ASTVผู้จัดการสุดสัปดาห์ -กองข้าวพะเนินที่ปิดประตูทางเข้าหน้ากระทรวงการคลัง นับเป็นปฏิบัติการทวงเงินจำนำข้าวของชาวนาที่ดุเดือดขึ้นตามลำดับ แทนภาพการชุมนุมร้องขอความเห็นใจอย่างสงบเหมือนเช่นที่ผ่านๆ มา แต่กระนั้นรักษาการรัฐบาลนางสาวยิ่งลักษณ์ ก็ยังคงอับจนปัญญาในการหาเงินมาจ่ายให้ชาวนาเหมือนเดิม
โดยเฉพาะคนที่ถือดี คุยโวโอ้อวดมาโดยตลอดอย่างนายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รักษาการรองนายกรัฐมนตรีและรมว.คลัง นาทีนี้เงียบเป็นเป่าสาก พอๆ กับนายนิวัติธำรง บุญทรงไพศาล รักษาการรมว.กระทรวงพาณิชย์ และนายยรรยง พวงราช รักษาการรมช.พาณิชย์ ที่ออกอาการหมดปัญญา คงไม่ผิดนักหากจะบอกว่าทั้งรัฐบาลง่อยเปลี้ยหมดสภาพแล้ว
ปฏิบัติการเชิงสัญลักษณ์ด้วยการเทข้าวเปลือกหน้ากระทรวงคลัง จำนวน 12 ตัน เมื่อวันที่ 12 มี.ค. 2557 นับเป็นครั้งที่สอง ที่กลุ่มชาวนาใช้เรียกร้องความสนใจให้รัฐบาลเร่งรีบแก้ปัญหาค้างค่าจำนำข้าวให้เร็วที่สุดตามที่รับปากไว้ไม่ว่าจะด้วยวิธีการใดก็ตาม
โดยกลุ่มชาวนาจากสิงห์บุรีและชัยนาทที่เดินทางไปในวันดังกล่าวนั้น ต้องการเจรจาให้นายกิตติรัตน์ รับซื้อข้าวที่นำมาขายในราคาแค่ตันละ 8,000 บาท เท่ากับที่ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์ (ธ.ก.ส.) จ่ายให้เป็นค่าปลอบขวัญเป็นกำลังใจให้ชาวนาในวันที่หลวงปู่พุทธะอิสระ นำกลุ่มชาวนาเอาข้าวไปเทขายหน้า ธ.ก.ส.ในราคาตันละ 13,000 บาท เมื่อวันที่ 11มี.ค. 2557
สำหรับการเทข้าวที่หน้า ธ.ก.ส. อย่างน้อยนายสุพัฒน์ เอี่ยวฉาย ผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่ ธ.ก.ส. ก็ยังออกมารับหน้าด้วยตัวเอง แสดงถึงความผิดชอบชั่วดีที่ทำให้ชาวนาเดือดร้อนอยู่บ้าง แต่สำหรับที่กระทรวงคลัง ปรากฏว่า นายกิตติรัตน์ เงียบหายเอาแต่หดหัวอยู่ในกระดอง ไม่กล้าเผชิญหน้ากับกลุ่มชาวนาอย่างลูกผู้ชายทั้งที่รับปากไว้แล้วว่าจะรีบเคลียร์ปัญหาให้จบโดยเร็ว
มิหนำซ้ำ ยังไม่มีตัวแทนกระทรวงการคลัง ที่พร้อมออกมาเจรจาทวงเงินจำนำข้าวกับชาวนาแม้แต่คนเดียว กลุ่มชาวนาจึงระบายความอัดอั้นด้วยการปาไข่เน่าใส่เจ้าหน้าที่ตำรวจที่ดูแลรักษาความเดือดร้อนอยู่ด้านในแทน ก่อนที่จะมาตามทวงเงินอีกครั้งในวันรุ่งขึ้น
เงินค่าจำนำข้าวที่รัฐบาลค้างจ่ายชาวนาทั่วประเทศอยู่แสนกว่าล้านบาทนั้น ไม่ง่ายนักที่จะแก้ปัญหาด้วยลมปาก ด้วยคำสัญญาลมๆ แล้งๆ ที่ไม่รู้ว่าจะได้รับจริงเมื่อไหร่ ขณะที่หนี้สินยังท่วมหัวชาวนาหาทางออกไม่ได้อยู่ในเวลานี้
