xs
xsm
sm
md
lg

อัดยับมาเลย์เมินค้นหา ปากีปัดซ่อนเครื่องบินฯ

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

มาเลเซียโดนอัดยับ ที่ปล่อยเวลาผ่านไป 7 วัน ค่อยเผยข้อมูลเครื่องบิน MH370 หันหัวกลับ ด้านทีมสอบสวนลุยขอหมายค้นบ้านของนักบินฯ ขณะที่ปากีฯ ปัดข่าวเครื่องบินถูกซ่อน ล่าสุดมาเลเซียขยับเผย ปท.ร่วมค้นหา “เครื่องบินหาย” เพิ่มเป็น 25 ด้าน

จีนเป็นหัวหอกเปิดการวิพากษ์วิจารณ์ระลอกใหม่ใส่มาเลเซียวานนี้ (16 มี.ค.) ในเรื่องวิธีรับมือจัดการกับกรณีเครื่องบินโดยสารเที่ยวบิน MH370 สูญหาย โดยระบุว่า แดนเสือเหลืองถลุงเวลาและทรัพยากรอันมีค่าไปอย่างไร้ประโยชน์ จากการที่เพิ่งเปิดเผยข้อมูลข่าวสารอันน่าตื่นใจและหักมุมกลับตาลปัตรของโบอิ้ง 777 ลำนี้ ภายหลังที่มันหายไปวับ 1 สัปดาห์เต็มๆ แล้ว โดยนายกรัฐมนตรี นาจิบ ราซัก ของมาเลเซีย เพิ่งออกมาแถลงข่าวในวันเสาร์ (15 มี.ค.) ระบุว่า มีผู้ที่อยู่บนเครื่องบินจงใจปิดระบบติดต่อสื่อสาร และเปลี่ยนเส้นทางบินของโบอิ้ง 777 ของสายการบินมาเลเซียแอร์ไลน์ลำนี้ โดยที่หลังจากนั้นเครื่องยังคงบินต่อไปอีกหลายชั่วโมงทีเดียว ถึงแม้เขายังไม่ถึงกับพูดออกมาว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นคราวนี้คือการจี้เครื่องบิน

การที่เพิ่งเปิดเผยเรื่องราวอันน่าตื่นตะลึง ภายหลังระยะเวลา 1 สัปดาห์แห่งความสับสนและเต็มไปด้วยทฤษฎีสันนิษฐานไปต่างๆ นานา ทำให้เกิดคำถามขึ้นในทันทีว่า ทางการผู้รับผิดชอบของมาเลเซียได้ทราบข้อมูลใหม่นี้อย่างเป็นการภายในมานานเท่าใดแล้ว และความล่าช้าเช่นนี้มีผลทำให้พลาดโอกาสที่จะติดตามไล่ล่าเครื่องบินหลังจากที่มันเปลี่ยนเส้นทางหรือเปล่า

“เป็นสิ่งที่ไม่อาจปฏิเสธได้เลยว่า การเปิดเผยข้อมูลข่าวสารอันทรงความสำคัญถึงขนาดนี้ กลับกระทำด้วยความล่าช้าอย่างน่าปวดร้าว” สำนักข่าวซินหวาของทางการจีนระบุเอาไว้เช่นนี้ในบทบรรณาธิการของตนซึ่งอุดมไปด้วยถ้อยคำเผ็ดร้อน พร้อมกับชี้ว่า ระยะเวลา 7 วันที่ผ่านมาได้สร้าง “ความเจ็บปวดเป็นอย่างยิ่ง” แก่บรรดาญาติมิตรของผู้ที่อยู่บนเครื่องบินซึ่งหายไปลำนี้

ซินหวาบอกว่า พวกเจ้าหน้าที่มาเลเซียมีความผิดฐานละทิ้งหน้าที่ “อย่างสุดที่จะทนยอมรับได้” ผู้โดยสารบนเครื่องบินซึ่งกำลังอยู่ในเส้นทางกัวลาลัมเปอร์-ปักกิ่งลำนี้ สองในสามทีเดียวเป็นคนจีน จุดที่ทำให้เกิดความโกรธเกรี้ยวและหงุดหงิดผิดหวังต่อทางการมาเลเซียมากที่สุดอีกจุดหนึ่ง ได้แก่เรื่องที่ว่าทำไมจึงปล่อยเวลาให้ผ่านไปตั้งหลายวัน กว่าที่จะยกเลิกการปฏิบัติการค้นหาในแถบทะเลจีนใต้ ในเมื่อทราบข้อมูลข่าวสารใหม่แล้วว่าเครื่องบินลำนี้มีการเปลี่ยนเส้นทางและบินกลับไปทางมหาสมุทรอินเดีย

