ASTVผู้จัดการรายวัน - อินเดียปฏิเสธแดนภารตะอาจเป็นเป้าหมายของการโจมตีในสไตล์เหตุวินาศกรรม911 สื่ออังกฤษเผย MH370 ไม่ได้อยู่ใกล้กับออสเตรเลีย ด้าน FBI ชี้มีความเป็นไปได้ที่แอบนำเครื่องบินลงจอดในที่ลึกลับเพื่อจับตัวผู้โดยสารเป็นตัวประกัน ส่วนข้อความสุดท้ายที่ได้ยินเครื่องบินโดยสารลำนี้ผู้ช่วยนักบินเป็นคนพูด ขณะที่ 26 ประเทศประกาศเข้าร่วมปฏิบัติการค้นหาตามคำขอของผู้นำแดนเสือเหลือง
ขณะที่นายกรัฐมนตรี มานโมหัน ซิงห์ ได้ประกาศให้คำมั่นสัญญาว่าจะร่วมมือช่วยเหลือด้วยอย่างเต็มที่ สำหรับการติดตามไล่ล่าของนานาชาติเพื่อค้นหาเครื่องบินในเที่ยวบิน MH370 ลำนี้ รัฐมนตรีต่างประเทศ ซัลมาน คูร์ชิด ของอินเดีย ก็กล่าวสำทับว่าเป็นเรื่องสำคัญมากที่จะต้องคลี่คลายปริศนาเกี่ยวกับชะตากรรมของเครื่องบินลำนี้ให้เป็นที่กระจ่าง
ครั้นเมื่อถูกเครือข่ายโทรทัศน์ ซีเอ็นเอ็น-ไอบีเอ็น จี้ถามเกี่ยวกับทฤษฎีที่เสนอกันว่า เครื่องบินลำนี้ถูกคนร้ายจี้ ด้วยวัตถุประสงค์ที่จะให้ขับพุ่งชนเข้าไปในเมืองใหญ่ของอินเดียเมืองหนึ่ง คูร์ชิดก็ตอบว่า “ผมไม่คิดว่าเราควรต้องคิดไปไกลถึงขนาดนั้น”
กระแสข่าวลือเกี่ยวกับทฤษฎีนี้แพร่สะพัดออกไปมาก เนื่องจาก สโตรบ ทัลบอตต์ อดีตรัฐมนตรีช่วยต่างประเทศของสหรัฐฯ ได้ทวีตว่า “ทิศทาง, น้ำมันเชื้อเพลิงที่บรรทุกอยู่ และพิสัยทำการบิน เวลานี้ทำให้บางคนสงสัยว่าพวกจี้เครื่องบินวางแผนโจมตีในแบบ 9/11 ต่อเมืองใหญ่ในอินเดีย”
ความเห็นของสโตรบ ถูกสื่อมวลชนอินเดียหยิบยกมาเสนอและวิพากษ์วิจารณ์อย่างกว้างขวางในช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา และคูร์ชิดบอกว่า จำเป็นที่จะต้องให้คำตอบแก่ประชาชนเพื่อบรรเทาความหวาดกลัวของพวกเขา
“เราหวังว่าจะสามารถมีข้อสรุปบางประการซึ่งทั้งน่าเชื่อถือและทั้งสร้างความมั่นอกมั่นใจ” เขากล่าว
ก่อนหน้านี้ หนังสือพิมพ์ไทมส์ออฟอินเดีย รายงานว่าพวกแหล่งข่าวความมั่นคงของแดนภารตะต่างระบุว่า แนวความคดนี้ “ไร้สาระ” เนื่องจากคิดเห็นไปว่าเครื่องบินลำนี้สามารถบินเข้าไปใกล้ๆ ย่านศูนย์กลางของเมืองใหญ่ในอินเดียได้ ซึ่งความเป็นจริงไม่ใช่เช่นนั้นเลย เพราะเครื่องบินจะต้องถูกตรวจพบจากฐานทัพนาวีซึ่งตั้งอยู่ที่หมู่เกาะอันดามัน ห่างจากแผ่นดินใหญ่อินเดียกว่า 1,000 กิโลเมตร
“ไม่มีทางเลยที่เรดาร์ทางทหารของเราจะพลาด ไม่สามารถตรวจพบเครื่องบินโดยสารที่กำลังบินอยู่เหนือทะเลอันดามัน สืบเนื่องจากมีการสัญจรกันมากในช่วงเวลาดังกล่าว” แหล่งข่าวกรองทางทหารรายหนึ่งบอกกับไทมส์ออฟอินเดีย
ไม่เพียงแดนภารตะเท่านั้น ที่ไม่คิดว่าจะมีผู้ก่อเหตุแบบ 9/11 ต่อเมืองใหญ่ๆ ของตน ทางด้านกองทหารขององค์การนาโต้ที่นำโดยสหรัฐฯซึ่งกำลังปฏิบัติหน้าที่อยู่ในอัฟกานิสถาน ก็แถลงว่าไม่ได้กำลังออกตามหาเครื่องบินโดยสารที่หายไปนี้ในเขตรับผิดชอบของตนแต่อย่างใด ขณะที่สำนักงานการบินพลเรือนของปากีสถานบอกว่า เครื่องบินลำนี้ไม่เคยปรากฏขึ้นบนจอเรดาร์ของปากีสถาน
อินเดียนั้นได้ส่งเรือและเครื่องบินออกไปค้นหาบริเวณท้องทะเลนอกชายฝั่งหมู่เกาะอันดามันอันยาวเหยียดของตนเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ทว่าได้ระงับการปฏิบัติการเอาไว้ชั่วคราวเมื่อวันอาทิตย์ (16 มี.ค.) โดยบอกว่าต้องรอฟังคำแนะนำใหม่ๆ จากทางเจ้าหน้าที่รับผิดชอบของมาเลเซีย
