เอเจนซีส์ – หน่วยงานข่าวกรองของหลายประเทศ ร่วมมือกันในวันอาทิตย์ (9 มี.ค.) เพื่อสืบสวนสอบสวนความเป็นมาของผู้โดยสาร 2 คน ซึ่งขึ้นเครื่องบินโดยสารโบอิ้ง 777 ของสายการบินมาเลเซีย แอร์ไลน์ส (เอ็มเอเอส) ที่สูญหายตั้งแต่วันเสาร์ (8) โดยใช้หนังสือเดินทางที่ขโมยมา ขณะที่พวกเจ้าหน้าที่รับผิดชอบของแดนเสือเหลืองแถลงว่า ภาพจากจอเรดาร์แสดงให้เห็นว่าเครื่องบินลำนี้อาจจะหันหัวเลี้ยวกลับก่อนจะหายลับไป สำหรับความคืบหน้าของการค้นหา ล่าสุดเจ้าหน้าที่เวียดนามระบุว่าเครื่องบินที่บินระยะต่ำพบเห็นวัตถุต้องสงสัย แม้ยังไม่สามารถยืนยันชัดเจนได้ว่าเป็นชิ้นส่วนของโบอิ้งลำนี้
เวลาผ่านไป 1 วันครึ่งแล้วหลังจากเที่ยวบิน MH370 ของมาเลเซีย แอร์ไลน์ส สูญหายไป แต่จนกระทั่งถึงคืนวันอาทิตย์ ก็ยังไม่มีการยืนยันแน่นอนว่าได้มีการค้นพบซากใดๆ ของเครื่องบินลำนี้ รวมทั้งช่วงนาทีท้ายๆ ก่อนที่มันจะหายลับ ก็ยังคงเป็นปริศนาที่ไม่มีคำตอบ ทั้งนี้เครื่องบินลำนี้ซึ่งกำลังบรรทุกผู้โดยสารและลูกเรือรวม 239 คน ได้ขาดการติดต่อกับทางหอบังคับการบินภาคพื้นดินไปเฉยๆ ขณะบินอยู่กลางทะเลระหว่างมาเลเซียกับเวียดนาม หลังจากที่บินขึ้นจากกรุงกัวลาลัมเปอร์ในตอนเช้ามืดวันเสาร์ สู่จุดหมายปลายทางที่กรุงปักกิ่ง
ปฏิบัติการการค้นหาขนาดใหญ่ ซึ่งมีรายงานว่ามีประเทศต่างๆ ส่งเครื่องบินมาช่วยเหลือ 22 ลำ และเรือชนิดต่างๆ อีก 40 ลำ ครอบคลุมน่านน้ำระหว่างมาเลเซียไปจนจรดฟิลิปปินส์ ยังคงไม่พบร่องรอยชัดเจนของเครื่องบินไอพ่นลำนี้ ถึงแม้พวกเจ้าหน้าที่รับผิดชอบของเวียดนามกล่าวกับสำนักข่าวเอพีในคืนวันอาทิตย์ว่า เครื่องบินที่บินในระยะต่ำลำหนึ่งได้พบเห็นวัตถุรูปสี่เหลี่ยมในน้ำ บริเวณห่างจากเกาะโถจู ไปทางใต้ราว 90 กิโลเมตร ซึ่งก็เป็นพื้นที่เดียวกับที่พบเห็นรอยคราบน้ำมันเป็นแนวกว้างในวันเสาร์นั่นเอง พวกสื่อของทางการเวียดนามพากันคาดเดาว่าวัตถุดังกล่าวนี้อาจจะมาจากเครื่องบินที่กำลังค้นหากันอยู่ก็ได้
ผู้อำนวยการสำนักงานบริหารการบินพลเรือน ฝ่าม เวียต ดุง แถลงว่า เวียดนามได้แจ้งให้ทีมค้นหาต่างๆ ทั้งของเวียดนามและประเทศอื่นๆ ให้ส่งเรือไปยังบริเวณดังกล่าวเพื่อตรวจสอบแล้ว ก่อนหน้านี้พวกเจ้าหน้าที่รับผิดชอบของเวียดนามได้เคยระบุว่า พบเห็นวัตถุสีส้มในพื้นที่ตรงนั้น แต่เมื่อมีการตรวจสอบก็ปรากฏว่าไม่ใช่สิ่งที่มาจากเครื่องบินที่หาย
ส่วนทางด้านสำนักข่าวเอเอฟพีก็อ้างเจ้าหน้าที่ซึ่งไม่เปิดเผยนามผู้หนึ่งจากคณะกรรมการแห่งชาติเพื่อการค้นหาและกู้ภัยของเวียดนาม ให้ข้อมูลคล้ายๆ กันว่า เครื่องบินของเวียดนามลำหนึ่งพบวัตถุที่อยู่ในสภาพแตกหัก 2 ชิ้นที่ดูเหมือนจะมาจากเครื่องบิน ในบริเวณห่างจากเกาะโถจูไปทางตะวันตกเฉียงใต้ประมาณ 80 กิโลเมตร