“และเนื่องจากการขาดหายไม่ได้รับแจ้ง ... หรืออย่างน้อยที่สุดก็เป็นการขาดไร้ ... ข้อมูลข่าวสารอันสำคัญเชื่อถือได้อย่างทันเวลา ความพยายามอย่างมหาศาลที่ทุ่มเทลงไปจึงถูกถลุงไปอย่างเปล่าประโยชน์ ขณะเดียวกับที่มีแต่ข่าวลือแพร่สะพัดเป็นจำนวนมาก” บทบรรณาธิการของซินหวากล่าว

“ในฐานะที่เป็นผู้นำของภารกิจค้นหาและกู้ภัยระดับนานาชาติคราวนี้ มาเลเซียก็คือผู้ที่จะต้องรับผิดชอบอย่างไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้”

ไม่เพียงสื่อของทางการแดนมังกรเท่านั้น สาธารณชนชาวจีนก็กำลังแสดงความขุ่นเคืองในทำนองเดียวกัน ดังเห็นได้จากการโพสต์ข้อความในเครือข่ายไมโครบล็อก “เว่ยโป๋” หรือทวิตเตอร์เวอร์ชั่นจีน

“พฤติกรรมของรัฐบาลมาเลเซียในเรื่องนี้ สามารถที่จะสรุปออกมาด้วยคำเพียงคำเดียว นั่นคือ หลอกลวง” นี่คือความเห็นหนึ่งที่ถือเป็นแบบฉบับของผู้แสดงความคิดเห็นจำนวนมากในเว่ยโป๋ ข้อมูลจำนวนมากที่นายกรัฐมนตรีมาเลเซียออกมาแถลงยืนยัน อันที่จริงก็ได้รั่วไหลออกไปในสื่อมวลชนสหรัฐฯก่อนแล้ว ทว่าต้องรอจนกระทั่งถึงวันเสาร์ (15) นั่นแหละ นาจิบจึงออกมาประกาศยุติปฏิบัติการค้นหาในย่านทะเลจีนใต้

นายกฯแดนเสือเหลืองยืนยันว่า มาเลเซียไม่ได้ปล่อยให้ความกังวลห่วงใยเกี่ยวกับความมั่นคงแห่งชาติ เข้ามาเป็นตัวขัดขวางการแลกเปลี่ยนแบ่งปันข้อมูลลับ “แบบเรียลไทม์” กับพวกเจ้าหน้าที่รับผิดชอบของประเทศอื่นๆ

“เราเข้าใจดีถึงความต้องการอย่างเหลือเกินที่จะได้รับข้อมูลข่าวสาร ... แต่เราก็มีความรับผิดชอบที่จะต้องทำการสืบสวนสอบสวน และความรับผิดชอบต่อครอบครัวของผู้เกี่ยวข้อง จึงขอเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารเพียงเท่าที่ได้รับการประสานงานให้ความร่วมมือเท่านั้น” เขากล่าว

ในเวลาต่อมา สายการบินมาเลเซียแอร์ไลน์ก็ได้ออกคำแถลงที่มีเนื้อหาแก้ต่างในเรื่องที่ว่า ทำไมต้องใช้เวลานานเหลือเกิน กว่าที่ข้อมูลจากดาวเทียมและข้อมูลจากเรดาร์ทหารที่มาเลเซียได้รับมา จะได้รับการเผยแพร่ยืนยันด้วยการแถลงข่าวของนายกฯนาจิบ

“เป็นเรื่องสำคัญอย่างยิ่งที่สัญญาณดิบของดาวเทียมจะต้องได้รับการตรวจพิสูจน์และได้รับการวิเคราะห์เสียก่อน ... เพื่อที่จะได้เข้าใจถึงความสำคัญของสัญญาณเหล่านี้ได้อย่างถูกต้อง

“เรื่องเช่นนี้เป็นธรรมดาอยู่แล้วที่จะต้องใช้เวลากันบ้าง โดยที่ในระหว่างนั้นเราย่อมไม่สามารถยืนยันต่อสาธารณชนได้ว่ามีข้อมูลเหล่านี้อยู่” คำแถลงของมาเลเซียแอร์ไลน์บอก พร้อมกับกล่าวด้วยว่า การตรวจพิสูจน์ยืนยันข้อมูลข่าวสารใหม่ๆ ก่อนที่จะเผยแพร่ออกไป ทำให้ข้อมูลข่าวสารเหล่านี้ยังคง “มีความสำคัญอย่างยิ่ง”