“การปฏิบัติการต่างๆ ถูกระงับเอาไว้ก่อนในตอนนื้ ทุกๆ อย่างหยุดหมด” ดี.เค.ชาร์มา โฆษกกองทัพเรืออินเดีย บอกกับสำนักข่าวเอเอฟพีในวันจันทร์ (17)
“เจ้าหน้าที่รับผิดชอบของมาเลเซียในตอนนี้จะเป็นผู้ตัดสินใจและแจ้งให้เราทราบว่าควรจะไปค้นหาตรงไหน สำหรับตอนนี้พวกเขาขอให้เราหยุดรอและเตรียมพร้อมไว้ เราจึงกำลังรอคำแนะนำเพิ่มเติม ทันทีที่ได้รับ เราก็จะลงมือ”
***เชื่อ“กัปตันคนขับ” มีส่วนไฮแจ็ค
ในขณะที่เครื่องบินเที่ยว MH370 ของสายการบินมาเลเซียแอร์ไลน์สหายไปนานกว่า 9 วัน แล้วล่าสุดในวันนี้ (17) นายกรัฐมนตรีออสเตรเลีย โทนี แอ็บบอต เปิดเผยในวันนี้ว่ายังไม่มีข้อมูลยืนยันว่าเครื่องบินลำที่หายไปนั้นอยู่ใกล้ออสเตรเลีย ที่ล่าสุดอ้างอิงจากการติดต่อครั้งสุดท้ายของเครื่องบินไฟลต์ MH370 กับดาวเทียมทำให้มีการคาดว่าหนึ่งในเส้นทางที่เครื่องบินลำที่หายไปอาจมุ่งลงใต้ใกล้กับมหาสมุทรอินเดียใต้ นอกจากที่อาจจะมุ่งหน้าขึ้นเหนือผ่านไทยไปยังเอเชียกลาง โดยเครื่องบินลำดังกล่าวมีเชื้อเพลิงที่สามารถบินได้อยู่ราว 7 ชั่วโมง
โดยออสเตรเลียได้ใช้เครื่องบินสอดแนม AP-3C Orion จำนวน 2 ลำ ให้การช่วยเหลือภารกิจค้นหา MH370 ซึ่งแอ็บบอตกล่าวย้ำว่า 1 ใน 2 ของเครื่องบินสอดแนมนี้ได้ถูกสั่งให้ค้นหาทั่วมหาสมุทรอินเดียอีกครั้ง และเขายังกล่าวเสริมว่าจะปรึกษากับรัฐบาลมาเลเซียอีกครั้งว่าต้องการความช่วยเหลือใดเพิ่มเติมจากออสเตรเลียอีกบ้าง
แต่ในวันอาทิตย์ (16) นี้ NBC รายงานว่า อินเดียได้ระงับภารกิจค้นหาจนกว่าจะได้ข้อมูลเพิ่มเติมจากมาเลเซีย โดยที่ผ่านมาอินเดียได้สนับสนุนภารกิจด้วยเครื่องบินค้นหา 6 เครื่อง และเรืออีก 6 ลำค้นหาทั่วทะเลอันดามัน และอ่าวเบงกอล โดย NBC สื่อสหรัฐฯ ได้รายงานเสริมว่า การค้นหาส่วนใหญ่มุ่งลงใต้เนื่องจากเป็นพื้นที่เปิดทางทะเล และมีความเป็นไปได้น้อยมากที่จะถูกเรดาร์ติดตาม ซึ่งแผนที่ซึ่งถูกสร้างโดย radio station WNYC ของสหรัฐฯ ระบุว่ามี 634 ตำแหน่งที่มีความเป็นไปได้เหมาะสมสำหรับเครื่องบินลำที่หายไปอาจจะลงจอดไล่ตั้งแต่ออสเตรเลีย มัลดีฟส์ จนถึงปากีสถาน
นอกจากนี้ ในช่วงสุดสัปดาห์ล่าสุดมีรายงานเปิดเผยจากมาเลเซียพบว่า นักบินที่ 1 ซอฮารี อาหมัด ชาห์ วัย 53 ปี เป็นผู้นิยมในการเมืองมาเลเซียอย่างมาก ซึ่งเขาเป็นผู้ให้การสนับสนุนผู้นำฝ่ายค้านมาเลเซีย อันวาร์ อิบราฮิม ที่ปรึกษาพรรคเกออาดิลัน และเจ้าหน้าที่มาเลย์คาดว่า ซอฮารี อาหมัด ชาห์ อาจผิดหวังจากการที่อิบบราฮิมต้องถูกตัดสินจำคุก ซึ่งคำพิพากษามีขึ้นไม่กี่ชั่วโมงก่อนจะมีข่าวการหายไปของ MH370 โดยทางตำรวจมาเลย์คาดว่า อาจเป็นไปได้ที่นักบินที่ 1 ทำการจี้เครื่องบินที่ตนเองขับเพื่อทำการประท้วงรัฐบาลมาเลย์ ซึ่งเอเอฟพีรายงานในวันจันทร์ (17) สอดคล้องกับหน่วยการข่าวสหรัฐฯ ที่พุ่งเป้าความสนใจไปที่กัปตันเครื่องบินเที่ยว MH370 ว่ามีบางอย่างเกีี่ยวกับนักบินผู้นี้ที่น่าสงสัย
นอกจากนี้ เมลออนไลน์ของอังกฤษยังรายงานว่า FBI สหรัฐฯ ยังชี้ถึงความเป็นไปได้ว่า อาจจะมีการนำเครื่องบินไปลงจอดแอบซ่อนเพื่อจับผู้โดยสารเป็นตัวประกัน โดยเจ้าหน้าที่ตำรวจมาเลย์พบรูปถ่ายของนักบินที่ 1 สวมเสื้อยืดสีดำมีข้อความระบุ “ประชาธิปไตยตายแล้ว” และยังพบข้อน่าสงสัยที่ว่า ครอบครัวของซอฮารี อาหมัด ชาห์ ที่ประกอบไปด้วย ภรรยาและบุตรทั้งสามได้ย้ายออกไปจากบ้านล่วงหน้า 1 วันก่อนที่เครื่องบินเที่ยวประวัติศาสตร์จะหายไป อ้างจากเมลออนไลน์ สื่ออังกฤษ