เจ้าหน้าที่ผู้นี้กล่าวว่า เนื่องจากเป็นเวลากลางคืน ผู้อยู่บนเครื่องบินจึงไม่สามารถนำเอาวัตถุต้องสงสัยขึ้นมาจากน้ำเพื่อตรวจสอบให้ชัดเจน โดยทำได้เพียงระบุตำแหน่งของบริเวณดังกล่าวจากนั้นก็บินกลับมาที่สนามบิน ทั้งนี้จะมีการส่งเครื่องบินและเรือไปตรวจสอบใหม่ในวันจันทร์ (10)
สำหรับโบอิ้ง 777 ที่กำลังค้นหากันอยู่นี้ ดูเหมือนจะตกลงมาจากท้องฟ้าในระดับความสูงที่ใช้ในการบินตามปกติ ท่ามกลางอากาศที่แจ่มใส และนักบินดูเหมือนไม่สามารถหรือไม่มีเวลาเลยที่จะส่งสัญญาณให้ทราบว่าเกิดปัญหาขึ้น อันนับเป็นสภาวการณ์ที่ผิดปกติสำหรับเครื่องบินโดยสารไอพ่นสมัยใหม่ที่บริหารโดยสายการบินมืออาชีพเช่นนี้
พล.อ.อ.ร็อดซาลี ดาวุด ผู้บัญชาการกองทัพอากาศมาเลเซีย แถลงข่าวในวันอาทิตย์ว่า ข้อมูลจากเรดาร์ของฝ่ายทหารบ่งชี้ให้เห็นว่า เครื่องบินลำนี้อาจจะได้หันหัวเลี้ยวกลับ แต่เขาก็ไม่ได้ให้รายละเอียดเพิ่มเติมว่าเครื่องบินเลี้ยวไปทางไหน หรือบินออกนอกเส้นทางมากน้อยเพียงใด
ขณะที่ อาหมัด เยาหะรี ยาหยา ซีอีโอของมาเลเซียแอร์ไลน์ กล่าวว่า ถ้าหากเครื่องบินหันหัวเลี้ยวกลับแล้ว นักบินควรต้องแจ้งให้สายการบินและเจ้าหน้าที่ควบคุมการจราจรทางอากาศรับทราบ “แต่จากที่เรารู้มา ไม่มีสัญญาณแสดงความยากลำบาก หรือการติดต่อเพื่อบอกให้ทราบถึงความยากลำบากอะไรเลย ดังนั้น เราจึงรู้สึกงุนงงพอๆ กับคนอื่นๆ”
ในคืนวันเดียวกัน ทางด้าน ฮิชามมุดดิน ฮุสเซน รัฐมนตรีคมนาคมขนส่งมาเลเซียระบุว่า หน่วยข่าวกรองและหน่วยต่อต้านการก่อการร้ายของประเทศ กำลังตรวจสอบรายละเอียดเกี่ยวกับผู้โดยสารต้องสงสัย 2 คน หลังจากพบว่า ผู้โดยสาร 2 คนบนเที่ยวบินที่หายไปใช้หนังสือเดินทางที่ขโมยมา
“ผมสามารถยืนยันได้ว่า เรามีภาพของบุคคลทั้ง 2 นี้ที่ได้จากระบบโทรทัศน์วงจรปิดแล้ว” เขากล่าวและบอกว่ากำลังตรวจสอบภาพเหล่านี้อยู่
“เรามีพวกหน่วยข่าวกรอง ทั้งของมาเลเซียเองและของนานาชาติ เข้ามาร่วมมือด้วย” รัฐมนตรีผู้นี้เผย แต่ไม่ยอมให้รายละเอียดมากกว่านี้ โดยบอกว่าอาจเป็นผลเสียต่อการสืบสวน
ทางด้านตำรวจสากล (อินเตอร์โพล) ยืนยันว่า มีผู้โดยสารบนเครื่องบินที่หายไปลำนี้อย่างน้อย 2 คน ใช้หนังสือเดินทางที่ถูกขโมย พร้อมระบุว่าก่อนเกิดเหตุไม่ได้มีใครตรวจสอบฐานข้อมูลของตำรวจสากลในเรื่องนี้ แต่อันที่จริงแล้ว สายการบินส่วนใหญ่และประเทศส่วนใหญ่ปกติก็มักไม่ได้ทำการตรวจสอบเรื่องหนังสือเดินทางที่ถูกขโมย
สำหรับหนังสือเดินทางที่ถูกขโมยมาดังกล่าว ทางการผู้รับผิดชอบทางยุโรปยืนยันว่า เป็นของ คริสเตียน โคเซล ชาวออสเตรีย และ ลุยจิ มารัลดี ชาวอิตาลี ซึ่งถูกขโมยในประเทศไทยในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา
