ASTVผู้จัดการรายวัน - มาเลเซียแถลงพุ่ง 4 แนวทางสอบสวน เครื่องบินโบอิ้ง 777-200 ER พร้อมผู้โดยสารและลูกเรือ 239 ราย หายสาบสูญ ขยายพื้นที่ค้นหาเป็น 100 ไมล์ทะเล เผยภาพ “หนุ่มอิหร่าน” ถือพาสปอร์ตปลอมขึ้นเครื่อง ผกก.พัทยา ย้ำรู้ตัวคนติดต่อซื้อตั๋วเครื่องบินแล้ว เผยการค้นหายังไร้ร่องรอย
พลตำรวจเอกคาลิด อาบู บาการ์ 1 ในคณะทำงานสืบสวนการสูญหายของเครื่องบินโบอิ้ง 777-200 ER ของมาเลเซีย แอร์ไลนส์ เที่ยวบิน MH 370 พร้อมผู้โดยสารและลูกเรือรวมทั้งสิ้น 239 ราย เผยว่า ขณะนี้เจ้าหน้าที่ตำรวจพุ่งเป้าแนวทางการสอบสวนไว้ 4 ประเด็นเหตุการณ์การหายไร้วี่แววของเครื่องบินลำดังกล่าว คือ 1. คนร้ายจี้เครื่องบิน 2. การก่อวินาศกรรม 3. ความผิดพลาดของลูกเรือ 4. ปัญหาของตัวเครื่องบิน รวมทั้งการตรวจสอบประวัติของผู้โดยสารและลูกเรือทั้ง 239 ราย จากกล้องวงจรปิดที่สนามบินกัวลาลัมเปอร์ ตลอดจนตรวจสอบข้อมูลกระเป๋าสัมภาระ
อย่างไรก็ตามรายงานข่าว มีการระบุตัวผู้โดยสาร 1 ใน 2 คนที่ถือหนังสือเดินทางปลอมขึ้นเครื่องบินมาเลเซียแอร์ไลน์ส MH370 ที่สูญหาย โดยพบว่าปูเรีย นูร์ โมฮัมหมัด เมห์รดาด เป็นชาวอิหร่านวัย 19 ปีที่ต้องการอพยพไปเยอรมนี
พลตำรวจเอกคอลิด อบูบาการ์ ย้ำว่า เราเชื่อว่าเขาไม่น่าจะเป็นสมาชิกกลุ่มก่อการร้าย เขาเพียงแต่ต้องการอพยพไปอยู่เยอรมนีเท่านั้น
หนุ่มอิหร่านรายนี้ถือหนังสือเดินทางออสเตรียซึ่งเป็นของ คริสเตียน โคเซล ที่เดินทางมาท่องเที่ยวใน จ.ภูเก็ต เมื่อปี 2555 ส่วนผู้ต้องสงสัยอีก 1 คนซึ่งถือหนังสือเดินทางของ ลุยจิ มาราดี ชาวอิตาลีซึ่งมาทำพาสปอร์ตหายในเมืองไทยอีกเช่นกัน ตำรวจมาเลเซียยังไม่ทราบว่าเป็นใคร
ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติมาเลเซีย ระบุว่า ปูเรีย นูร์ โมฮัมหมัด เมห์รดาด วัย 19 ปี ซึ่งเป็นพลเมืองอิหร่าน ถือหนังสือเดินทางออสเตรียที่ถูกขโมยจากนักท่องเที่ยวในประเทศไทย และเมื่อผู้สื่อข่าวถามว่าเหตุใดตำรวจจึงทราบว่าเขาต้องการอพยพไปเยอรมนี คอลิด ก็ตอบแต่เพียงว่า เจ้าหน้าที่ได้ติดต่อไปยังมารดาของเขาซึ่งไปรออยู่ที่นครแฟรงก์เฟิร์ตแล้ว