สหรัฐฯ ได้ตั้งข้อสงสัยถึงเครื่องบินที่หายไปดังนี้ 1. หากนักบินที่ 1 และนักบินผู้ช่วยของเที่ยวบิน MH370 นั้นมีส่วนพัวพันการหายไปของเที่ยวบินนี้จริง พวกเขาทำงานร่วมกันหรือเป็นการลงมือทำคนเดียว หรือเป็นการร่วมมือกับผู้โดยสารคนอื่นหรือลูกเรือคนอื่น 2. นักบินขับเครื่องเพราะถูกบังคับหรือเป็นความจงใจ 3. มีผู้โดยสารที่สามารถเปิดเข้าไปในห้องควบคุมเครื่อง หรือใช้อาวุธข่มขู่เพื่อเข้าไปห้องคนขับนักบินเพื่อยึดเครื่อง หรือ 4. และมีจุดมุ่งหมายใดที่ต้องเปลี่ยนเส้นทางเครื่องบิน
***“ผู้ช่วยนักบิน”เป็นคนสุดท้ายที่ติดต่อโลกภายนอก
เวลานี้ยังคงไม่พบร่องรอยใดๆ เลยของเครื่องบินโบอิ้ง 777-200ER ลำนี้ ตั้งแต่ที่สูญหายไปในวันเสาร์ที่ 8 มี.ค. พร้อมกับผู้โดยสารและลูกเรือรวม 239 คน โดยที่สองในสามของผู้โดยสารเป็นชาวจีน พวกเจ้าหน้าที่สืบสวนสอบสวนกำลังมีความแน่ใจมากขึ้นเรื่อยๆ ว่า เครื่องบินลำนี้ได้หันหัวบินออกนอกเส้นทางเป็นระยะทางที่อาจจะถึงหลายพันกิโลเมตร ด้วยฝีมือของใครบางคนบนเครื่องซึ่งมีความรู้อย่างลึกซึ้งเกี่ยวกับเครื่องบินรุ่นนี้และเกี่ยวกับการเดินทางของเครื่องบินพลเรือน
ประเทศต่างๆ อย่างน้อยที่สุด 26 ชาติได้ตอบรับคำร้องขอของมาเลเซีย ในการร่วมมือกันดำเนินการค้นหาเครื่องบินลำนี้ ภายในอาณาบริเวณที่มีขอบเขตกว้างขวางมาก โดยที่เส้นทางตอนเหนือนั้นกินไปจนถึงทะเลแคสเปียน ส่วนทางตอนใต้ก็ลึกลงมาถึงด้านใต้ของมหาสมุทรอินเดีย
เนื่องจากค่อนข้างมั่นใจแล้วว่ามีผู้อยู่บนเครื่องบินจงใจเปลี่ยนเส้นทางบิน ซอฮารี อาหมัด ชาห์ วัย 53 ปีผู้เป็นนักบินที่ 1 และ ผู้ช่วยนักบิน ฟาริก อับดุล ฮามิด วัย 27 ปี จึงกลายเป็นจุดเน้นหนักของการสืบสวนสอบสวน โดยที่คำถามที่สุดคำถามหนึ่งก็คือ ใครเป็นผู้ควบคุมเครื่องบินอยู่เมื่อตอนที่มันเบนออกจากเส้นทางอย่างจงใจ ภายหลังบินอยู่ในเส้นทางมุ่งสู่กรุงปักกิ่งได้ประมาณ 1 ชั่วโมง
การสื่อสารกับโลกภายนอกครั้งสุดท้ายก่อนที่เครื่องบินลำนี้จะหายไปนั้น เป็นการพูดติดต่อกับหอบังคับการบินของเวียดนาม โดยข้อความสุดท้ายจากห้องนักบินเป็นคำกล่าวลาอย่างไม่เป็นทางการว่า “ตกลง ราตรีสวัสดิ์” (All right, good night)
อาหมัด เจาฮารี ยะหยา ซีอีโอของมาเลเซียแอร์ไลน์ กล่าวในการแถลงข่าววันจันทร์ (17) ว่า “การสืบสวนสอบสวนเบื้องต้นบ่งชี้ว่า โดยพื้นฐานแล้วนักบินผู้ช่วยคือผู้ที่พูด (กับทางหอบังคับการบินคราวนี้)”
แต่เขากล่าวด้วยว่า ยังไม่เป็นที่ชัดเจนเสียทีเดียวว่า ระบบส่งสัญญาณอัตโนมัติสำหรับให้ติดตามเครื่องบินได้ระบบหนึ่ง ได้ถูกคนปิดเครื่องไปเมื่อใดกันแน่ คำพูดเช่นนี้ดูเหมือนจะขัดแย้งกับคำกล่าวของรัฐมนตรีหลายๆ คนของมาเลเซียในการแถลงข่าวเมื่อวันอาทิตย์ (16)
ทั้งนี้ได้เกิดความสงสัยกันเพิ่มขึ้นมากว่าเที่ยวบินนี้ประสบเหตุถูกจี้หรือถูกก่อวินาศกรรม หลังจากที่เจ้าหน้าที่มาเลเซียระบุในวันอาทิตย์ว่า การติดต่อสื่อสารระหว่างห้องนักบินกับหอบังคับการบินครั้งสุดท้าย บังเกิดขึ้นเมื่อเวลา 01.19 น.วันเสาร์ตามเวลาท้องถิ่นมาเลเซีย หลังจากระบบ ACARS ซึ่งเป็นคอมพิวเตอร์ซ่อมบำรุงที่คอยส่งข้อมูลสำคัญๆ เกี่ยวกับสภาพทางเครื่องยนต์กลไกของเครื่องบินอย่างอัตโนมัติ ได้ถูกคนปิดให้หยุดทำงานในเวลา 01.07 น.