อย่างไรก็ดี พวกผู้เชี่ยวชาญทั้งด้านความมั่นคงและด้านการบินยังคงตั้งคำถามอยู่ดีว่า ทำไมจึงปล่อยให้มีการใช้ทรัพยากรกันอย่างมากมายในการค้นหาที่ทะลจีนใต้ต่อไปเป็นระยะเวลานานเช่นนี้ และทำไมฝ่ายทหารของมาเลเซียจึงบกพร่องล้มเหลวไม่สามารถระบุจำแนกเครื่องบินลำนี้ออกมาได้ ในขณะที่มันหันหัวกลับมาบินผ่านแหลมมลายู (คาบสมุทรมาเลเซีย)

“นี่คือความบกพร่องล้มเหลวอย่างน่าตื่นตะลึงในด้านความมั่นคง” อาจัจ ซาห์นี ผู้อำนวยการบริหารของ สถาบันเพื่อการบริหารจัดการความขัดแย้ง ของอินเดีย ซึ่งตั้งสำนักงานอยู่ในนิวเดลี กล่าวให้ความเห็น

“และมันยังดูเหมือนจะเป็นความบกพร่องล้มเหลวอย่างน่าตื่นตะลึงในทางด้านเทคโนโลยีในทุกๆ ด้านทุกๆ แง่มุมทีเดียว ที่ปล่อยให้มีอะไรอย่างนี้เกิดขึ้นได้”

เช่นเดียวกับ เทอเรนซ์ ฟาน ผู้เชี่ยวชาญด้านการบินแห่งมหาวิทยาลัยการบริหารจัดการแห่งสิงคโปร์ (สิงคโปร์ แมเนจเมนต์ ยูนิเวอร์ซิตี้) ซึ่งบอกว่า การบริหารจัดการยามวิกฤตของมาเลเซียบกพร่องมาก และทำให้ไม่ได้รับความไว้วางใจจากสาธารณชน ทำไมพวกเขายังต้องใช้เวลาตั้งหลายวันในการ “ประสานงาน” เพื่อให้ได้ภาพเรดาร์จากหน่วยงานของพวกเขาเอง ซึ่งยืนยันว่าเครื่องบินได้หันหัวกลับไปทางทิศตะวันตกแล้ว” ฟานชี้

“พวกเขาไม่สามารถรู้ได้เชียวหรือ ตั้งแต่วันแรกแล้ว ว่าระบบสื่อสารต่างๆ บนเครื่องบินลำนั้น ไม่ได้ถูกปิดในเวลาเดียวกัน”

นักวิเคราะห์บางคนให้น้ำหนักกับเส้นทางมุ่งลงใต้ โดยชี้ว่าหากเครื่องบินเดินทางขึ้นเหนือก็จะต้องผ่านน่านฟ้าหลายประเทศ รวมถึงพื้นที่ละเอียดอ่อนทางยุทธศาสตร์ ซึ่งเป็นการยากที่จะหลบหลีกการตรวจจับของเรดาร์ เจ้าหน้าที่ควบคุมการบินอินเดียไม่เชื่อว่า MH370 จะมุ่งขึ้นเหนือไปทางคาซักสถาน เพราะ “เป็นไปไม่ได้” ที่มันจะผ่านน่านฟ้าของอินเดียไปโดยไม่ถูกตรวจจับ

สุกาตา ปรามานิก เลขาธิการสมาคมเจ้าหน้าที่ควบคุมการจราจรทางอากาศอินเดีย ชี้ว่า ต่อให้โบอิ้ง 777 ของมาเลเซียเล็ดรอดจากเรดาร์พลเรือนในเมืองกัลกัตตาไปได้ แต่ก็ยังมีเรดาร์ของกองทัพอากาศซึ่งจะต้องตรวจเจออย่างแน่นอน

“หากเครื่องบินโดยสารไม่ต้องการถูกตรวจพบ ก็สามารถปิด transponder ซึ่งจะทำให้เรดาร์พลเรือนไม่สามารถตรวจจับได้... แต่มันจะไม่สามารถหลบหลีกเรดาร์ฝ่ายกลาโหม กองทัพอากาศอินเดียมีเรดาร์ติดตั้งอยู่ทั่วประเทศ เพราะฉะนั้นเป็นไปไม่ได้ที่จะไม่มีเรดาร์จุดไหนตรวจเจอเครื่องบินที่ผ่านเข้ามาโดยไม่ได้รับอนุญาต”