โอเปอเรเตอร์บริการสายด่วนของสายการบินเคแอลเอ็มในจีนยืนยันเมื่อวันอาทิตย์ว่า มีผู้จองตั๋วจากปักกิ่งไปอัมสเตอร์ดัมในวันที่ 8 โดยใช้ชื่อ “มารัลดี” และ “โคเซล” ทั้งนี้ผู้ที่ใช้ชื่อมารัลดี ยังจองตั๋วบินต่อจากอัมสเตอร์ดัมไปยังโคเปนเฮเกนโดยเครื่องของเคแอลเอ็มในวันเดียวกัน ส่วนโคเซลก็ต่อไปที่แฟรงก์เฟิร์ต ทั้งคู่สำรองตั๋วผ่านสายการบินไชน่า เซาเทิร์น
ทั้งนี้ จากการจองตั๋วเดินทางจากปักกิ่งต่อไปยังยุโรปเช่นนั้น ทำให้คนทั้งคู่ซึ่งถือหนังสือเดินทางยุโรป ไม่จำเป็นต้องขอวีซ่าเข้าจีน
ด้าน ไชน่า เซาเทิร์น ซึ่งมีข้อตกลงรหัสการบินร่วมกับเอ็มเอเอส ระบุว่า ในเที่ยวบินที่สูญหายมีผู้โดยสารอิตาลี 1 คนและออสเตรีย 1 คน ขณะที่ในรายชื่อผู้โดยสารของเอ็มเอเอส ไม่ปรากฏผู้โดยสาร 2 สัญชาตินี้คนอื่นอีก
ขณะเดียวกัน สื่อของทางการจีนเผยว่า ชาวจีนคนหนึ่งที่หมายเลขหนังสือเดินทางไปปรากฏบนรายชื่อผู้โดยสารเที่ยวบินดังกล่าวยังคงอยู่ในจีน และไม่เคยแจ้งว่า หนังสือเดินทางถูกขโมยไปแต่อย่างใด
ที่วอชิงตัน เจ้าหน้าที่คนหนึ่งในคณะรัฐบาลสหรัฐฯเผยว่า อเมริการับรู้เรื่องหนังสือเดินทางที่ถูกขโมยแล้ว แต่ไม่ได้นำประเด็นนี้ไปเชื่อมโยงกับการก่อการร้ายในทันที ขณะที่เจ้าหน้าที่กระทรวงความมั่นคงแห่งมาตุภูมิให้สัมภาษณ์หนังสือพิมพ์ลอสแองเจลีส ไทมส์ว่า ผู้ถือหนังสือเดินทางที่ถูกขโมยอาจขโมยหรือซื้อหนังสือเดินทางดังกล่าวมาจากตลาดมืด
หนังสือเดินทางที่ถูกขโมยและการหายไปอย่างปัจจุบันทันด่วนของเครื่องบิน ซึ่งผู้เชี่ยวชาญระบุว่า มีความเกี่ยวโยงกับความเป็นไปได้ที่จะมีระเบิดซุกซ่อนอยู่บนเครื่อง ตอกย้ำความกังวลว่าการก่อการร้ายอาจเป็นสาเหตุของเหตุการณ์นี้ และกลุ่มอัลกออิดะห์เคยใช้วิธีนี้เพื่อปกปิดตัวตนของนักปฏิบัติการของตน
ทางด้าน พอล เฮเยส ผู้อำนวยการบริษัทที่ปรึกษาด้านการบิน ไฟลต์โกลบัล แอสเซนด์ ชี้ว่า การที่เครื่องบินหายไปกะทันหันบ่งชี้ว่า มีความผิดปกติบางอย่างเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วกระทั่งนักบินไม่มีโอกาสแจ้งเตือน หรือลูกเรือกำลังวุ่นวายกับการรับมือสิ่งที่เกิดขึ้น
อย่างไรก็ตาม ยังมีสาเหตุที่เป็นไปได้อื่นๆ เช่น เครื่องยนต์บกพร่องรุนแรง ความผิดพลาดหรือกระทั่งการฆ่าตัวตายของนักบิน ทั้งนี้ทั้งนั้น การระบุสาเหตุที่แท้จริงต้องใช้ข้อมูลจากอุปกรณ์บันทึกการบินและการตรวจสอบซากเครื่องบินอย่างละเอียด ซึ่งต้องใช้เวลานานเป็นเดือนหรือเป็นปี
เที่ยวบินที่สูญหายนี้มีผู้โดยสาร 227 คน และลูกเรือ 12 คน ผู้โดยสารที่เป็นคนจีนมี 153 คน
เครื่องโบอิ้ง 777 นั้น มีประวัติความปลอดภัยที่ดี โดยเหตุการณ์นี้ถือเป็นเหตุการณ์ร้ายแรงครั้งที่ 2 ในรอบระยะเวลาเกือบ 20 ปีของเครื่องบินรุ่นนี้ ครั้งก่อนหน้านี้เกิดขึ้นเมื่อปีที่แล้วที่เครื่องของสายการบินเอเชียนา แอร์ไลน์ของเกาหลีใต้ ไถลออกนอกรันเวย์หลังจากกระแทกกับแนวรั้วริมทะเลในซานฟรานซิสโก ทำให้มีผู้เสียชีวิต 3 คน