**ไทยเป็นเป้าปลอมเอกสาร
ทั้งนี้เอเอฟพีรายงานว่า ประเทศไทยกำลังตกเป็นเป้าถูกจับตา ในฐานะที่เป็นศูนย์กลางสำคัญทางด้านเอกสารปลอมแปลงสำหรับพวกเครือข่ายอาชญากรรม ภายหลังที่มีการเปิดเผยออกมาว่า มีผู้โดยสาร 2 คนในเที่ยวบิน MH 370 ซึ่งสูญหายไป แอบใช้หนังสือเดินทางที่ถูกขโมยในเมืองไทย จนทำให้เกิดความหวาดผวากันว่าบุคคลเหล่านี้อาจจะเป็นพวกผู้ก่อการร้าย
มีชื่อชาวยุโรป 2 คน คือ คริสเตียน โคเซล ชาวออสเตรีย และลุยจิ มารัลดี ชาวอิตาลี ปรากฏอยู่ในรายชื่อผู้โดยสารในเที่ยวบินของสายการบินมาเลเซียแอร์ไลน์สดังกล่าว ซึ่งหายลับไปจากจอเรดาร์ในช่วงชั่วโมงต้นๆ ของวันเสาร์ (8 มี.ค.) ระหว่างเดินทางจากกัวลาลัมเปอร์มุ่งหน้าสู่ปักกิ่ง
แต่ทั้งคู่ไม่ได้ขึ้นเครื่องบินลำนั้นแต่อย่างใด ตรงกันข้ามกลับมีผู้โดยสารลึกลับ 2 คนสวมรอยใช้หนังสือเดินทางของพวกเขา ซึ่งได้ถูกขโมยไปในประเทศไทย
อาซารุดดิน อับดุล เราะห์มาน อธิบดีกรมการบินพลเรือนของมาเลเซียระบุว่า พวกเจ้าหน้าที่ผู้รับผิดชอบได้ยืนยันแล้วว่า บุคคล 2 คนซึ่งขึ้นเครื่องบินของเที่ยวบินดังกล่าวโดยใช้หนังสือเดินทางที่ขโมยมานั้น ไม่ได้มีรูปร่างหน้าตาแบบชาวเอเชียเหมือนอย่างที่รัฐมนตรีมหาดไทยของมาเลเซียได้เคยแถลงเอาไว้ก่อนหน้านี้ในวันเดียวกัน
พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว ผบ.ตร. กล่าวถึงกรณีสายการบินมาเลเซียสูญหาย จากการตรวจสอบพบว่า มีการใช้พาสปอร์ตปลอมในการจองตั๋วเครื่องบิน พล.ต.อ.อดุลย์กล่าวว่า จากการตรวจสอบพบว่า พาสปอร์ตดังกล่าวเป็นของชาวออสเตรีย และชาวอิตาลี ซึ่งคนที่สวมรอยใช้พาสปอร์ตนั้นไม่ได้ใช้ในการเข้ามายังประเทศไทย อย่างไรก็ตาม ทางเจ้าหน้าที่กำลังเร่งสืบสวนในคดีดังกล่าวอย่างต่อเนื่อง
นายรอมเมล บันลาออย นักวิเคราะห์เรื่องการก่อการร้ายในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ให้ความเห็นว่า ประเทศไทยนั้นถูกกลุ่มก่อการร้ายระหว่างประเทศบางกลุ่มใช้เป็นพื้นที่ปฏิบัติการอยู่แล้ว ด้วยวัตถุประสงค์ในการหาเงินทุนหรือไม่ก็ใช้เป็นสถานที่วางแผนก่อเหตุโจมตี