ทีมสืบสวนขอหมายค้นบ้านของนักบินฯ

มีรายงานว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจมาเลเซีย ได้ขอหมายค้นบ้านของนักบินลำดังกล่าวฯ โดยเซาท์ไชน่า มอร์นิงโพสต์ รายงานเมื่อวันที่ 10 มี.ค. อ้างคำสัมภาษณ์ของครอบครัวผู้โดยสารชาวเหอเป่ยคนหนึ่ง ที่กล่าวว่ามื่อวันที่ 9 มี.ค. ได้โทรศัพท์เข้าไปที่เครื่องฯ ของพี่ชายซึ่งโดยสารอยู่บนเที่ยวบิน MH370 เป็นหนึ่งใน 239 ชีวิตที่อยู่บนเครื่องบินลำนั้น หลังจากที่เครื่องบินสูญหายไปแล้ว มีสัญญาณเรียกที่โทรศัพท์ปลายทางของพี่ชายทั้งสองครั้งที่โทรฯ ไปหา ซึ่งเป็นสิ่งที่พอจะยึดเหนี่ยวไว้เป็นความหวังตราบที่ยังไม่พบซากของเครื่องบิน ก็มีความหวังของผู้รอดชีวิต ในเวลานั้นสมาชิกในครอบครัวจึงได้พยายามโทรศัพท์หาครอบครัวของตนบนเครื่อง แต่เมื่อโทรฯ ครั้งที่สาม ก็ไม่มีสัญญาณเรียกแล้ว

รายงานข่าวกล่าวว่า ทีมสืบสวนหลังได้รับการยืนยันว่าสายการบินมาเลเซียที่ขาดหายไป เป็นเรื่องที่มีเจตนาจงใจไม่ใช่อุบัติเหตุ จึงหันไปตรวจสอบข้อเท็จจริงของผู้โดยสารและลูกเรือห้องนักบิน อีกทั้งมีรายงานว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ขอหมายค้นบ้านของนักบินลำดังกล่าวฯ แล้ว อย่างไรก็ตาม มีเพื่อนที่รู้จักกับซาฮารี อาห์หมัด ซาห์ กัปตันของเครื่องบินเที่ยวบิน MH370 ลำดังกล่าว ออกมายืนยันความบริสุทธิ์ โดยบอกว่าเพื่อนของเขาไม่ใช่ผู้ก่อการร้าย

ปากีฯ ปัดข่าวเครื่องบินถูกซ่อน

นายชูจาอัต อาซีม ผู้ช่วยพิเศษด้านการบินยืนยันว่า เรดาร์การบินพลเรือนของปากีสถานไม่เคยตรวจพบเครื่องบินลำนี้ ซึ่งหายไปในจุดที่ไกลจากน่านฟ้าปากีสถานมาก ขณะที่ผู้เชี่ยวชาญการควบคุมการจราจรทางอากาศของอินเดีย ไม่เชื่อว่าเครื่องบินมาเลเซียแอร์ไลน์ส จะเข้าน่านฟ้าอินเดียโดยไม่ถูกตรวจพบ

มาเลเซียขยับ ปท.ร่วมค้นหาเพิ่มเป็น 25

รัฐบาลมาเลเซียแถลงล่าสุดว่า จำนวนประเทศซึ่งกำลังเข้าร่วมการค้นหาเครื่องบินโดยสารเที่ยวบิน MH370 ที่สูญหายไป ได้เพิ่มขึ้นมาเกือบเท่าตัวเป็น 25 ชาติแล้ว ในขณะเดียวกับที่ตำรวจแดนเสือเหลืองเปิดการสืบสวนอย่างเต็มขั้นเกี่ยวกับเรื่องนี้โดยถือเป็นคดีอาญา ทั้งนี้มีการมุ่งตรวจสอบนักบินทั้ง 2 ของเครื่องบินลำนี้เป็นพิเศษ

รัฐมนตรีคมนาคม ฮิชามมุดดิน ฮุสเซน ของมาเลเซีย บอกว่า จำนวนชาติผู้เข้าร่วมได้กระโดดจาก 14 เป็น 25 ประเทศแล้ว ในขณะที่การค้นหาเครื่องบินลำนี้มุ่งเน้นหนักอยู่ที่ 2 เส้นทาง นั่นคือ เส้นทางทางเหนือ ซึ่งครอบคลุมตั้งแต่เขตทางเหนือของประเทศไทยไปจนถึงคาซัคสถาน และเส้นทางทางใต้ จากอินโดนีเซียไปจนถึงตอนใต้ของมหาสมุทรอินเดีย