อย่างไรก็ตาม อาหมัด เจาฮารี กล่าวในวันจันทร์ว่า “เราไม่ทราบว่าระบบ ACARS จะถูกปิดหลังจากนั้นหรือเปล่า” และ “มีการกำหนดให้มันส่งสัญญาณ 30 นาทีหลังจากนั้น แต่สัญญาณก็ไม่ได้ปรากฏออกมา”
ในการแถลงข่าววันอาทิตย์ เหล่ารัฐมนตรีของมาเลเซียระบุด้วยว่า ในเวลา 01.21 น. หรือหลังจากการติดต่อพูดจากับหอบังคับการบินผ่านไป 2 นาที เครื่องรับส่งสัญญาณเรดาร์ (transponder) ของเครื่องบินลำนี้ ซึ่งคอยรับส่งสัญญาณเรดาร์เกี่ยวกับตำแหน่งและเพดานบิน ก็ถูกปิดไปอีกระบบหนึ่ง ทำให้เครื่องบินหายลับจากจอเรดาร์พลเรือน
ไม่เพียงทางการมาเลเซียเท่านั้น พวกหน่วยข่าวกรองของสหรัฐฯก็กำลังเพ่งความสนใจมาที่นักบินทั้ง 2 ด้วยเช่นกัน ตามการเปิดเผยของสมาชิกรัฐสภาอาวุโสของสหรัฐฯ
ทั้งนี้ ไมเคิล แมคคอล ประธานคณะกรรมาธิการความมั่นคงแห่งมาตุภูมิของสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐฯ เปิดเผยผ่านสถานีโทรทัศน์ฟ็อกซ์ นิวส์ เมื่อวันอาทิตย์ (16) ว่า จากข้อมูลที่ได้รับจากการบรรยายสรุปของเจ้าหน้าที่ระดับสูงของกระทรวงความมั่นคงแห่งมาตุภูมิ ศูนย์ต่อต้านการก่อการร้ายแห่งชาติ และหน่วยงานด้านข่าวกรองต่างๆ เขาคิดว่าข้อมูลทั้งหลายล้วนชี้บ่งไปที่นักบินคู่นี้
อย่างไรก็ตาม เจ้าหน้าที่มาเลเซียกล่าวย้ำในวันอาทิตย์ว่า ถึงแม้ตำรวจได้ไปตรวจค้นบ้านพักของนักบินทั้งสองคน รวมทั้งยึดเอาระบบจำลองการบินที่บ้านของซอฮารีมาตรวจสอบ แต่ก็ไม่ควรที่จะด่วนสรุป นอกจากนั้น เจ้าหน้าที่ยังได้ตรวจสอบภูมิหลังของผู้โดยสารและลูกเรือทั้งหมด ตลอดจนถึงวิศวกรที่อาจทำงานบนเครื่องบินลำนั้นก่อนที่เครื่องจะขึ้นจากสนามบิน รวมทั้งขอให้ประเทศต่างๆ ซึ่งมีพลเมืองอยู่บนเที่ยวบินนี้ ส่งข้อมูลของบุคคลเหล่านี้มาให้ด้วย
มีเพื่อนร่วมงานหลายคนของซอฮารีเล่าว่า นักบินผู้นี้เป็นผู้สนับสนุนพรรคฝ่ายค้านที่นำโดยอันวาร์ อิบราฮิม ซึ่งเพิ่งถูกตัดสินว่ามีความผิดจากพฤติกรรมรักร่วมเพศก่อนที่ MH370 จะขึ้นจากสนามบินไม่กี่ชั่วโมง
อย่างไรก็ดี เพื่อนๆ ยืนยันว่า ซอฮารีไม่เคยแสดงความคิดเห็นที่บ่งชี้ว่า เขาเป็นพวกหัวรุนแรงแต่อย่างใด ขณะที่ผู้ซึ่งเคยพบเห็นเขาระหว่างไปช่วยหาเสียงให้พรรคฝ่ายค้านต่างบอกว่า เขาก็ประพฤติเหมือนผู้ที่อาสาสมัครมาช่วยหาเสียงคนอื่นๆ และไม่ได้รู้จักสนิทสนมกับอันวาร์ หรือเป็นพวกที่คลั่งไคล้การเมืองแต่อย่างใด
ขณะเดียวกัน ฟาริก ผู้ช่วยนักบิน เคยถูกสื่อออสเตรเลียเปิดโปงว่า ชวนหญิงสาวแอฟริกาใต้สองคนเข้าไปชมห้องนักบินบนเครื่องบินที่เขาเป็นผู้ช่วยนักบินอยู่เมื่อปี 2011 ซึ่งถือว่า ละเมิดกฎความปลอดภัยที่บังคับใช้ภายหลังเหตุวินาศกรรม 9/11 ในอเมริกา
แต่คนคุ้นเคยยืนยันว่า ฟาริกเป็นคนดี และมีรายงานว่า เขาวางแผนแต่งงานเร็วๆ นี้ กับเพื่อนสาวที่เป็นนักเรียนการบินด้วยกันและเวลานี้เป็นนักบินของแอร์เอเชีย
นอกจากนั้น รัฐมนตรีคมนาคมของมาเลเซียยังตั้งข้อสังเกตว่า นักบินทั้งสองคนไม่ได้ร้องขอบินเที่ยวบินเดียวกันแต่อย่างใด
สำหรับในส่วนการปฏิบัติการค้นหา MH370 นั้น จำนวนประเทศที่ร่วมได้เพิ่มขึ้นเกือบเท่าตัวในรอบ 2 วันที่ผ่านมา โดยเวลานี้มี 26 ประเทศ
นายกรัฐมนตรีโทนี แอ็บบอตต์ของออสเตรเลีย แถลงในวันจันทร์ว่า แคนเบอร์ราจะรับผิดชอบการค้นหาเส้นทางบินทางใต้ตามคำขอของนาจิบ ราซัค ผู้นำแดนเสือเหลือง และเสนอให้ความช่วยเหลือในด้านระบบสอดแนมทางทะเลเพิ่มเติม