ทั้งนี้เมื่อปี 2010 มีชาวปากีสถาน 2 คน และผู้หญิงไทยคนหนึ่งถูกจับกุมในประเทศไทย เนื่องจากต้องสงสัยว่ากำลังทำหนังสือเดินทางปลอมให้แก่พวกกลุ่มซึ่งโยงใยกับอัลกออิดะห์ คนเหล่านี้เป็นส่วนหนึ่งของการปฏิบัติการระดับระหว่างประเทศซึ่งเชื่อมโยงเกี่ยวข้องกับเหตุโจมตีที่เกิดขึ้นในเมืองมุมไบ ประเทศอินเดียเมื่อปี 2008 และการวางระเบิดรถไฟที่กรุงมาดริด ประเทศสเปนในปี 2004
**ไทยยันรู้ตัวผู้ซื้อตั๋งเครื่องบิน
มีข้อมูลของผู้โดยสาร จำนวน 2 คน ที่ขึ้นเครื่องพบพิรุธโดยใช้หนังสือเดินทางของนายลุยจิ มารัลดิ อายุ 27 ปี ชาวอิตาลี กับของนายคริสเตียน โคเซล สัญชาติออสเตรีย ที่เคยแจ้งหายไว้ ซึ่งปัจจุบัน นายลุยจิ ยังพักอาศัยอยู่ใน จ.ภูเก็ต ส่วนนายคริสเตียน ได้เดินทางออกจากประเทศไทยไปแล้ว
วานนี้ (11 มี.ค.) พ.ต.อ.ศุภชัย ผุยแก้วคำ ผกก.สภ.เมืองพัทยา จ.ชลบุรี เปิดเผยว่า ขณะนี้ทางตำรวจทราบเส้นทางของการซื้อตั๋วเครื่องบินแล้ว โดยเมื่อวันที่ 1 มี.ค.ที่ผ่านมา Mr.Alireza Kolmoham madi อายุ 39 ปี สัญชาติอิหร่าน ได้โทรศัพท์สั่งซื้อตั๋วเครื่องบิน จำนวน 2 ใบ จากบริษัท แกรนด์ ฮอไรชั่น ทราเวล จำกัด ต้นทางจากประเทศมาเลเซีย ปลายทางที่เมืองแฟรงก์เฟิร์ต และเมืองโคเปเฮเกน โดยใช้หนังสือเดินทางของนายลุยจิ มารัลดิ อายุ 27 ปี ชาวอิตาลี กับนายคริสเตียน โคเซล สัญชาติออสเตรีย เป็นคนสั่งซื้อ
จากนั้นบริษัท แกรนด์ฯ ซึ่งเป็นเพียงบริษัทซับเอเยนต์ได้ส่งข้อมูล และสั่งซื้อตั๋วผ่านบริษัท ซิกซ์สตาร์ ทราเวล อีกต่อหนึ่ง แต่ภายหลังมีการเปลี่ยนแปลงวันรับตั๋วเป็นวันที่ 6 มี.ค. นี้
ต่อมา Mr.Alireza ได้ให้ Mr.Hashem Saheb Gharani Golestani อายุ 51 ปี เพื่อนชาติเดียวกันซึ่งทำธุรกิจเปิดร้านทำกรอบรูปในเมืองพัทยา เป็นคนนำเงินค่าตั๋วเครื่องบิน จำนวน 51,000 บาท มาจ่ายให้บริษัทแกรนด์ฯ จากนั้นบริษัท ซิกซ์สตาร์ จึงส่งตั๋วเครื่องบินไปให้ทางอินเทอร์เน็ต หรืออีบุ๊กกิ้ง โดยที่คนสั่งซื้อไม่ได้มารับตั๋วด้วยตัวเอง
พ.ต.อ.ศุภชัย กล่าวต่อไปว่า จากการตรวจสอบประวัติ Mr.Alireza เดินทางเข้ามาประเทศไทยครั้งแรกเมื่อวันที่ 11 มิ.ย.55 และแจ้งข้อมูลการเข้าพักไว้ที่ รอยัลไทย เรสซิเด้นท์ ถ.เทพประสิทธิ์ 7 ต.หนองปรือ อ.บางละมุง ล่าสุด เดินทางออกจากประเทศไปยังกรุงเตหะราน ประเทศอิหร่าน เมื่อวันที่ 1 ธ.ค.56 ซึ่งในระหว่างที่อยู่ประเทศไทย Mr.Alireza มีความคุ้นเคยกับบริษัท แกรนด์ ฮอไรชั่น ทราเวล จำกัด เพราะสั่งซื้อตั๋วเครื่องบินจากบริษัทดังกล่าวเป็นประจำ
