เอเอฟพี/รอยเตอร์ – นักบินทั้ง 2 ของเที่ยวบิน MH370 ที่หายไปถูกเพ่งเล็งมากขึ้นอีกในวันจันทร์ (17 มี.ค.) เมื่อซีอีโอของสายการบินมาเลเซียแอร์ไลน์สเผยข้อมูลใหม่อีกชิ้นหนึ่งว่าข้อความสุดท้ายที่ได้ยินจากห้องนักบินของเครื่องบินโดยสารลำนี้ ก่อนที่จะลับหายไปจากจอเรดาร์ฝ่ายพลเรือนนั้น ผู้ช่วยนักบินเป็นคนพูด สำหรับในส่วนของการปฏิบัติการค้นหาที่มีชาติต่างๆ อย่างน้อย 26 ประเทศประกาศเข้าร่วมด้วยนั้น ออสเตรเลียแถลงว่าตนรับจะเป็นผู้นำในการค้นหาเส้นทางตอนใต้ซึ่งครอบคลุมพื้นที่ในมหาสมุทรอินเดีย ตามคำขอของผู้นำแดนเสือเหลือง
เวลานี้ยังคงไม่พบร่องรอยใดๆ เลยของเครื่องบินโบอิ้ง 777-200ER ลำนี้ ตั้งแต่ที่สูญหายไปในวันเสาร์ที่ 8 มี.ค.พร้อมกับผู้โดยสารและลูกเรือรวม 239 คน โดยที่สองในสามของผู้โดยสารเป็นชาวจีน พวกเจ้าหน้าที่สืบสวนสอบสวนกำลังมีความแน่ใจมากขึ้นเรื่อยๆ ว่า เครื่องบินลำนี้ได้หันหัวบินออกนอกเส้นทางเป็นระยะทางที่อาจจะถึงหลายพันกิโลเมตร ด้วยฝีมือของใครบางคนบนเครื่อง ซึ่งมีความรู้อย่างลึกซึ้งเกี่ยวกับเครื่องบินรุ่นนี้และเกี่ยวกับการเดินทางของเครื่องบินพลเรือน
ประเทศต่างๆ อย่างน้อยที่สุด 26 ชาติได้ตอบรับคำร้องขอของมาเลเซีย ในการร่วมมือกันดำเนินการค้นหาเครื่องบินลำนี้ ภายในอาณาบริเวณที่มีขอบเขตกว้างขวางมาก โดยที่เส้นทางตอนเหนือนั้นกินไปจนถึงทะเลแคสเปียน ส่วนทางตอนใต้ก็ลึกลงมาถึงด้านใต้ของมหาสมุทรอินเดีย
เนื่องจากค่อนข้างมั่นใจแล้วว่ามีผู้อยู่บนเครื่องบินจงใจเปลี่ยนเส้นทางบิน ซอฮารี อาหมัด ชาห์ วัย 53 ปี ผู้เป็นนักบินที่ 1 และ ผู้ช่วยนักบิน ฟาริก อับดุล ฮามิด วัย 27 ปี จึงกลายเป็นจุดเน้นหนักของการสืบสวนสอบสวน โดยที่คำถามที่สุดคำถามหนึ่งก็คือ ใครเป็นผู้ควบคุมเครื่องบินอยู่เมื่อตอนที่มันเบนออกจากเส้นทางอย่างจงใจ ภายหลังบินอยู่ในเส้นทางมุ่งสู่กรุงปักกิ่งได้ประมาณ 1 ชั่วโมง
การสื่อสารกับโลกภายนอกครั้งสุดท้ายก่อนที่เครื่องบินลำนี้จะหายไปนั้น เป็นการพูดติดต่อกับหอบังคับการบินของเวียดนาม โดยข้อความสุดท้ายจากห้องนักบินเป็นคำกล่าวลาอย่างไม่เป็นทางการว่า “ตกลง ราตรีสวัสดิ์” (All right, good night)
อาหมัด เจาฮารี ยะหยา ซีอีโอของมาเลเซียแอร์ไลน์ส กล่าวในการแถลงข่าววันจันทร์ (17) ว่า “การสืบสวนสอบสวนเบื้องต้นบ่งชี้ว่า โดยพื้นฐานแล้วนักบินผู้ช่วยคือผู้ที่พูด (กับทางหอบังคับการบินคราวนี้)”