แอ็บบอตต์เสริมว่า รัฐมนตรีกลาโหมของสองประเทศจะหารือกันถึงแนวทางการจัดการสำหรับปฏิบัติการค้นหานี้
ก่อนหน้าการแถลงนี้ แอ็บบอตยังได้ตอบคำถามของสื่อว่า ไม่ได้รับข้อมูลจากหน่วยงานในประเทศว่า MH370 บินเข้าใกล้ออสเตรเลีย ซึ่งเป็นสุดแดนด้านตะวันตกของมหาสมุทรอินเดียแต่อย่างใด
ทั้งนี้ มีพลเมืองออสเตรเลีย 6 คนอยู่บนเที่ยวบินที่สูญหายนี้ นอกจากนั้น เจ้าหน้าที่ 3 คนจากหน่วยสืบสวนอุบัติเหตุการบินพลเรือนของฝรั่งเศส เดินทางถึงกัวลาลัมเปอร์เมื่อวันจันทร์เพื่อแบ่งปันประสบการณ์ในการค้นหาเที่ยวบิน 447 ของแอร์ ฟรานซ์ที่ตกลงในมหาสมุทรแอตแลนติกเมื่อปี 2009 แต่กว่าจะค้นพบกล่องดำก็ล่วงเลยไปเกือบ 2 ปี โดยค้นพบที่ความลึกกว่า 3,800 เมตร
ขณะที่นายกรัฐมนตรี มานโมหัน ซิงห์ ได้ประกาศให้คำมั่นสัญญาว่าจะร่วมมือช่วยเหลือด้วยอย่างเต็มที่ สำหรับการติดตามไล่ล่าของนานาชาติเพื่อค้นหาเครื่องบินในเที่ยวบิน MH370 ลำนี้ รัฐมนตรีต่างประเทศ ซัลมาน คูร์ชิด ของอินเดีย ก็กล่าวสำทับว่าเป็นเรื่องสำคัญมากที่จะต้องคลี่คลายปริศนาเกี่ยวกับชะตากรรมของเครื่องบินลำนี้ให้เป็นที่กระจ่าง
ครั้นเมื่อถูกเครือข่ายโทรทัศน์ ซีเอ็นเอ็น-ไอบีเอ็น จี้ถามเกี่ยวกับทฤษฎีที่เสนอกันว่า เครื่องบินลำนี้ถูกคนร้ายจี้ ด้วยวัตถุประสงค์ที่จะให้ขับพุ่งชนเข้าไปในเมืองใหญ่ของอินเดียเมืองหนึ่ง คูร์ชิดก็ตอบว่า “ผมไม่คิดว่าเราควรต้องคิดไปไกลถึงขนาดนั้น”
กระแสข่าวลือเกี่ยวกับทฤษฎีนี้แพร่สะพัดออกไปมาก เนื่องจาก สโตรบ ทัลบอตต์ อดีตรัฐมนตรีช่วยต่างประเทศของสหรัฐฯ ได้ทวีตว่า “ทิศทาง, น้ำมันเชื้อเพลิงที่บรรทุกอยู่ และพิสัยทำการบิน เวลานี้ทำให้บางคนสงสัยว่าพวกจี้เครื่องบินวางแผนโจมตีในแบบ 9/11 ต่อเมืองใหญ่ในอินเดีย”
ความเห็นของสโตรบ ถูกสื่อมวลชนอินเดียหยิบยกมาเสนอและวิพากษ์วิจารณ์อย่างกว้างขวางในช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา และคูร์ชิดบอกว่า จำเป็นที่จะต้องให้คำตอบแก่ประชาชนเพื่อบรรเทาความหวาดกลัวของพวกเขา
“เราหวังว่าจะสามารถมีข้อสรุปบางประการซึ่งทั้งน่าเชื่อถือและทั้งสร้างความมั่นอกมั่นใจ” เขากล่าว
ก่อนหน้านี้ หนังสือพิมพ์ไทมส์ออฟอินเดีย รายงานว่าพวกแหล่งข่าวความมั่นคงของแดนภารตะต่างระบุว่า แนวความคดนี้ “ไร้สาระ” เนื่องจากคิดเห็นไปว่าเครื่องบินลำนี้สามารถบินเข้าไปใกล้ๆ ย่านศูนย์กลางของเมืองใหญ่ในอินเดียได้ ซึ่งความเป็นจริงไม่ใช่เช่นนั้นเลย เพราะเครื่องบินจะต้องถูกตรวจพบจากฐานทัพนาวีซึ่งตั้งอยู่ที่หมู่เกาะอันดามัน ห่างจากแผ่นดินใหญ่อินเดียกว่า 1,000 กิโลเมตร
“ไม่มีทางเลยที่เรดาร์ทางทหารของเราจะพลาด ไม่สามารถตรวจพบเครื่องบินโดยสารที่กำลังบินอยู่เหนือทะเลอันดามัน สืบเนื่องจากมีการสัญจรกันมากในช่วงเวลาดังกล่าว” แหล่งข่าวกรองทางทหารรายหนึ่งบอกกับไทมส์ออฟอินเดีย
ไม่เพียงแดนภารตะเท่านั้น ที่ไม่คิดว่าจะมีผู้ก่อเหตุแบบ 9/11 ต่อเมืองใหญ่ๆ ของตน ทางด้านกองทหารขององค์การนาโต้ที่นำโดยสหรัฐฯซึ่งกำลังปฏิบัติหน้าที่อยู่ในอัฟกานิสถาน ก็แถลงว่าไม่ได้กำลังออกตามหาเครื่องบินโดยสารที่หายไปนี้ในเขตรับผิดชอบของตนแต่อย่างใด ขณะที่สำนักงานการบินพลเรือนของปากีสถานบอกว่า เครื่องบินลำนี้ไม่เคยปรากฏขึ้นบนจอเรดาร์ของปากีสถาน
อินเดียนั้นได้ส่งเรือและเครื่องบินออกไปค้นหาบริเวณท้องทะเลนอกชายฝั่งหมู่เกาะอันดามันอันยาวเหยียดของตนเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ทว่าได้ระงับการปฏิบัติการเอาไว้ชั่วคราวเมื่อวันอาทิตย์ (16 มี.ค.) โดยบอกว่าต้องรอฟังคำแนะนำใหม่ๆ จากทางเจ้าหน้าที่รับผิดชอบของมาเลเซีย
