ความกล้าหาญทางจริยธรรม
เป็นคุณสมบัติที่ผู้นำทางปัญญาต้องมี
ผู้เขียนอยากจะขอเป็นแนวร่วมทางความคิดกับไสว บุญมาในเรื่องผู้นำทางปัญญาของไทยจากบทความผู้จัดการออนไลน์ 11 มี.ค.57 “ผู้นำทางปัญญา : ชั่วช้าหรือขาดความกล้าหาญ” ที่ผ่านมาว่า ชั่วช้าและขาดความกล้าหาญทางจริยธรรมโดยแท้
ผู้นำทางปัญญาดังกล่าวข้างต้นอาจเป็นได้ทั้งที่สังกัดอยู่กับสถานศึกษาและที่มิได้สังกัดและชอบอ้างตัวว่าเป็นปัญญาชนสาธารณะ เช่น คอลัมนิสต์ในหนังสือพิมพ์ หรือผู้วิจารณ์ข่าวสารบ้านเมืองในสื่อประเภทต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น วิทยุหรือโทรทัศน์
คำเรียกว่า อาจารย์ จึงเป็นได้ตั้งแต่ หมอนวด หมอดู จนถึงอาจารย์ในมหาวิทยาลัย ผิดกับคำว่า ครู โดยสิ้นเชิง
ผู้นำทางปัญญาเหล่านั้นและสื่อสารมวลชนต่างมีส่วนเป็นอย่างมากที่ร่วมปลูกต้นไม้พิษในใจของประชาชน สร้างความแตกแยกและแตกต่างให้เกิดขึ้นในสังคมโดยอ้างถึงเสรีภาพทางวิชาการอยู่อย่างสม่ำเสมอ
ความแตกแยกในสังคมไทยปัจจุบันโดยเฉพาะอย่างยิ่งจาก “คนเสื้อแดง” ที่เห็นต่างและแตกแยกกับจริยธรรมและคุณธรรมของคนกลุ่มอื่นๆ ในสังคมไทยนั้นมิได้เกิดมาโดยบังเอิญ หากแต่ถูกปลุกปั่นและมอมเมาด้วยการบิดเบือนในข้อเท็จจริงอย่างจงใจ ซึ่งใครจะทำหน้าที่นี้ได้ดีเท่าผู้นำทางปัญญาที่ชั่วช้าและขาดเขลา
คู่กรณีของความขัดแย้งในขณะนี้จึงอยู่ระหว่างระบอบทักษิณที่พยายามจะทำลายระบบคุณธรรมและจริยธรรมของสังคมไทยเพื่อให้ตนเองและพวกพ้องสามารถทำชั่วได้โดยอ้างว่าเป็นความดี กับคนในสังคมกลุ่มอื่นๆ ที่ไม่ยินยอมให้กระทำ เพราะความชั่วนั้นยังไงก็เป็นกรรมที่มิสามารถเอาบุญมาหักกลบลบล้างออกไปได้เหมือนอย่างการทำบัญชี
กรรมชั่วจึงเป็นบาปที่ต้องชดใช้ให้หมดเสียก่อนจึงจะมาเสวยกรรมดีที่เป็นบุญ มิใช่เรื่องโง่ๆ อย่างตัดกรรม สะเดาะห์เคราะห์ หรือทำบุญให้มากเพื่อมาหักบัญชีไถ่บาปเหมือนที่พระวัดจานบินและอีกหลายๆ วัดยกขึ้นมาเป็นวาทกรรมบาป-บุญบิดเบือนหลอกลวงคำสอนที่มีมากว่า 2,500 ปีแต่อย่างใด
การเจรจาที่หลายคนปรารถนาจึงไม่สามารถเกิดขึ้นได้ สังคมใดก็ไม่อาจประนีประนอมระหว่างคนชั่วที่ไม่มีสำนึกกับกลุ่มคนดีที่ไม่สามารถอดทนต่อการทำลายระบบคุณธรรมและจริยธรรมได้ จะให้คนดียอมถอยคนละก้าวโดยยอมกินขี้ผสมข้าวกับคนชั่วได้อย่างไร?