มิหนำซ้ำ ธ.ก.ส.บางสาขา ก็ยังไม่ดูดำดูดีลูกหนี้ชาวนา ไม่มีการผัดผ่อนหนี้ให้ดังที่รัฐบาลและธ.ก.ส.สำนักงานใหญ่ ประกาศเป็นนโยบายไว้ ดังเช่นที่จังหวัดสุรินทร์
กล่าวคือ เมื่อวันที่ 10 มี.ค. ที่ผ่านมา ที่ ธ.ก.ส. จังหวัดสุรินทร์ มีชาวนาลูกหนี้ธ.ก.ส.จำนวนมาก นำเงินมาชำระหนี้เงินกู้ หลัง ธ.ก.ส.สาขาสุรินทร์ มีหนังสือเร่งรัดชำระดอกเบี้ยเงินกู้ รวมทั้งบัตรเครดิตเกษตรกร ซึ่งซ้ำเติมความเดือดร้อนให้กับชาวนาที่ยังไม่ได้รับเงินจำนำข้าวเป็นอย่างมาก เพราะต้องกู้เงินกู้นอกระบบดอกเบี้ยสูงร้อยละ 5 ต่อเดือน และหลายรายต้องนำใบประทวนไปจำนำไว้กับนายทุนชื่อ "เจ๊ ม." ดอกเบี้ยร้อยละ 3 ต่อเดือน โดยมีเจ้าหน้าที่ธ.ก.ส.บางคนรู้เห็นเป็นใจ รวมมูลค่าจำนำหลายร้อยล้านบาท
นางถวิล ศรีละออ อายุ 41 ปี อยู่บ้านเลขที่ 163 หมู่ 2ต.เมืองที อ.เมือง จ.สุรินทร์ กล่าวว่า มาชำระดอกเบี้ยกว่า2,000 บาท จากที่กู้ไป 50,000 บาท โดยไปกู้นอกระบบดอกเบี้ยร้อยละ 5 ต่อเดือนมาให้ เพราะตนและเพื่อนบ้านยังไม่ได้รับเงินจำนำข้าว ซึ่งต่างเฝ้ารอให้รัฐบาลจ่ายเงินเร็วๆ จะได้ใช้หนี้ธ.ก.ส.ให้หมด แต่ก็ยังไม่ได้ ซ้ำร้ายธ.ก.ส.มีหนังสือทวงหนี้มาอีก ทำให้เดือดร้อนกันถ้วนหน้า
เช่นเดียวกับนางจันทร์ ผิวงาม อายุ 40 ปี อยู่บ้านเลขที่ 6 หมู่ 2 ต.เมืองที อ.เมือง ที่มาจ่ายดอกเบี้ยและหนี้บัตรเครดิตเกษตรกร ที่รูดใช้ไป 9,000 บาท รวมทั้งหนีซื้อรถจักรยานยนต์ หนี้เงินทุนหมุนเวียน รวมแล้วปีนี้ต้องชำระดอกเบี้ย 12,000 บาท ขณะที่เงินจำนำข้าวก็ยังไม่ได้ จึงต้องไปกู้นอกระบบมาใช้
การรับจำนำข้าเปลือกและจ่ายเงินปีการผลิต2556/57 ของจ.สุรินทร์ มีใบประทวน 5,636 ฉบับ วงเงิน8,781,263,945 บาท จ่ายเงินแล้ว 32,550 ฉบับ วงเงิน2,647,796,575 บาท ค้างจ่าย 6,133,467,370 บาท นั่นหมายถึงชาวนาได้เงินแล้วเพียงส่วนน้อยเท่านั้น ส่วนใหญ่ยังเดือดร้อนกู้หนี้ยืมสินนอกระบบทั้งสิ้น ทั้งๆ ที่เมื่อประมาณสัปดาห์ที่ผ่านมา ทั้งนายกิตติรัตน์ และนายนิวัตรธำรง เพิ่งพ่นลมลวงว่า จะมีเงินในมือประมาณ 30,000ล้านบาท จากเงินกู้ 20,000 ล้านบาท และเงินระบายข้าวอีก 10,000 ล้านบาท มาจ่ายหนี้ให้กับชาวนา
แต่คงเป็นเพราะว่าคำเตือนจากสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ (สบน.) เรื่อยมาจนถึง กกต. ที่ว่า การเซ็นกู้เงินมาจ่ายค่าจำนำข้าวของรัฐบาลรักษาการสุ่มเสี่ยงต่อการกระทำผิดกฎหมาย ขัดต่อรัฐธรรมนูญ และผู้ที่ลงนามในสัญญาเงินกู้ต้องเป็นผู้รับผิดชอบ จึงทำให้ข้าราชการระดับสูงที่จะต้องเป็นผู้ลงนามในสัญญาเงินกู้ไม่กล้าเซ็น เพราะแม้ว่าจะเป็นการกระทำตามคำสั่งของรัฐบาล แต่อย่าลืมว่า นักการเมืองมาแล้วก็ไป จะมารับผิดและเอาผิดได้ด้วยก็น้อยเต็มที ขณะที่ข้าราชการประจำ ต้องรับไปเต็มๆ