“การปฏิบัติการต่างๆ ถูกระงับเอาไว้ก่อนในตอนนื้ ทุกๆ อย่างหยุดหมด” ดี.เค.ชาร์มา โฆษกกองทัพเรืออินเดีย บอกกับสำนักข่าวเอเอฟพีในวันจันทร์ (17)
“เจ้าหน้าที่รับผิดชอบของมาเลเซียในตอนนี้จะเป็นผู้ตัดสินใจและแจ้งให้เราทราบว่าควรจะไปค้นหาตรงไหน สำหรับตอนนี้พวกเขาขอให้เราหยุดรอและเตรียมพร้อมไว้ เราจึงกำลังรอคำแนะนำเพิ่มเติม ทันทีที่ได้รับ เราก็จะลงมือ”
***เชื่อ“กัปตันคนขับ” มีส่วนไฮแจ็ค
ในขณะที่เครื่องบินเที่ยว MH370 ของสายการบินมาเลเซียแอร์ไลน์สหายไปนานกว่า 9 วัน แล้วล่าสุดในวันนี้ (17) นายกรัฐมนตรีออสเตรเลีย โทนี แอ็บบอต เปิดเผยในวันนี้ว่ายังไม่มีข้อมูลยืนยันว่าเครื่องบินลำที่หายไปนั้นอยู่ใกล้ออสเตรเลีย ที่ล่าสุดอ้างอิงจากการติดต่อครั้งสุดท้ายของเครื่องบินไฟลต์ MH370 กับดาวเทียมทำให้มีการคาดว่าหนึ่งในเส้นทางที่เครื่องบินลำที่หายไปอาจมุ่งลงใต้ใกล้กับมหาสมุทรอินเดียใต้ นอกจากที่อาจจะมุ่งหน้าขึ้นเหนือผ่านไทยไปยังเอเชียกลาง โดยเครื่องบินลำดังกล่าวมีเชื้อเพลิงที่สามารถบินได้อยู่ราว 7 ชั่วโมง
โดยออสเตรเลียได้ใช้เครื่องบินสอดแนม AP-3C Orion จำนวน 2 ลำ ให้การช่วยเหลือภารกิจค้นหา MH370 ซึ่งแอ็บบอตกล่าวย้ำว่า 1 ใน 2 ของเครื่องบินสอดแนมนี้ได้ถูกสั่งให้ค้นหาทั่วมหาสมุทรอินเดียอีกครั้ง และเขายังกล่าวเสริมว่าจะปรึกษากับรัฐบาลมาเลเซียอีกครั้งว่าต้องการความช่วยเหลือใดเพิ่มเติมจากออสเตรเลียอีกบ้าง
แต่ในวันอาทิตย์ (16) นี้ NBC รายงานว่า อินเดียได้ระงับภารกิจค้นหาจนกว่าจะได้ข้อมูลเพิ่มเติมจากมาเลเซีย โดยที่ผ่านมาอินเดียได้สนับสนุนภารกิจด้วยเครื่องบินค้นหา 6 เครื่อง และเรืออีก 6 ลำค้นหาทั่วทะเลอันดามัน และอ่าวเบงกอล โดย NBC สื่อสหรัฐฯ ได้รายงานเสริมว่า การค้นหาส่วนใหญ่มุ่งลงใต้เนื่องจากเป็นพื้นที่เปิดทางทะเล และมีความเป็นไปได้น้อยมากที่จะถูกเรดาร์ติดตาม ซึ่งแผนที่ซึ่งถูกสร้างโดย radio station WNYC ของสหรัฐฯ ระบุว่ามี 634 ตำแหน่งที่มีความเป็นไปได้เหมาะสมสำหรับเครื่องบินลำที่หายไปอาจจะลงจอดไล่ตั้งแต่ออสเตรเลีย มัลดีฟส์ จนถึงปากีสถาน
นอกจากนี้ ในช่วงสุดสัปดาห์ล่าสุดมีรายงานเปิดเผยจากมาเลเซียพบว่า นักบินที่ 1 ซอฮารี อาหมัด ชาห์ วัย 53 ปี เป็นผู้นิยมในการเมืองมาเลเซียอย่างมาก ซึ่งเขาเป็นผู้ให้การสนับสนุนผู้นำฝ่ายค้านมาเลเซีย อันวาร์ อิบราฮิม ที่ปรึกษาพรรคเกออาดิลัน และเจ้าหน้าที่มาเลย์คาดว่า ซอฮารี อาหมัด ชาห์ อาจผิดหวังจากการที่อิบบราฮิมต้องถูกตัดสินจำคุก ซึ่งคำพิพากษามีขึ้นไม่กี่ชั่วโมงก่อนจะมีข่าวการหายไปของ MH370 โดยทางตำรวจมาเลย์คาดว่า อาจเป็นไปได้ที่นักบินที่ 1 ทำการจี้เครื่องบินที่ตนเองขับเพื่อทำการประท้วงรัฐบาลมาเลย์ ซึ่งเอเอฟพีรายงานในวันจันทร์ (17) สอดคล้องกับหน่วยการข่าวสหรัฐฯ ที่พุ่งเป้าความสนใจไปที่กัปตันเครื่องบินเที่ยว MH370 ว่ามีบางอย่างเกีี่ยวกับนักบินผู้นี้ที่น่าสงสัย
นอกจากนี้ เมลออนไลน์ของอังกฤษยังรายงานว่า FBI สหรัฐฯ ยังชี้ถึงความเป็นไปได้ว่า อาจจะมีการนำเครื่องบินไปลงจอดแอบซ่อนเพื่อจับผู้โดยสารเป็นตัวประกัน โดยเจ้าหน้าที่ตำรวจมาเลย์พบรูปถ่ายของนักบินที่ 1 สวมเสื้อยืดสีดำมีข้อความระบุ “ประชาธิปไตยตายแล้ว” และยังพบข้อน่าสงสัยที่ว่า ครอบครัวของซอฮารี อาหมัด ชาห์ ที่ประกอบไปด้วย ภรรยาและบุตรทั้งสามได้ย้ายออกไปจากบ้านล่วงหน้า 1 วันก่อนที่เครื่องบินเที่ยวประวัติศาสตร์จะหายไป อ้างจากเมลออนไลน์ สื่ออังกฤษ
