่อมโยงทวายกับท่าเรือแหลมฉบัง ผ่านการลงทุนในถนน และรถไฟ ภายใต้แผนการลงทุนโครงการ 2 ล้านล้าน หากโครงการนี้สำเร็จ ทวายจะกลายเป็นอีกหนึ่งประตูเศรษฐกิจที่สำคัญแห่งใหม่ ที่จะเชื่อมโยงการขนส่งทางน้ำผ่านมหาสมุทรอินเดีย สู่ประเทศอินเดีย ตะวันออกกลาง ยุโรป และ แอฟริกา ซึ่งจะเป็นพื้นฐานสำคัญในการพัฒนาการค้า การลงทุน ส่งเสริมให้เศรษฐกิจภูมิภาคเติบโตในระยะยาว โดยเฉพาะในส่วนของการประหยัดต้นทุน และเวลาในการขนส่ง เพราะสามารถช่วยลดระยะเวลาการเดินทางจากกรุงเทพฯไปทวาย และเข้าเจนไน (Chennai)เหลือเพียงครึ่งเดียว เพราะไม่จำเป็นต้องเดินเรืออ้อมประเทศสิงคโปร์ ผ่านช่องแคบมะละกา ซึ่งมีการจราจรที่คับคั่ง แต่ทว่า ณ ปัจจุบัน ยังไม่มีความคืบหน้าอย่างมีนัยสำคัญ
นอกจากนี้ อีกประเด็นหนึ่งที่ถือว่าเป็นค่าเสียโอกาสของทั้งไทย และอินเดีย คือ ความคืบหน้าในการเจรจา FTAไทย-อินเดีย ที่ได้ลงนามไปแล้วในปี 2546 โดยในปัจจุบัน อยู่ระหว่างการเจรจาเรื่องสินค้าที่ยังไม่ได้มีการปรับลดภาษี แม้ว่าสองฝ่ายมีนโยบายที่สอดคล้องกันว่าควรจะผลักดันให้ข้อตกลงได้ข้อสรุปโดยเร็ว แต่ปัจจุบันสามารถดำเนินการได้เพียงในระดับเจ้าหน้าที่ เนื่องจากกระบวนการเลือกตั้ง และจัดตั้งรัฐบาลของประเทศไทย ยังไม่เรียบร้อย ก็จะไม่สามารถเข้ากระบวนการการอนุมัติลงนามได้ จึงทำให้ผลการเจรจาล่าช้าออกไป
ดังนั้น เสถียรภาพทางการเมือง ความเป็นประชาธิปไตย และความต่อเนื่องในการบริหารราชการ มีความสำคัญอย่างมากต่อการพัฒนาเศรษฐกิจ โดยเฉพาะในมิติที่จำเป็นต้องเชื่อมโยงกับต่างประเทศ โอกาสที่เสียไปแล้วจะนำกลับคืนมาได้ยาก ดังนั้น ทุกฝ่ายจะต้องช่วยกันคือ หยุดความเสียโอกาสและความเสียหายไว้เพียงเท่านี้ โดยการกลับเข้าสู่ระบบ และกระบวนการที่เป็นประชาธิปไตยโดยเร็วที่สุด
ทั้งนี้ ประเด็นสำคัญที่ได้มีการหารือ ได้แก่ ความคืบหน้าในโครงการเชื่อมโยงโครงข่ายคมนาคมขนส่งทางถนน ระหว่างไทย เมียนมาร์ อินเดีย
(Trilateral Highway) ซึ่งได้ริเริ่มขึ้นเพื่อส่งเสริมการการลงทุนระหว่างกันนั้น ได้มีความคืบหน้าอย่างมาก โดยกำหนดเป้าหมายให้แล้วเสร็จ
ภายในปี 2559