เขาบอกว่า ความร่วมมือที่ถือเป็น “การสร้างมาตรฐานใหม่” ขึ้นมาคราวนี้ ย่อมหลีกเลี่ยงไม่พ้นที่จะต้องก่อให้เกิด “ความท้าทายใหม่ๆ ของการร่วมมือประสานงานกันและความท้าทายใหม่ๆ ทางด้านการทูต”

มีรายงานด้วยว่า กระทรวงการต่างประเทศมาเลเซียได้จัดการบรรยายสรุปแก่พวกผู้แทนจาก 22 ประเทศในวันอาทิตย์ ในจำนวนนี้รวมทั้งรัฐทางเอเชียกลางหลายราย อย่างเช่น คาซัคสถาน, อุซเบกิสถาน, คีร์กีซสถาน, และ เตอร์กเมนิสถาน รวมทั้งได้ขอร้องประเทศเหล่านี้ให้ความสนับสนุนในรูปของข้อมูลดาวเทียมและข้อมูลเรดาร์

ในเวลาเดียวกัน ตำรวจมาเลเซียแถลงยืนยันว่า พวกเขาได้เข้าค้นบ้านของ ซาฮารี อาหมัด ชาห์ วัย 53 ปี ผู้เป็นนักบินที่ 1 และ ฟาริก อับดุล ฮามิด วัย 27 ปี ผู้ช่วยนักบินของเที่ยวบิน MH370 ตั้งแต่เมื่อวันเสาร์ (15 มี.ค.) ตามที่สื่อต่างๆ รายงานข่าว โดยที่ได้ทำการตรวจสอบเครื่องจำลองการขับเครื่องบินโดยสารซึ่งพบติดตั้งอยู่ที่บ้านพักของนักบินที่ 1 หลังจากเป็นที่กระจ่างชัดเจนมากขึ้นเรื่อยๆ ว่า โบอิ้ง 777 ของมาเลเซียแอร์ไลน์ซึ่งหายไปตั้งแต่วันเสาร์ที่ 8 มี.ค.ลำนี้ ถูกใครบางคนบนเครื่องบินจงใจทำให้เปลี่ยนเส้นทางบินรวมทั้งตัดการติดต่อสื่อสารกับโลกภายนอก

เครื่องจำลองการขับเครื่องบินนี้ ข่าวระบุว่า ซาฮารี ซึ่งเป็นผู้ที่สนอกสนใจเรื่องเทคโนโลยี เป็นผู้ประกอบขึ้นมาด้วยตนเอง และผู้เชี่ยวชาญกำลังศึกษาตรวจสอบ ถึงแม้พวกที่อยู่ในแวดวงการบินจะบอกว่า นักบินอีกหลายคนก็มีเครื่องจำลองเช่นนี้อยู่ที่บ้านของพวกตน

เช่นเดียวกัน ฮิชัมมุดดีนกล่าวเตือนว่า ยังไม่ควรที่จะ “ด่วนสรุป” ว่าการสืบสวนสอบสวนนี้จะออกไปทางไหน

สัญญาณสุดท้ายของการติดต่อสื่อสารผ่านดาวเทียมจากเครื่องบินลำนี้เมื่อวันที่ 8 มีนาคม มีขึ้นหลังจากที่มันทะยานขึ้นจากกัวลาลัมเปอร์ร่วมๆ 8 ชั่วโมง ซึ่งก็เป็นระยะเวลาพอๆ กับที่ทางสายการบินระบุว่า มันจะบินอยู่ได้ด้วยน้ำมันเชื้อเพลิงที่มีอยู่

ฮิชามมุดดินกล่าวว่า เส้นทางในการค้นหาใหม่ทั้ง 2 เส้นทาง จะได้รับ “ความสำคัญเท่าเทียมกัน” แต่นักวิเคราะห์จำนวนหนึ่งลงความเห็นว่า เส้นทางทางใต้ซึ่งลงสู่พื้นที่มหาสมุทร มีโอกาสที่จะเป็นไปได้สูงกว่าเส้นทางทางเหนือ ซึ่งต้องบินผ่านน่านฟ้าของประเทศจำนวนมากในภูมิภาคอย่างเอเชียกลางที่มีความอ่อนไหวทางยุทธศาสตร์.
กำลังโหลดความคิดเห็น