สหรัฐฯ ได้ตั้งข้อสงสัยถึงเครื่องบินที่หายไปดังนี้ 1. หากนักบินที่ 1 และนักบินผู้ช่วยของเที่ยวบิน MH370 นั้นมีส่วนพัวพันการหายไปของเที่ยวบินนี้จริง พวกเขาทำงานร่วมกันหรือเป็นการลงมือทำคนเดียว หรือเป็นการร่วมมือกับผู้โดยสารคนอื่นหรือลูกเรือคนอื่น 2. นักบินขับเครื่องเพราะถูกบังคับหรือเป็นความจงใจ 3. มีผู้โดยสารที่สามารถเปิดเข้าไปในห้องควบคุมเครื่อง หรือใช้อาวุธข่มขู่เพื่อเข้าไปห้องคนขับนักบินเพื่อยึดเครื่อง หรือ 4. และมีจุดมุ่งหมายใดที่ต้องเปลี่ยนเส้นทางเครื่องบิน
***“ผู้ช่วยนักบิน”เป็นคนสุดท้ายที่ติดต่อโลกภายนอก
เวลานี้ยังคงไม่พบร่องรอยใดๆ เลยของเครื่องบินโบอิ้ง 777-200ER ลำนี้ ตั้งแต่ที่สูญหายไปในวันเสาร์ที่ 8 มี.ค. พร้อมกับผู้โดยสารและลูกเรือรวม 239 คน โดยที่สองในสามของผู้โดยสารเป็นชาวจีน พวกเจ้าหน้าที่สืบสวนสอบสวนกำลังมีความแน่ใจมากขึ้นเรื่อยๆ ว่า เครื่องบินลำนี้ได้หันหัวบินออกนอกเส้นทางเป็นระยะทางที่อาจจะถึงหลายพันกิโลเมตร ด้วยฝีมือของใครบางคนบนเครื่องซึ่งมีความรู้อย่างลึกซึ้งเกี่ยวกับเครื่องบินรุ่นนี้และเกี่ยวกับการเดินทางของเครื่องบินพลเรือน
ประเทศต่างๆ อย่างน้อยที่สุด 26 ชาติได้ตอบรับคำร้องขอของมาเลเซีย ในการร่วมมือกันดำเนินการค้นหาเครื่องบินลำนี้ ภายในอาณาบริเวณที่มีขอบเขตกว้างขวางมาก โดยที่เส้นทางตอนเหนือนั้นกินไปจนถึงทะเลแคสเปียน ส่วนทางตอนใต้ก็ลึกลงมาถึงด้านใต้ของมหาสมุทรอินเดีย
เนื่องจากค่อนข้างมั่นใจแล้วว่ามีผู้อยู่บนเครื่องบินจงใจเปลี่ยนเส้นทางบิน ซอฮารี อาหมัด ชาห์ วัย 53 ปีผู้เป็นนักบินที่ 1 และ ผู้ช่วยนักบิน ฟาริก อับดุล ฮามิด วัย 27 ปี จึงกลายเป็นจุดเน้นหนักของการสืบสวนสอบสวน โดยที่คำถามที่สุดคำถามหนึ่งก็คือ ใครเป็นผู้ควบคุมเครื่องบินอยู่เมื่อตอนที่มันเบนออกจากเส้นทางอย่างจงใจ ภายหลังบินอยู่ในเส้นทางมุ่งสู่กรุงปักกิ่งได้ประมาณ 1 ชั่วโมง
การสื่อสารกับโลกภายนอกครั้งสุดท้ายก่อนที่เครื่องบินลำนี้จะหายไปนั้น เป็นการพูดติดต่อกับหอบังคับการบินของเวียดนาม โดยข้อความสุดท้ายจากห้องนักบินเป็นคำกล่าวลาอย่างไม่เป็นทางการว่า “ตกลง ราตรีสวัสดิ์” (All right, good night)
อาหมัด เจาฮารี ยะหยา ซีอีโอของมาเลเซียแอร์ไลน์ กล่าวในการแถลงข่าววันจันทร์ (17) ว่า “การสืบสวนสอบสวนเบื้องต้นบ่งชี้ว่า โดยพื้นฐานแล้วนักบินผู้ช่วยคือผู้ที่พูด (กับทางหอบังคับการบินคราวนี้)”
แต่เขากล่าวด้วยว่า ยังไม่เป็นที่ชัดเจนเสียทีเดียวว่า ระบบส่งสัญญาณอัตโนมัติสำหรับให้ติดตามเครื่องบินได้ระบบหนึ่ง ได้ถูกคนปิดเครื่องไปเมื่อใดกันแน่ คำพูดเช่นนี้ดูเหมือนจะขัดแย้งกับคำกล่าวของรัฐมนตรีหลายๆ คนของมาเลเซียในการแถลงข่าวเมื่อวันอาทิตย์ (16)
ทั้งนี้ได้เกิดความสงสัยกันเพิ่มขึ้นมากว่าเที่ยวบินนี้ประสบเหตุถูกจี้หรือถูกก่อวินาศกรรม หลังจากที่เจ้าหน้าที่มาเลเซียระบุในวันอาทิตย์ว่า การติดต่อสื่อสารระหว่างห้องนักบินกับหอบังคับการบินครั้งสุดท้าย บังเกิดขึ้นเมื่อเวลา 01.19 น.วันเสาร์ตามเวลาท้องถิ่นมาเลเซีย หลังจากระบบ ACARS ซึ่งเป็นคอมพิวเตอร์ซ่อมบำรุงที่คอยส่งข้อมูลสำคัญๆ เกี่ยวกับสภาพทางเครื่องยนต์กลไกของเครื่องบินอย่างอัตโนมัติ ได้ถูกคนปิดให้หยุดทำงานในเวลา 01.07 น.