ระบอบทักษิณและตัวทักษิณเองที่ผ่านมาคงมิได้มีความชาญฉลาดที่ลึกล้ำจนมองเห็นและใช้ช่องว่างในรัฐธรรมนูญปี 2540 เพื่อประโยชน์ของตนเองหากมิใช่จากการชี้แนะจากผู้มีความรู้ การซุกหุ้นก็ดี การแก้ไขกฎหมายเพื่อเอื้อประโยชน์ในตนเองที่รู้จักในชื่อ คอร์รัปชันเชิงนโยบายก็ดี หรือแม้แต่นโยบายประชานิยม เช่น โครงการจำนำข้าว ต่างล้วนเกิดขึ้นไม่ได้เลยหากปราศจากการชี้แนะและสนับสนุนของผู้นำทางปัญญาดังกล่าว ผู้นำทางปัญญาจึงคิด ทักษิณบิดเบือน และน้องสาวหรือบริวารเอาไปทำ
ระบอบทักษิณจึงเป็นอันตรายอย่างยิ่งยวดต่อสังคมไทยเพราะมิได้คอร์รัปชันกินตามน้ำชักเปอร์เซ็นต์จากงบประมาณจัดซื้อจัดจ้างซึ่งเป็นเพียงกระพี้เหมือนเช่นนักการเมืองรุ่นเก่าประพฤติปฏิบัติ หากแต่เป็นการเจาะเข้าไปกัดกินถึงแก่นของเศรษฐกิจและสังคมไทย จำนำข้าวจึงมิใช่แต่เพียงล้างผลาญงบประมาณที่นำมาใช้จ่ายแต่ได้ทำลายล้างแก่นของเศรษฐกิจเช่นอุตสาหกรรมการผลิตข้าวที่มีคุณภาพซึ่งเป็นกระดูกสันหลังของสังคมไทยในชนบททุกภาคทั่วประเทศให้ย่อยยับไป
นิธิและสาวกของเขาจึงเป็นตัวอย่างที่ดีของผู้นำทางปัญญาซึ่งมีอยู่อย่างมากมายหลังช่วงปี 2544 ที่คิดและบิดเบือนข้อเท็จจริงมอมเมาสังคม มองเห็นจำนำข้าวว่าเป็นการเปลี่ยนทางสังคมไทยครั้งยิ่งใหญ่ มองไม่เห็นความชั่วในสิ่งที่ทักษิณกระทำ ขณะที่พร่ำเพ้อยึดแต่การเลือกตั้งเพียงลำพังว่าเป็นประชาธิปไตยที่ต้องรักษา วาดภาพทหารให้เป็นตัวการทำลายประชาธิปไตยโดยไม่มองกล่าวถึงเลยว่าเผด็จการรัฐสภาที่มาจากการเลือกตั้งก็มิใช่ประชาธิปไตยเช่นกัน
เพราะระบอบทักษิณอาศัยการเลือกตั้งเข้าสู่อำนาจ การเลือกตั้งจึงกลายเป็นเพียงพิธีกรรมที่ถูกสร้างขึ้นให้ดูศักดิ์สิทธิ์และอยู่เหนืออำนาจอธิปไตยอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นนิติบัญญัติหรือศาล กล่องบัตรเลือกตั้งจึงเป็นตัวตนประชาธิปไตยของพวกเขาที่อยู่เหนือสิ่งที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ ความขัดแย้งในขณะนี้จึงมาจากการบิดเบือนข้อเท็จจริงดังกล่าว สร้างวาทกรรมจอมปลอม เช่น รัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งมีอำนาจและอยู่เหนือความผิดใดๆ ทั้งปวง มีความชอบธรรมที่จะอยู่ครบวาระจะให้ใครหรืออำนาจอธิปไตยอื่น เช่น ศาล หรือองค์กรอิสระ มาไล่ออกไม่ได้ต้องประชาชนมาออกเสียงไม่เลือกพวกเขาเท่านั้น ส.ส./ส.ว.ที่มาจากการเลือกตั้งมีอำนาจที่จะปู้ยี่ปู้ยำรัฐธรรมนูญอย่างไรก็ได้
ผู้นำทางปัญญาที่ชั่วช้าและขาดเขลาจึงสวมเสื้อคลุมประชาธิปไตยเข้ามาปลูกต้นไม้พิษบิดเบือนวิชาการและความจริงในสังคมผ่านทั้งการสอนการวิพากษ์และสนับสนุนสิ่งที่ผิดโดยความขลาดขาดความกล้าหาญทางจริยธรรมของผู้บริหารมหาวิทยาลัยเอาแต่อ้างของเสรีภาพทางวิชาการเพื่อละเว้นความรับผิดชอบที่พึงมี