อย่างไรก็ดี ในปัจจุบัน มีการชะลอความก้าวหน้า เนื่องจากขาดการผลักดันในระดับนโยบาย โดยเฉพาะในส่วนของประเทศไทยที่ยังไม่มีรัฐบาลอำนาจเต็ม จึงทำให้การประชุม หารือ หรือการตัดสินใจในระดับรัฐมนตรี มีความล่าช้า ซึ่งก็เป็นที่น่าเสียดาย เพราะเส้นทางนี้จะสามารถส่งเสริมการค้า การลงทุน และการท่องเที่ยวระหว่างกันได้เป็นอย่างดี
อีกประเด็นหนึ่งที่ได้มีการหารือ คือโครงการท่าเรือนำลึกทวาย ที่ไทยให้การสนับสนุนตลอดระยะเวลา 2 ปีที่ผ่านมา ซึ่งทางรัฐบาลได้มีแผนการเชื่อมโยงทวายกับท่าเรือแหลมฉบัง ผ่านการลงทุนในถนน และรถไฟ ภายใต้แผนการลงทุนโครงการ 2 ล้านล้าน หากโครงการนี้สำเร็จ ทวายจะกลายเป็นอีกหนึ่งประตูเศรษฐกิจที่สำคัญแห่งใหม่ ที่จะเชื่อมโยงการขนส่งทางน้ำผ่านมหาสมุทรอินเดีย สู่ประเทศอินเดีย ตะวันออกกลาง ยุโรป และ แอฟริกา ซึ่งจะเป็นพื้นฐานสำคัญในการพัฒนาการค้า การลงทุน ส่งเสริมให้เศรษฐกิจภูมิภาคเติบโตในระยะยาว โดยเฉพาะในส่วนของการประหยัดต้นทุน และเวลาในการขนส่ง เพราะสามารถช่วยลดระยะเวลาการเดินทางจากกรุงเทพฯไปทวาย และเข้าเจนไน (Chennai)เหลือเพียงครึ่งเดียว เพราะไม่จำเป็นต้องเดินเรืออ้อมประเทศสิงคโปร์ ผ่านช่องแคบมะละกา ซึ่งมีการจราจรที่คับคั่ง แต่ทว่า ณ ปัจจุบัน ยังไม่มีความคืบหน้าอย่างมีนัยสำคัญ
นอกจากนี้ อีกประเด็นหนึ่งที่ถือว่าเป็นค่าเสียโอกาสของทั้งไทย และอินเดีย คือ ความคืบหน้าในการเจรจา FTAไทย-อินเดีย ที่ได้ลงนามไปแล้วในปี 2546 โดยในปัจจุบัน อยู่ระหว่างการเจรจาเรื่องสินค้าที่ยังไม่ได้มีการปรับลดภาษี แม้ว่าสองฝ่ายมีนโยบายที่สอดคล้องกันว่าควรจะผลักดันให้ข้อตกลงได้ข้อสรุปโดยเร็ว แต่ปัจจุบันสามารถดำเนินการได้เพียงในระดับเจ้าหน้าที่ เนื่องจากกระบวนการเลือกตั้ง และจัดตั้งรัฐบาลของประเทศไทย ยังไม่เรียบร้อย ก็จะไม่สามารถเข้ากระบวนการการอนุมัติลงนามได้ จึงทำให้ผลการเจรจาล่าช้าออกไป
ดังนั้น เสถียรภาพทางการเมือง ความเป็นประชาธิปไตย และความต่อเนื่องในการบริหารราชการ มีความสำคัญอย่างมากต่อการพัฒนาเศรษฐกิจ โดยเฉพาะในมิติที่จำเป็นต้องเชื่อมโยงกับต่างประเทศ โอกาสที่เสียไปแล้วจะนำกลับคืนมาได้ยาก ดังนั้น ทุกฝ่ายจะต้องช่วยกันคือ หยุดความเสียโอกาสและความเสียหายไว้เพียงเท่านี้ โดยการกลับเข้าสู่ระบบ และกระบวนการที่เป็นประชาธิปไตยโดยเร็วที่สุด