สมัชชาปกป้องประชาธิปไตย หรือ สปป.เป็นการรวมตัวของนักวิชาการ และประชาชนหลากหลายอาชีพจำนวนประมาณ 150 คน ที่มีวัตถุประสงค์เพื่อตอบโต้ต่อสู้ในเชิงหลักการความคิดกับ กปปส.และที่ประชุมอธิการบดี มหาวิทยาลัย(ทปอ.)และนักวิชาการจำนวนหนึ่งที่นำเสนอความเห็นไปในทิศทางที่พวกเขาอ้างว่า ขัดกับกติกาประชาธิปไตยในภาวะวิกฤติของบ้านเมือง
หัวขบวนของ สปป.ประกอบด้วย นักวิชาการอย่างเช่น นายนิธิ เอียวศรีวงศ์ นายชาญวิทย์ เกษตรศิริ นายเกษียร เตชะพีระ นางผาสุก พงษ์ไพจิตร นายวรเจตน์ ภาคีรัตน์ นางพวงทอง ภวัครพันธุ์ ฯลฯ ซึ่งล้วนแต่เป็นขาประจำ วัวเคยขาม้าเคยขี่ เป็นองครักษ์พิทักษ์ระบอบทักษิณนั่นเอง แต่เปลี่ยนหน้ากากใช้ชื่อใหม่ในครั้งนี้
คนพวกนี้คอยแก้ต่างให้กับระบบทักษิณมาโดยตลอด โดยใช้วิธี “ ตัดตีนให้เข้ากับเกือก” บิดเบือนข้อเท็จจริงให้เข้ากับทฤษฎี หลักความคิดแบบขึงตรึงตายตัว เพื่อสร้างความชอบธรรมให้กับระบอบทักษิณ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการชูทฤษฎีชนชั้น ที่จิตนาการกันขึ้นมาเอง มาป้ายสีมวลชนที่ออกมาชุมนุมต่อต้านระบอบทักษิณภายใต้การนำของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชิปไตย เมื่อปี 2549 ว่า เป็นพวกชนชั้นกลางในเมืองที่สูญเสียผลประโยชน์ จากการที่ระบอบทักษิณกระจายผลประโยชน์ที่เคยได้ไปสู่พวกรากหญ้าหรือคนเสื้อแดงที่พวกเขาสถาปนาให้เป็นชนชั้นกลางใหม่ในชนบท
คนพวกนี้ทาสีสร้างความชอบธรรมให้กับเหตุการณ์ชุมนุมของคนเสื้อแดงเมื่อเดือนเมษายน-เดือนพฤษภาคม 2553 ที่ในกลุ่มผู้ชุมนุมมีการใช้อาวุธ ใช้ความรุนแรง และการเผาบ้านเผาเมือง ว่า เป็นเพราะความเหลื่อมล้ำในสังคมเป็นมูลเหตุ ทั้งๆ ที่ข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นเป็นที่ประจักษ์ว่าผู้ที่มาชุมนุมส่วนใหญ่ถูกเครือข่ายของระบอบบทักษิณว่าจ้างมา หลายคนต้องสังเวยชีวิตร่างกายเป็นบันไดให้ นช.ทักษิณ ชินวัตร เหยียบย่ำขึ้นไปสู่อำนาจ
คนพวกนี้ บางคนเคยใช้ชือคณะนิติราษฎร์ เคลื่อนไหวให้ยกเลิกมาตรา 112 ประมวลกฎหมายอาญา เพื่อเป็นอิฐก้อนแรกในเส้นทางการโค่นล้มสถาบันพระมหากษัตริย์ เคยตำหนิวิพากษ์วิจารณ์ ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ศาลรัฐธรรมนูญว่าไม่มีอำนาจในการวินิจฉัยคดี เพียเงพราะว่าศาลเหล่านี้ตัดสินว่าการกระทำของ นช.ทักษิณและลิ่วล้อนั้นผิดกฎหมาย ขัดรัฐธรรมนูญ ตั้งแต่คดีที่ดินรัชดาที่ศาลฏีกาพิพากษาให่จำคุก นช.ทักษิณ 2 ปี มาจนถึงกรณีแก้ไขรัฐธรรมนูญเรื่องที่มาของ ส.ว.ที่ศาลรัฐธรรมนูณวินิจฉัยว่าขัดรัฐธรรมนูญ
บางคนในคนพวกนี้ ใช้ชีวิตในบั้นปลาย ทำลายศักดิ์ศรี เกียรติประวัติของตัวด้วยน้ำมือของตัวเองผ่านบทความที่ชื่อ “ โครงการจำนำข้าว เปลี่ยนสังคมไทย” เพียงเพราะต้องการปกป้องโครงการของรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ซึ่งบัดนี้เป็นที่พิสูจน์แล้วว่า กำลังจะนำสังคมไทยตกลงไปในหุบเหวแห่งหายนะ
คนพวกนี้ ไม่เคยมองเห็นความเลวร้ายการทุจริตคอร์รัปชั่น ความโหดเหี้ยมอำมหิตของระบอบทักษิณเลย พวกเขามองเห็นแต่สถาบันพระมหากษัตร์ย์ว่าเป็นสถาบันที่ขัดขวางพัฒนาการของประชาธิปไตย พวกเขาเห็นแต่ชนชั้นนำเก่า ชนชั้นนำใหม่ ไม่เคยเห็นความถูกผิด ความชั่วความดีของคน