เหตุนี้ จึงทำให้ข้าราชการกระทรวงการคลังและกระทรวงพาณิชย์ เกี่ยงกันเซ็นเอกสารเพื่อเบิกงบกลาง 2หมื่นล้านบาท เพื่อมาจ่ายค่าจำนำข้าวให้กับชาวนา โดยนายรังสรรค์ ศรีวรศาสตร์ ปลัดกระทรวงการคลัง ยืนยันว่า ไม่มีอำนาจเซ็นกู้เงินเกิน 500 ล้านบาท ถ้าเกินต้องเป็นอำนาจของรัฐมนตรี ทั้งยังมีกระแสข่าวว่า ปลัดกระทรวงการคลัง โยนเรื่องให้นายมนัส แจ่มเวหา อธิบดีกรมบัญชีกลาง และนายพงษ์ภาณุ เศวตรุนทร์ รองปลัดกระทรวงการคลัง ด้านภารกิจรายจ่ายและหนี้สิน เป็นผู้ลงนามเบิกทดรองจ่ายงบกลางดังกล่าวแทน ก็ต้องรอดูว่าหมูไม่กลัวน้ำร้อนที่คลัง หวยจะออกที่ใคร
ขณะที่กระทรวงพาณิชย์ ทางกรมการค้าต่างประเทศ ก็อิดเอื้อน โดยตอนแรก นายสุรศักดิ์ เรียงเครือ อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ โบ้ยให้พ้นตัวว่า การนำงบกลาง 2หมื่นล้านบาท เพื่อนำมาจ่ายค่าข้าวให้กับชาวนา ไม่จำเป็นต้องรอให้กรมฯ เซ็นเอกสาร เพื่อนำเงินออกมาจากกระทรวงการคลัง เพราะเป็นช่องทางการยืมเงินปกติ ไม่ใช่กู้เงิน กระทรวงการคลังสามารถนำงบก้อนนี้โอนเข้าบัญชีธ.ก.ส.และนำไปเบิกจ่ายให้กับชาวนาได้ทันที
แต่ในที่สุด นายสุรศักดิ์ ก็ถูกบีบคอให้ลงนามในหนังสือเพื่อยืมเงิน 2 หมื่นล้านบาท มาจ่ายค่าข้าวให้ชาวนาจนได้ แต่ไม่วายออกตัวว่า การลงนามครั้งเป็นไปตามมติคณะรัฐมนตรี (ครม.) ที่มอบหมายให้กรมฯ เป็นผู้ดำเนินการ ไม่ได้หมายความว่าตนจะต้องรับผิดชอบหนี้จากการยืม
หลังหาแพะลงนามเงินกู้ได้แล้ว นายนิวัตรธำรง ก็รีบออกมาคุยโวทันทีว่า อย่างช้าวันจันทร์นี้ (17 มี.ค.) ก็จะได้เงินไปให้ธ.ก.ส.ไปจ่ายให้ชาวนา และขอบอกข่าวดีอีกว่า กระทรวงการคลังได้รายงานต่อที่ประชุมคณะรัฐมนตรีที่ผ่านมาด้วยว่าจะหาเงินก้อนใหญ่ให้ได้ภายในเดือน พ.ค.2557 ส่วนจะด้วยวิธีใดเป็นเรื่องของกระทรวงการคลังที่จะดำเนินการ เพราะเงินงบกลาง 2 หมื่นล้านบาท รวมกับเงินขายข้าวของกระทรวงพาณิชย์เดือนละ 8 พันถึง 1หมื่นล้านบาท ไม่เพียงพอที่จะจ่ายให้ชาวนา หรือถ้าจ่ายระดับนี้ ก็ต้องใช้เวลาเป็นปีกว่าจะจ่ายได้ครบ
ความหวังจากเงินขายข้าวของกระทรวงพาณิชย์ที่ว่าจะได้เดือนละหมื่นล้านบาท เอาเข้าจริงก็ยังไม่รู้ว่าจะได้ดังโม้หรือไม่ ยิ่งการเคลื่อนไหวของ กปปส. ซึ่งบางครั้งเข้าทางตีนรัฐบาลโดยไม่รู้ตัวนั้น ทำให้ถูกนำไปใช้เป็นข้ออ้างได้