ในขณะที่มหาวิทยาลัยชั้นนำของรัฐที่ประชาชนเป็นเจ้าของยังให้เสรีภาพกับผู้นำทางปัญญาเหล่านั้นทำในทิศทางที่ขัดแย้งกับวัตถุประสงค์และความต้องการของสังคมไทย แต่สภามหาวิทยาลัยชินวัตรจะยอมจ้างให้งานให้เสรีภาพอาจารย์ตนเองมาวิพากษ์ทักษิณ ชินวัตรและครอบครัวในการกระทำที่ผ่านมาอย่างตรงไปตรงมาหรือไม่? มหาวิทยาลัยชินวัตรที่กิตติรัตน์เคยเป็นนายกสภามหาวิทยาลัยจะสอนนักศึกษาหรือยินยอมและอนุมัติปริญญาให้นักศึกษาเรียนรู้เกี่ยวกับโครงการจำนำข้าวหรือการโกหกของคนเป็นรัฐมนตรีหรือไม่ นี่คือตัวอย่างของอันตรายที่เกิดจากผู้นำทางปัญญาที่กลายเป็นเมธีบริกร มิเช่นนั้นจะเกิดเช่นกรณีกลุ่มนิติราษฎร์หรือ 2 เอา 2 ไม่เอา ได้อย่างไร
สังคมมิได้ขัดขวางการแสดงเสรีภาพทางความคิด หากแต่สังคมเริ่มกังขาและสงสัยว่าทำไมจึงบิดเบือนไม่พูดถึงข้อเท็จจริงและการชี้นำของผู้นำทางความคิดทั้งหลายว่าอะไรคือความดีความชั่ว
หากพวกเขาและเธอไม่สามารถแยกแยะความจริงระหว่างความดีกับชั่วที่เปรียบเสมือนขี้และข้าวได้ หรือขาดความกล้าหาญทางจริยธรรมที่จะแสดงจุดยืนว่าไม่ร่วมยอมกินขี้ด้วยหรือคบกับคนที่กินขี้ แล้วจะเป็นผู้นำทางปัญญาชี้นำทางออกให้แสงสว่างทางปัญญากับสังคมต่อไปได้อย่างไร?
อำนาจอธิปไตยตามรัฐธรรมนูญ
อำนาจอธิปไตยที่บิดเบี้ยวของระบอบทักษิณ
เป็นคุณสมบัติที่ผู้นำทางปัญญาต้องมี
ผู้เขียนอยากจะขอเป็นแนวร่วมทางความคิดกับไสว บุญมาในเรื่องผู้นำทางปัญญาของไทยจากบทความผู้จัดการออนไลน์ 11 มี.ค.57 “ผู้นำทางปัญญา : ชั่วช้าหรือขาดความกล้าหาญ” ที่ผ่านมาว่า ชั่วช้าและขาดความกล้าหาญทางจริยธรรมโดยแท้
ผู้นำทางปัญญาดังกล่าวข้างต้นอาจเป็นได้ทั้งที่สังกัดอยู่กับสถานศึกษาและที่มิได้สังกัดและชอบอ้างตัวว่าเป็นปัญญาชนสาธารณะ เช่น คอลัมนิสต์ในหนังสือพิมพ์ หรือผู้วิจารณ์ข่าวสารบ้านเมืองในสื่อประเภทต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น วิทยุหรือโทรทัศน์
คำเรียกว่า อาจารย์ จึงเป็นได้ตั้งแต่ หมอนวด หมอดู จนถึงอาจารย์ในมหาวิทยาลัย ผิดกับคำว่า ครู โดยสิ้นเชิง
ผู้นำทางปัญญาเหล่านั้นและสื่อสารมวลชนต่างมีส่วนเป็นอย่างมากที่ร่วมปลูกต้นไม้พิษในใจของประชาชน สร้างความแตกแยกและแตกต่างให้เกิดขึ้นในสังคมโดยอ้างถึงเสรีภาพทางวิชาการอยู่อย่างสม่ำเสมอ