แต่เขากล่าวด้วยว่า ยังไม่เป็นที่ชัดเจนเสียทีเดียวว่า ระบบส่งสัญญาณอัตโนมัติสำหรับให้ติดตามเครื่องบินได้ระบบหนึ่ง ได้ถูกคนปิดเครื่องไปเมื่อใดกันแน่ คำพูดเช่นนี้ดูเหมือนจะขัดแย้งกับคำกล่าวของรัฐมนตรีหลายๆ คนของมาเลเซียในการแถลงข่าวเมื่อวันอาทิตย์ (16)
ทั้งนี้ได้เกิดความสงสัยกันเพิ่มขึ้นมากว่าเที่ยวบินนี้ประสบเหตุถูกจี้หรือถูกก่อวินาศกรรม หลังจากที่เจ้าหน้าที่มาเลเซีย ระบุในวันอาทิตย์ว่า การติดต่อสื่อสารระหว่างห้องนักบินกับหอบังคับการบินครั้งสุดท้าย บังเกิดขึ้นเมื่อเวลา 01.19 น.วันเสาร์ตามเวลาท้องถิ่นมาเลเซีย หลังจากระบบ ACARS ซึ่งเป็นคอมพิวเตอร์ซ่อมบำรุงที่คอยส่งข้อมูลสำคัญๆ เกี่ยวกับสภาพทางเครื่องยนต์กลไกของเครื่องบินอย่างอัตโนมัติ ได้ถูกคนปิดให้หยุดทำงานในเวลา 01.07 น.
อย่างไรก็ตาม อาหมัด เจาฮารี กล่าวในวันจันทร์ว่า “เราไม่ทราบว่าระบบ ACARS จะถูกปิดหลังจากนั้นหรือเปล่า” และ “มีการกำหนดให้มันส่งสัญญาณ 30 นาทีหลังจากนั้น แต่สัญญาณก็ไม่ได้ปรากฏออกมา”
ในการแถลงข่าววันอาทิตย์ เหล่ารัฐมนตรีของมาเลเซียระบุด้วยว่า ในเวลา 01.21 น. หรือหลังจากการติดต่อพูดจากับหอบังคับการบินผ่านไป 2 นาที เครื่องรับส่งสัญญาณเรดาร์ (transponder) ของเครื่องบินลำนี้ ซึ่งคอยรับส่งสัญญาณเรดาร์เกี่ยวกับตำแหน่งและเพดานบิน ก็ถูกปิดไปอีกระบบหนึ่ง ทำให้เครื่องบินหายลับจากจอเรดาร์พลเรือน
ไม่เพียงทางการมาเลเซียเท่านั้น พวกหน่วยข่าวกรองของสหรัฐฯก็กำลังเพ่งความสนใจมาที่นักบินทั้ง 2 ด้วยเช่นกัน ตามการเปิดเผยของสมาชิกรัฐสภาอาวุโสของสหรัฐฯ
ทั้งนี้ ไมเคิล แมคคอล ประธานคณะกรรมาธิการความมั่นคงแห่งมาตุภูมิของสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐฯ เปิดเผยผ่านสถานีโทรทัศน์ฟ็อกซ์ นิวส์ เมื่อวันอาทิตย์ (16) ว่า จากข้อมูลที่ได้รับจากการบรรยายสรุปของเจ้าหน้าที่ระดับสูงของกระทรวงความมั่นคงแห่งมาตุภูมิ ศูนย์ต่อต้านการก่อการร้ายแห่งชาติ และหน่วยงานด้านข่าวกรองต่างๆ เขาคิดว่าข้อมูลทั้งหลายล้วนชี้บ่งไปที่นักบินคู่นี้
อย่างไรก็ตาม เจ้าหน้าที่มาเลเซียกล่าวย้ำในวันอาทิตย์ว่า ถึงแม้ตำรวจได้ไปตรวจค้นบ้านพักของนักบินทั้งสองคน รวมทั้งยึดเอาระบบจำลองการบินที่บ้านของซอฮารีมาตรวจสอบ แต่ก็ไม่ควรที่จะด่วนสรุป นอกจากนั้น เจ้าหน้าที่ยังได้ตรวจสอบภูมิหลังของผู้โดยสารและลูกเรือทั้งหมด ตลอดจนถึงวิศวกรที่อาจทำงานบนเครื่องบินลำนั้นก่อนที่เครื่องจะขึ้นจากสนามบิน รวมทั้งขอให้ประเทศต่างๆ ซึ่งมีพลเมืองอยู่บนเที่ยวบินนี้ ส่งข้อมูลของบุคคลเหล่านี้มาให้ด้วย