คนพวกนี้ ก็คือนั่งร้านที่ช่วยค้ำยันระบบทักษิณเอาไว้นั่นเอง
วันนี้ คนพวกนี้มารวมตัวกันในนามสมัชชาปกป้องประชาธิปไตย หรือ สปป. ชื่อใหม่คนหน้าเดิม ภารกิจเดิม คือเป็นนั่งร้านค้ำยันระบอบทักษิณที่ไม่น่าเชื่อว่ากำลังผุกร่อนลงอย่างรวดเร็ว
สปป. ก็คือ แนวรบด้านทฤษฎี ความคิดของระบอบทักษิณ ที่ถูกจัดตั้งขึ้นมาอย่างเร่งด่วนเพื่อทำสงครามความคิดต่อสู้กับแนวคิดเรื่องประชาธิปไตยที่แท้จริงที่มีคณาจารย์ ในสาขากฎหมายมหาชน ของคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และสถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ เป็นหัวหอกในการต่อสุ้ทางความคิด
ความคิดในเรื่องประชาธิปไตยของสำนักท่าพระจันทร์และนิด้า เห็นว่า อำนาจอธิปไตยเป็นของประชาชน เมื่อรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งทำผิดกฎหมายแล้วประกาศว่าไม่ยอมรับอำนาจศาล ถือเป็นรัฐบาลเถื่อน ประชาชนก็มีความชอบธรรมที่จะทวงอำนาจนั้นคืนมาแล้วจัดการปฏิรูป เปลี่ยนแปลงกติกาใหม่ เพื่อป้องกันไม่ให้มีรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งใช้อำนาจอย่างฉ้อฉลอีก
มวลมหาประชาชนนับล้านๆ คนที่เดินออกจากบ้าน เพื่อร่วมขับไล่ระบบอทักษิณ ภายใต้การนำของ กปปส.ที่มีนายสุเทพ เทือกสุบรรณ เป็นเลขาธิการ เป็นปรากฏการณ์ใหม่ของสังคมไทย ที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน เป็นการแสดงเจตจำนงของประชาชนซึ่งหากรวมกับผู้ที่ไม่ได้ออกจากบ้านมาร่วมชุมนุมแต่ติดตามและแสดงความเห็นผ่านเครือข่ายสังคมในอินเทอร์เน็ตแล้วก็น่าจะไม่ต่ำกว่า 20 ล้านคนว่าไม่ยอมรับรัฐบาลที่ทำผิดกฎหมาย แม้ว่า รัฐบาลนั้นจะมาจากการเลือกตั้ง และไม่ยอมรับว่าการเลือกตั้ง คือ ใบอนุญาตให้ผู้ชนะทำตามอำเภอใจได้
ความคิดที่ว่าประชาชนมีอำนาจอธิปไตยและมีอำนาจในการจัดการบ้านเมืองโดยผ่านสภาประชาชนเป็นความคิดใหม่ที่เกิดขึ้นจากการเคลื่อนไหวของมวลมหาประชาชนในช่วง 40 กว่าวันที่ผ่านมา เป็นการคิดนอกกรอบเดิมๆ ที่เห็นว่ามีแต่การเลือกตั้งเท่านั้นที่เป็นประชาธิปไตย
ในขณะที่มวลมหาประชาชนติดอาวุธความคิดใหม่ก้าวรุดหน้าไปไกลแล้ว บรรดานักวิชาการที่เปลี่ยนหน้ากากใหม่มาใส่หน้ากาก ชื่อ สปป.กลับเดินถอยหลัง หันไปคว้ารัฐธรรมนูญ 2550 มากอด แล้วท่องคาถา การเลือกตั้งๆ การเลือกตั้งเท่านั้นคือ ประชาธิปไตย ทั้งๆ ที่เมื่อไม่นานมานี้เอง นักวิชาการเหล่านี้แหละที่ประณามรัฐธรรมนูญฉบับนี้ว่าเป็นผลพวงของการรัฐประหาร ที่ต้องถูกฉีกทิ้งไปให้สิ้นซาก
แท้จริงแล้ว ภารกิจของนักวิชาการเหล่านี้ที่ใส่หน้ากากใหม่ชื่อ สมัชชาปกป้องประชาธิปไตย คือการช่วยประคับ ประคองรักษาสถานะเดิมของระบอบทักษิณที่กำลังถูกพลังของมวลมหาประชาชนซัดกระหน่ำ จนถอยร่นอย่างไม่เป้นกระบวน ภายในเวลาเพียงเดือนเศษๆ
ครั้งหนึ่ง เมื่อไม่นานมานี้เอง นักวิชาการเหล่านี้เชิดชูระบอบทักษิณว่า คืออำนาจใหม่ ที่เป็นที่หวาดกลัวชิงชัง ของอำนาจเก่า ความขัดแย้งทางการเมืองที่เกิดขึ้นคือการต่อสู้ของอำนาจเก่าเพื่อรักษาสถานะเดิมของตนเอาไว้ บัดนี้ ระบอบทักษิณได้กลายเป็นอำนาจเก่า ภายในชั่วข้ามคืน ที่กำลังต่อสู้กับอำนาจใหม่คือ อำนาจของประชาชนเพื่อรักษาสถานภาพเดิมต่อไป
บทบาทของสมัชชาปกป้องประชาธิปไตย คือ ช่วยซื้อเวลา ต่ออายุของอำนาจเก่าออกไปให้นานที่สุดเท่าที่จะทำได้