ดังเหตุการณ์ที่ กปปส.นำโดยนายทินกร อ่อนประทุม เดินทางจากสวนลุมพินี ไปให้กำลังใจกลุ่มชาวนาที่ปักหลักประท้วงที่กระทรวงพาณิชย์ เมื่อวันที่ 12 มี.ค. ที่ผ่านมา โดยเรียกร้องให้ข้าราชการหยุดทำงานและออกไปจากกระทรวงฯ พร้อมกับตัดโซ่คล้องประตูและทำการตัดไฟฟ้า ทำให้การเปิดประมูลขายข้าวสารของรัฐบาลผ่านตลาดซื้อขายสินค้าเกษตรล่วงหน้าแห่งประเทศไทย (เอเฟต) ปริมาณ 2.44 แสนตัน ต้องยกเลิก เลื่อนการประมูลเป็นวันที่ 26 มี.ค. 2557 แทน
กรณีดังกล่าว เป็นข้ออ้างทำให้นายนิวัตรธำรง และนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร รักษาการนายกรัฐมนตรี ได้ที ออกมากล่าวโทษกปปส. ว่า การขัดขวางการประมูลขายข้าว ทำให้เกิดความเสียหายแทนที่จะได้เงินจากการระบายข้าวเอาไปจ่ายหนี้ชาวนาก็ต้องล่าช้าออกไปอีก ทั้งที่รัฐบาลตั้งใจและพยายามจะระบายข้าวแต่กลับถูกขัดขวาง
ความพยายามระบายข้าวของกระทรวงพาณิชย์นั้น ล่าสุดกระทรวงฯ ได้อนุมัติให้มีการขายข้าวอีกปริมาณ 7.3แสนตัน มูลค่า 8.5-9 พันล้านบาท แยกเป็นข้าวที่เปิดประมูลให้กับผู้ส่งออกที่ยื่นเสนอราคาเมื่อวันที่ 10 มี.ค.2557จำนวน 1.8 แสนตัน จากที่เปิดประมูล 5.17 แสนตัน โดยขายให้เฉพาะผู้ที่เสนอราคาใกล้เคียงกับเกณฑ์ราคากลาง ส่วนผู้ที่เสนอซื้อราคาต่ำ ไม่ขายให้ และอีก 5.5 แสนตัน ขายให้เอกชนที่มีคำสั่งซื้อมายืนยัน
แต่ไม่ว่า รัฐบาลจะพยายามสร้างภาพแก้ไขปัญหาหนี้ค้างจำนำข้าวอย่างไรก็ตาม กลุ่มชาวนาก็ยังจะตามทวงไม่ลดละ ล่าสุด กลุ่มชาวนาภาคอีสาน นำโดยนายอุบลศักดิ์ บัวหลวงงาม ประธานคณะกรรมการกลางกลุ่มเกษตรกรแห่งประเทศไทย ได้ประชุมร่วมกับสมาชิกหาแนวทางเคลื่อนไหวทวงหนี้ที่มีอยู่กว่า 1 ล้านราย โดยได้ข้อสรุปว่า จะไปแจ้งความเอาผิดรัฐบาลทั้งทางแพ่งและอาญาจากการจ่ายเงินจำนำข้าวล่าช้าเพื่อป้องกันใบประทวนขาดอายุความ
นอกจากนั้น ชาวนาภาคเหนือ นำโดยนายกิตติศักดิ์ รัตนวราหะ ประธานชาวนาภาคเหนือ ยังประสานพี่น้องชาวนาทั้งภาคเหนือและอีสาน ให้เดินทางเข้ากรุงเทพฯ เพื่อยกระดับการชุมนุมขับไล่รัฐบาลรักษาการให้ลาออกร่วมกับชาวนาที่ปักหลักอยู่กระทรวงพาณิชย์ โดยมีความหวังว่า หากมีรัฐบาลชุดใหม่เข้ามาบริหารประเทศ แทนรัฐบาลรักษาการ จะทำให้กระบวนการจ่ายเงินให้กับชาวนามีความรวดเร็วมากขึ้น โดยคาดว่าภายใน 1 เดือน เงินจำนำข้าวที่ค้างอยู่กล่าว 1 แสนล้านบาท จะถึงมือชาวนาอย่างแน่นอน
ปฏิบัติการทวงเงินจำนำข้าวของชาวนากับรัฐบาล คงเป็นมหากาพย์อีกยาว เพราะรัฐบาลเล่นบทหน้าหน้าด้านหน้าทนบนความเดือดร้อนโดยไม่สำนึกว่าเหตุแห่งปัญหาทั้งมวลเป็นเพราะตัวเองก่อขึ้นโดยไม่ฟังเสียงใครทักท้วงแท้ๆ