อย่างไรก็ตาม อาหมัด เจาฮารี กล่าวในวันจันทร์ว่า “เราไม่ทราบว่าระบบ ACARS จะถูกปิดหลังจากนั้นหรือเปล่า” และ “มีการกำหนดให้มันส่งสัญญาณ 30 นาทีหลังจากนั้น แต่สัญญาณก็ไม่ได้ปรากฏออกมา”
ในการแถลงข่าววันอาทิตย์ เหล่ารัฐมนตรีของมาเลเซียระบุด้วยว่า ในเวลา 01.21 น. หรือหลังจากการติดต่อพูดจากับหอบังคับการบินผ่านไป 2 นาที เครื่องรับส่งสัญญาณเรดาร์ (transponder) ของเครื่องบินลำนี้ ซึ่งคอยรับส่งสัญญาณเรดาร์เกี่ยวกับตำแหน่งและเพดานบิน ก็ถูกปิดไปอีกระบบหนึ่ง ทำให้เครื่องบินหายลับจากจอเรดาร์พลเรือน
ไม่เพียงทางการมาเลเซียเท่านั้น พวกหน่วยข่าวกรองของสหรัฐฯก็กำลังเพ่งความสนใจมาที่นักบินทั้ง 2 ด้วยเช่นกัน ตามการเปิดเผยของสมาชิกรัฐสภาอาวุโสของสหรัฐฯ
ทั้งนี้ ไมเคิล แมคคอล ประธานคณะกรรมาธิการความมั่นคงแห่งมาตุภูมิของสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐฯ เปิดเผยผ่านสถานีโทรทัศน์ฟ็อกซ์ นิวส์ เมื่อวันอาทิตย์ (16) ว่า จากข้อมูลที่ได้รับจากการบรรยายสรุปของเจ้าหน้าที่ระดับสูงของกระทรวงความมั่นคงแห่งมาตุภูมิ ศูนย์ต่อต้านการก่อการร้ายแห่งชาติ และหน่วยงานด้านข่าวกรองต่างๆ เขาคิดว่าข้อมูลทั้งหลายล้วนชี้บ่งไปที่นักบินคู่นี้
อย่างไรก็ตาม เจ้าหน้าที่มาเลเซียกล่าวย้ำในวันอาทิตย์ว่า ถึงแม้ตำรวจได้ไปตรวจค้นบ้านพักของนักบินทั้งสองคน รวมทั้งยึดเอาระบบจำลองการบินที่บ้านของซอฮารีมาตรวจสอบ แต่ก็ไม่ควรที่จะด่วนสรุป นอกจากนั้น เจ้าหน้าที่ยังได้ตรวจสอบภูมิหลังของผู้โดยสารและลูกเรือทั้งหมด ตลอดจนถึงวิศวกรที่อาจทำงานบนเครื่องบินลำนั้นก่อนที่เครื่องจะขึ้นจากสนามบิน รวมทั้งขอให้ประเทศต่างๆ ซึ่งมีพลเมืองอยู่บนเที่ยวบินนี้ ส่งข้อมูลของบุคคลเหล่านี้มาให้ด้วย
มีเพื่อนร่วมงานหลายคนของซอฮารีเล่าว่า นักบินผู้นี้เป็นผู้สนับสนุนพรรคฝ่ายค้านที่นำโดยอันวาร์ อิบราฮิม ซึ่งเพิ่งถูกตัดสินว่ามีความผิดจากพฤติกรรมรักร่วมเพศก่อนที่ MH370 จะขึ้นจากสนามบินไม่กี่ชั่วโมง
อย่างไรก็ดี เพื่อนๆ ยืนยันว่า ซอฮารีไม่เคยแสดงความคิดเห็นที่บ่งชี้ว่า เขาเป็นพวกหัวรุนแรงแต่อย่างใด ขณะที่ผู้ซึ่งเคยพบเห็นเขาระหว่างไปช่วยหาเสียงให้พรรคฝ่ายค้านต่างบอกว่า เขาก็ประพฤติเหมือนผู้ที่อาสาสมัครมาช่วยหาเสียงคนอื่นๆ และไม่ได้รู้จักสนิทสนมกับอันวาร์ หรือเป็นพวกที่คลั่งไคล้การเมืองแต่อย่างใด
ขณะเดียวกัน ฟาริก ผู้ช่วยนักบิน เคยถูกสื่อออสเตรเลียเปิดโปงว่า ชวนหญิงสาวแอฟริกาใต้สองคนเข้าไปชมห้องนักบินบนเครื่องบินที่เขาเป็นผู้ช่วยนักบินอยู่เมื่อปี 2011 ซึ่งถือว่า ละเมิดกฎความปลอดภัยที่บังคับใช้ภายหลังเหตุวินาศกรรม 9/11 ในอเมริกา
แต่คนคุ้นเคยยืนยันว่า ฟาริกเป็นคนดี และมีรายงานว่า เขาวางแผนแต่งงานเร็วๆ นี้ กับเพื่อนสาวที่เป็นนักเรียนการบินด้วยกันและเวลานี้เป็นนักบินของแอร์เอเชีย
นอกจากนั้น รัฐมนตรีคมนาคมของมาเลเซียยังตั้งข้อสังเกตว่า นักบินทั้งสองคนไม่ได้ร้องขอบินเที่ยวบินเดียวกันแต่อย่างใด
สำหรับในส่วนการปฏิบัติการค้นหา MH370 นั้น จำนวนประเทศที่ร่วมได้เพิ่มขึ้นเกือบเท่าตัวในรอบ 2 วันที่ผ่านมา โดยเวลานี้มี 26 ประเทศ
นายกรัฐมนตรีโทนี แอ็บบอตต์ของออสเตรเลีย แถลงในวันจันทร์ว่า แคนเบอร์ราจะรับผิดชอบการค้นหาเส้นทางบินทางใต้ตามคำขอของนาจิบ ราซัค ผู้นำแดนเสือเหลือง และเสนอให้ความช่วยเหลือในด้านระบบสอดแนมทางทะเลเพิ่มเติม
แอ็บบอตต์เสริมว่า รัฐมนตรีกลาโหมของสองประเทศจะหารือกันถึงแนวทางการจัดการสำหรับปฏิบัติการค้นหานี้
ก่อนหน้าการแถลงนี้ แอ็บบอตยังได้ตอบคำถามของสื่อว่า ไม่ได้รับข้อมูลจากหน่วยงานในประเทศว่า MH370 บินเข้าใกล้ออสเตรเลีย ซึ่งเป็นสุดแดนด้านตะวันตกของมหาสมุทรอินเดียแต่อย่างใด
ทั้งนี้ มีพลเมืองออสเตรเลีย 6 คนอยู่บนเที่ยวบินที่สูญหายนี้ นอกจากนั้น เจ้าหน้าที่ 3 คนจากหน่วยสืบสวนอุบัติเหตุการบินพลเรือนของฝรั่งเศส เดินทางถึงกัวลาลัมเปอร์เมื่อวันจันทร์เพื่อแบ่งปันประสบการณ์ในการค้นหาเที่ยวบิน 447 ของแอร์ ฟรานซ์ที่ตกลงในมหาสมุทรแอตแลนติกเมื่อปี 2009 แต่กว่าจะค้นพบกล่องดำก็ล่วงเลยไปเกือบ 2 ปี โดยค้นพบที่ความลึกกว่า 3,800 เมตร