ส่วน Mr.Hashem ปัจจุบันประกอบอาชีพเปิดร้านรับทำกรอบรูปอยู่ในเมืองพัทยามาประมาณ 7 ปีแล้ว และมีความคุ้นเคยกับ Mr.Alireza เป็นอย่างดี เบื้องต้นตำรวจได้เรียก Mr.Hashem มาทำการสอบปากคำแล้วแต่ไม่พบพิรุธ จึงได้ปล่อยตัวไปชั่วคราว แต่ในขณะนี้ยังไม่สามารถติดต่อ Mr.Alireza ได้
**ค้นหาเที่ยวบิน MH370 ไร้วี่แวว
สำหรับการระดมความช่วยเหลือจากนานาชาติในการค้นหาร่องรอยเครื่องบินที่สูญหายไปนั้น มีทั้งเรือจากกองทัพเรือ 6 ชาติ เครื่องบินทหารหลายสิบลำ พร้อมเทคโนโลยีเรดาร์ที่สามารถระบุตำแหน่งลูกฟุตบอลจากระยะไกลหลายร้อยฟุตในอากาศ แต่ก็ยังไม่สามรถค้นหาร่องรอยเครื่องบินของสายการบินมาเลเซียแอร์ไลน์ส ที่หายสาบสูญไปเมื่หลายวันก่อน
การค้นหาครั้งใหญ่ที่มีรัศมีกว้าง 50 ไมล์ทะเลจากจุดติดต่อสุดท้ายที่เครื่องบินปรากฎบนเรดาร์ ครึ่งทางระหว่างชายฝั่งตะวันออกของมาเลเซียและใต้สุดของเวียดนาม ครอบคลุมพื้นที่ราว 27,000 ตารางกิโลเมตร ซึ่งรวมทั้งหลายพื้นที่บางส่วนของอ่าวไทยและทะเลจีนใต้แต่ไม่พบอะไร
มาเลเซียได้ขยายการค้นหาไปยังฝั่งตะวันตกของประเทศ หลังมีทฤษฎีว่าเครื่องบินอาจหันหัวกลับมายังกรุงกัวลาลัมเปอร์ด้วยเหตุบางประการ ซึ่งในการค้นหาครั้งนี้มีเครื่องบิน 34 ลำและเรือ 40 ลำจาก 10 ประเทศ เข้าร่วมปฏิบัติการ
กองทัพเรือที่ 7 ของกองทัพสหรัฐฯ ได้ส่งเครื่องบิน พี-3ซี โอไรออน จากฐานทัพในโอกินาวา ประเทศญี่ปุ่น และเรือพิฆาตพิงค์นีย์ (US Pinckney) ที่มาพร้อมกับเฮลิคอปเตอร์“ซีฮอว์ก” (MH-60R Seahawk) ถึง 2 ลำ เพื่อร่วมปฏิบัติการค้นหาและกู้ภัย
ฝ่ายจีนได้ส่งเรือ 4 ลำจากกองทัพเรือ เรือรักษาการชายฝั่ง 1 ลำ และเรือพลเรือนอีก 1 ลำ เข้าร่วมค้นหา และยังมีเครื่องบินโอไรออน 2 ลำจากออสเตรเลีย และอีก 1 ลำจากนิวซีแลนด์ เข้าร่วมช่วยเหลือในครั้งนี้