มีเพื่อนร่วมงานหลายคนของซอฮารีเล่าว่า นักบินผู้นี้เป็นผู้สนับสนุนพรรคฝ่ายค้านที่นำโดยอันวาร์ อิบราฮิม ซึ่งเพิ่งถูกตัดสินว่ามีความผิดจากพฤติกรรมรักร่วมเพศก่อนที่ MH370 จะขึ้นจากสนามบินไม่กี่ชั่วโมง
อย่างไรก็ดี เพื่อนๆ ยืนยันว่า ซอฮารีไม่เคยแสดงความคิดเห็นที่บ่งชี้ว่า เขาเป็นพวกหัวรุนแรงแต่อย่างใด ขณะที่ผู้ซึ่งเคยพบเห็นเขาระหว่างไปช่วยหาเสียงให้พรรคฝ่ายค้านต่างบอกว่า เขาก็ประพฤติเหมือนผู้ที่อาสาสมัครมาช่วยหาเสียงคนอื่นๆ และไม่ได้รู้จักสนิทสนมกับอันวาร์ หรือเป็นพวกที่คลั่งไคล้การเมืองแต่อย่างใด
ขณะเดียวกัน ฟาริก ผู้ช่วยนักบิน เคยถูกสื่อออสเตรเลียเปิดโปงว่า ชวนหญิงสาวแอฟริกาใต้สองคนเข้าไปชมห้องนักบินบนเครื่องบินที่เขาเป็นผู้ช่วยนักบินอยู่เมื่อปี 2011 ซึ่งถือว่า ละเมิดกฎความปลอดภัยที่บังคับใช้ภายหลังเหตุวินาศกรรม 9/11 ในอเมริกา
แต่คนคุ้นเคยยืนยันว่า ฟาริกเป็นคนดี และมีรายงานว่า เขาวางแผนแต่งงานเร็วๆ นี้ กับเพื่อนสาวที่เป็นนักเรียนการบินด้วยกันและเวลานี้เป็นนักบินของแอร์เอเชีย
นอกจากนั้น รัฐมนตรีคมนาคมของมาเลเซียยังตั้งข้อสังเกตว่า นักบินทั้งสองคนไม่ได้ร้องขอบินเที่ยวบินเดียวกันแต่อย่างใด
สำหรับในส่วนการปฏิบัติการค้นหา MH370 นั้น จำนวนประเทศที่ร่วมได้เพิ่มขึ้นเกือบเท่าตัวในรอบ 2 วันที่ผ่านมา โดยเวลานี้มี 26 ประเทศ
นายกรัฐมนตรี โทนี แอ็บบอตต์ ของออสเตรเลีย แถลงในวันจันทร์ว่า แคนเบอร์ราจะรับผิดชอบการค้นหาเส้นทางบินทางใต้ตามคำขอของนาจิบ ราซัค ผู้นำแดนเสือเหลือง และเสนอให้ความช่วยเหลือในด้านระบบสอดแนมทางทะเลเพิ่มเติม
แอ็บบอตต์เสริมว่า รัฐมนตรีกลาโหมของสองประเทศจะหารือกันถึงแนวทางการจัดการสำหรับปฏิบัติการค้นหานี้
ก่อนหน้าการแถลงนี้ แอ็บบอตยังได้ตอบคำถามของสื่อว่า ไม่ได้รับข้อมูลจากหน่วยงานในประเทศว่า MH370 บินเข้าใกล้ออสเตรเลีย ซึ่งเป็นสุดแดนด้านตะวันตกของมหาสมุทรอินเดียแต่อย่างใด
ทั้งนี้ มีพลเมืองออสเตรเลีย 6 คนอยู่บนเที่ยวบินที่สูญหายนี้
นอกจากนั้น เจ้าหน้าที่ 3 คนจากหน่วยสืบสวนอุบัติเหตุการบินพลเรือนของฝรั่งเศส เดินทางถึงกัวลาลัมเปอร์เมื่อวันจันทร์เพื่อแบ่งปันประสบการณ์ในการค้นหาเที่ยวบิน 447 ของแอร์ ฟรานซ์ที่ตกลงในมหาสมุทรแอตแลนติกเมื่อปี 2009 แต่กว่าจะค้นพบกล่องดำก็ล่วงเลยไปเกือบ 2 ปี โดยค้นพบที่ความลึกกว่า 3,800 เมตร