ความแตกแยกในสังคมไทยปัจจุบันโดยเฉพาะอย่างยิ่งจาก “คนเสื้อแดง” ที่เห็นต่างและแตกแยกกับจริยธรรมและคุณธรรมของคนกลุ่มอื่นๆ ในสังคมไทยนั้นมิได้เกิดมาโดยบังเอิญ หากแต่ถูกปลุกปั่นและมอมเมาด้วยการบิดเบือนในข้อเท็จจริงอย่างจงใจ ซึ่งใครจะทำหน้าที่นี้ได้ดีเท่าผู้นำทางปัญญาที่ชั่วช้าและขาดเขลา
คู่กรณีของความขัดแย้งในขณะนี้จึงอยู่ระหว่างระบอบทักษิณที่พยายามจะทำลายระบบคุณธรรมและจริยธรรมของสังคมไทยเพื่อให้ตนเองและพวกพ้องสามารถทำชั่วได้โดยอ้างว่าเป็นความดี กับคนในสังคมกลุ่มอื่นๆ ที่ไม่ยินยอมให้กระทำ เพราะความชั่วนั้นยังไงก็เป็นกรรมที่มิสามารถเอาบุญมาหักกลบลบล้างออกไปได้เหมือนอย่างการทำบัญชี
กรรมชั่วจึงเป็นบาปที่ต้องชดใช้ให้หมดเสียก่อนจึงจะมาเสวยกรรมดีที่เป็นบุญ มิใช่เรื่องโง่ๆ อย่างตัดกรรม สะเดาะห์เคราะห์ หรือทำบุญให้มากเพื่อมาหักบัญชีไถ่บาปเหมือนที่พระวัดจานบินและอีกหลายๆ วัดยกขึ้นมาเป็นวาทกรรมบาป-บุญบิดเบือนหลอกลวงคำสอนที่มีมากว่า 2,500 ปีแต่อย่างใด
การเจรจาที่หลายคนปรารถนาจึงไม่สามารถเกิดขึ้นได้ สังคมใดก็ไม่อาจประนีประนอมระหว่างคนชั่วที่ไม่มีสำนึกกับกลุ่มคนดีที่ไม่สามารถอดทนต่อการทำลายระบบคุณธรรมและจริยธรรมได้ จะให้คนดียอมถอยคนละก้าวโดยยอมกินขี้ผสมข้าวกับคนชั่วได้อย่างไร?
ระบอบทักษิณและตัวทักษิณเองที่ผ่านมาคงมิได้มีความชาญฉลาดที่ลึกล้ำจนมองเห็นและใช้ช่องว่างในรัฐธรรมนูญปี 2540 เพื่อประโยชน์ของตนเองหากมิใช่จากการชี้แนะจากผู้มีความรู้ การซุกหุ้นก็ดี การแก้ไขกฎหมายเพื่อเอื้อประโยชน์ในตนเองที่รู้จักในชื่อ คอร์รัปชันเชิงนโยบายก็ดี หรือแม้แต่นโยบายประชานิยม เช่น โครงการจำนำข้าว ต่างล้วนเกิดขึ้นไม่ได้เลยหากปราศจากการชี้แนะและสนับสนุนของผู้นำทางปัญญาดังกล่าว ผู้นำทางปัญญาจึงคิด ทักษิณบิดเบือน และน้องสาวหรือบริวารเอาไปทำ
ระบอบทักษิณจึงเป็นอันตรายอย่างยิ่งยวดต่อสังคมไทยเพราะมิได้คอร์รัปชันกินตามน้ำชักเปอร์เซ็นต์จากงบประมาณจัดซื้อจัดจ้างซึ่งเป็นเพียงกระพี้เหมือนเช่นนักการเมืองรุ่นเก่าประพฤติปฏิบัติ หากแต่เป็นการเจาะเข้าไปกัดกินถึงแก่นของเศรษฐกิจและสังคมไทย จำนำข้าวจึงมิใช่แต่เพียงล้างผลาญงบประมาณที่นำมาใช้จ่ายแต่ได้ทำลายล้างแก่นของเศรษฐกิจเช่นอุตสาหกรรมการผลิตข้าวที่มีคุณภาพซึ่งเป็นกระดูกสันหลังของสังคมไทยในชนบททุกภาคทั่วประเทศให้ย่อยยับไป
นิธิและสาวกของเขาจึงเป็นตัวอย่างที่ดีของผู้นำทางปัญญาซึ่งมีอยู่อย่างมากมายหลังช่วงปี 2544 ที่คิดและบิดเบือนข้อเท็จจริงมอมเมาสังคม มองเห็นจำนำข้าวว่าเป็นการเปลี่ยนทางสังคมไทยครั้งยิ่งใหญ่ มองไม่เห็นความชั่วในสิ่งที่ทักษิณกระทำ ขณะที่พร่ำเพ้อยึดแต่การเลือกตั้งเพียงลำพังว่าเป็นประชาธิปไตยที่ต้องรักษา วาดภาพทหารให้เป็นตัวการทำลายประชาธิปไตยโดยไม่มองกล่าวถึงเลยว่าเผด็จการรัฐสภาที่มาจากการเลือกตั้งก็มิใช่ประชาธิปไตยเช่นกัน