*** ขยายพื้นที่ค้นหาเป็น100ไมล์ทะเล
นายอาห์หมัด จอฮารี ยะห์ยา เจ้าหน้าที่ฝ่ายบริหารของมาเลเซีย แอร์ไลน์ส กล่าวในรายงานว่า มีการขยายพื้นที่ค้นหาเป็น 100 ไมล์ทะเล จากเดิม 50 ไมล์ทะเล จากจุดสุดท้ายที่เรดาร์พบสัญญาณเครื่องบินดังกล่าว ตอนนี้จุดสนใจอยู่ที่คาบสมุทรตะวันตกของมาเลเซีย ณ ช่องแคบมะละกา เจ้าหน้าที่กำลังประเมินความเป็นไปได้ที่ว่า MH370 อาจจะกลับมายังเมืองสนามบินซูบัง ซึ่งตั้งอยู่ชานเมืองกรุงกัวลาลัมเปอร์
ทั้งนี้ สายการบินมาเลเซีย แอร์ไลน์สเปิดเผยว่า เครื่องบินของบินมาเลเซีย แอร์ไลน์ส ซึ่งบรรทุกผู้โดยสารและลูกเรือจำนวน 239 รายอยู่บนเครื่องและสูญหายเป็นเวลา 4 วันนั้น เข้ารับการซ่อมบำรุงเป็นเวลา 12 วันก่อนจะขึ้นบินในเที่ยวบิน MH370 และพบว่าสภาพของเครื่องบินไม่มีปัญหา และมีกำหนดเข้ารับตรวจเช็คสภาพอีกครั้งในวันที่ 1 มิ.ย. นั้น ได้ผ่านการขึ้นบินมาแล้วกว่า 53,000 ชั่วโมงนับตั้งแต่ส่งมอบเครื่องครั้งแรกในปี 2545
** อินเตอร์โพลชี้ไม่น่าเกี่ยวก่อการร้าย
ล่าสุด นายโรนัลด์ โนเบิล เลขาธิการใหญ่ของสำนักงานตำรวจสากล ระบุว่า ชายทั้งสองคนที่ใช้พาสปอร์ตปลอมเป็นชาวอิหร่าน ที่ถูกขโมยเพื่อโดยสารเครื่องบินลำดังกล่าว ทำให้มีข้อสงสัยว่าพวกเขาอาจกำลังลักลอบเข้าประเทศด้วยความช่วยเหลือของขบวนการลักลอบขนผู้อพยพผิดกฎหมาย
ก่อนหน้านี้ในวันเดียวกัน คอลิด อบูบาการ์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติมาเลเซียได้ออกมาระบุว่า 1 ในผู้โดยสารที่ถือหนังสือเดินทางปลอมขึ้นเครื่องบิน คือ พลเมืองอิหร่านชื่อ ปูรี นูร์โมฮัมมาดี ซึ่งถือหนังสือเดินทางของนักท่องเที่ยวชาวออสเตรียที่ถูกขโมยขณะอยู่ในไทย
โนเบิลกล่าวย้ำว่า “ยิ่งเราได้ข้อมูลมากขึ้นเท่าไร ก็ยิ่งเห็นว่าเหตุการณ์นี้ไม่น่าจะเกี่ยวข้องกับการก่อการร้าย”
เขาชี้แจงกับผู้สื่อข่าวที่สำนักงานใหญ่ของตำรวจสากลในเมืองลียง ของฝรั่งเศสว่า ชายชาวอิหร่านทั้งสองคนมีอายุ 18 และ 29 ปี โดยพวกเขาเริ่มออกเดินทางจากกรุงโดฮาโดยถือหนังสือเดินทางอิหร่าน จากนั้นเมื่อมาถึงมาเลเซียก็เปลี่ยนมาใช้พาสปอร์ตที่ขโมยมาจากชาวอิตาลีและชาวออสเตรีย เพื่อขึ้นเครื่องบินของสายการบินมาเลเซียแอร์ไลน์สที่หายไป