เพราะระบอบทักษิณอาศัยการเลือกตั้งเข้าสู่อำนาจ การเลือกตั้งจึงกลายเป็นเพียงพิธีกรรมที่ถูกสร้างขึ้นให้ดูศักดิ์สิทธิ์และอยู่เหนืออำนาจอธิปไตยอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นนิติบัญญัติหรือศาล กล่องบัตรเลือกตั้งจึงเป็นตัวตนประชาธิปไตยของพวกเขาที่อยู่เหนือสิ่งที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ ความขัดแย้งในขณะนี้จึงมาจากการบิดเบือนข้อเท็จจริงดังกล่าว สร้างวาทกรรมจอมปลอม เช่น รัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งมีอำนาจและอยู่เหนือความผิดใดๆ ทั้งปวง มีความชอบธรรมที่จะอยู่ครบวาระจะให้ใครหรืออำนาจอธิปไตยอื่น เช่น ศาล หรือองค์กรอิสระ มาไล่ออกไม่ได้ต้องประชาชนมาออกเสียงไม่เลือกพวกเขาเท่านั้น ส.ส./ส.ว.ที่มาจากการเลือกตั้งมีอำนาจที่จะปู้ยี่ปู้ยำรัฐธรรมนูญอย่างไรก็ได้
ผู้นำทางปัญญาที่ชั่วช้าและขาดเขลาจึงสวมเสื้อคลุมประชาธิปไตยเข้ามาปลูกต้นไม้พิษบิดเบือนวิชาการและความจริงในสังคมผ่านทั้งการสอนการวิพากษ์และสนับสนุนสิ่งที่ผิดโดยความขลาดขาดความกล้าหาญทางจริยธรรมของผู้บริหารมหาวิทยาลัยเอาแต่อ้างของเสรีภาพทางวิชาการเพื่อละเว้นความรับผิดชอบที่พึงมี
ในขณะที่มหาวิทยาลัยชั้นนำของรัฐที่ประชาชนเป็นเจ้าของยังให้เสรีภาพกับผู้นำทางปัญญาเหล่านั้นทำในทิศทางที่ขัดแย้งกับวัตถุประสงค์และความต้องการของสังคมไทย แต่สภามหาวิทยาลัยชินวัตรจะยอมจ้างให้งานให้เสรีภาพอาจารย์ตนเองมาวิพากษ์ทักษิณ ชินวัตรและครอบครัวในการกระทำที่ผ่านมาอย่างตรงไปตรงมาหรือไม่? มหาวิทยาลัยชินวัตรที่กิตติรัตน์เคยเป็นนายกสภามหาวิทยาลัยจะสอนนักศึกษาหรือยินยอมและอนุมัติปริญญาให้นักศึกษาเรียนรู้เกี่ยวกับโครงการจำนำข้าวหรือการโกหกของคนเป็นรัฐมนตรีหรือไม่ นี่คือตัวอย่างของอันตรายที่เกิดจากผู้นำทางปัญญาที่กลายเป็นเมธีบริกร มิเช่นนั้นจะเกิดเช่นกรณีกลุ่มนิติราษฎร์หรือ 2 เอา 2 ไม่เอา ได้อย่างไร
สังคมมิได้ขัดขวางการแสดงเสรีภาพทางความคิด หากแต่สังคมเริ่มกังขาและสงสัยว่าทำไมจึงบิดเบือนไม่พูดถึงข้อเท็จจริงและการชี้นำของผู้นำทางความคิดทั้งหลายว่าอะไรคือความดีความชั่ว
หากพวกเขาและเธอไม่สามารถแยกแยะความจริงระหว่างความดีกับชั่วที่เปรียบเสมือนขี้และข้าวได้ หรือขาดความกล้าหาญทางจริยธรรมที่จะแสดงจุดยืนว่าไม่ร่วมยอมกินขี้ด้วยหรือคบกับคนที่กินขี้ แล้วจะเป็นผู้นำทางปัญญาชี้นำทางออกให้แสงสว่างทางปัญญากับสังคมต่อไปได้อย่างไร?
อำนาจอธิปไตยตามรัฐธรรมนูญ
อำนาจอธิปไตยที่บิดเบี้ยวของระบอบทักษิณ