“เรารู้ว่า ทันทีที่คนทั้งสองเดินทางมาถึงกรุงกัวลาลัมเปอร์เมื่อวันที่ 28 กุมภาพันธ์ พวกเขาก็โดยสารเที่ยวบิน 370 โดยใช้หนังสือเดินทางอีก 2 ฉบับ ที่ขโมยมาจากชาวออสเตรียและอิตาลี” เขากล่าว
ทั้งนี้ ไม่มีรายงานว่ามีพลเมืองอิหร่านทำหนังสือเดินทางสูญหายแต่อย่างใด
พลตำรวจเอกคาลิด อาบู บาการ์ 1 ในคณะทำงานสืบสวนการสูญหายของเครื่องบินโบอิ้ง 777-200 ER ของมาเลเซีย แอร์ไลนส์ เที่ยวบิน MH 370 พร้อมผู้โดยสารและลูกเรือรวมทั้งสิ้น 239 ราย เผยว่า ขณะนี้เจ้าหน้าที่ตำรวจพุ่งเป้าแนวทางการสอบสวนไว้ 4 ประเด็นเหตุการณ์การหายไร้วี่แววของเครื่องบินลำดังกล่าว คือ 1. คนร้ายจี้เครื่องบิน 2. การก่อวินาศกรรม 3. ความผิดพลาดของลูกเรือ 4. ปัญหาของตัวเครื่องบิน รวมทั้งการตรวจสอบประวัติของผู้โดยสารและลูกเรือทั้ง 239 ราย จากกล้องวงจรปิดที่สนามบินกัวลาลัมเปอร์ ตลอดจนตรวจสอบข้อมูลกระเป๋าสัมภาระ
อย่างไรก็ตามรายงานข่าว มีการระบุตัวผู้โดยสาร 1 ใน 2 คนที่ถือหนังสือเดินทางปลอมขึ้นเครื่องบินมาเลเซียแอร์ไลน์ส MH370 ที่สูญหาย โดยพบว่าปูเรีย นูร์ โมฮัมหมัด เมห์รดาด เป็นชาวอิหร่านวัย 19 ปีที่ต้องการอพยพไปเยอรมนี
พลตำรวจเอกคอลิด อบูบาการ์ ย้ำว่า เราเชื่อว่าเขาไม่น่าจะเป็นสมาชิกกลุ่มก่อการร้าย เขาเพียงแต่ต้องการอพยพไปอยู่เยอรมนีเท่านั้น
หนุ่มอิหร่านรายนี้ถือหนังสือเดินทางออสเตรียซึ่งเป็นของ คริสเตียน โคเซล ที่เดินทางมาท่องเที่ยวใน จ.ภูเก็ต เมื่อปี 2555 ส่วนผู้ต้องสงสัยอีก 1 คนซึ่งถือหนังสือเดินทางของ ลุยจิ มาราดี ชาวอิตาลีซึ่งมาทำพาสปอร์ตหายในเมืองไทยอีกเช่นกัน ตำรวจมาเลเซียยังไม่ทราบว่าเป็นใคร
ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติมาเลเซีย ระบุว่า ปูเรีย นูร์ โมฮัมหมัด เมห์รดาด วัย 19 ปี ซึ่งเป็นพลเมืองอิหร่าน ถือหนังสือเดินทางออสเตรียที่ถูกขโมยจากนักท่องเที่ยวในประเทศไทย และเมื่อผู้สื่อข่าวถามว่าเหตุใดตำรวจจึงทราบว่าเขาต้องการอพยพไปเยอรมนี คอลิด ก็ตอบแต่เพียงว่า เจ้าหน้าที่ได้ติดต่อไปยังมารดาของเขาซึ่งไปรออยู่ที่นครแฟรงก์เฟิร์ตแล้ว
**ไทยเป็นเป้าปลอมเอกสาร
ทั้งนี้เอเอฟพีรายงานว่า ประเทศไทยกำลังตกเป็นเป้าถูกจับตา ในฐานะที่เป็นศูนย์กลางสำคัญทางด้านเอกสารปลอมแปลงสำหรับพวกเครือข่ายอาชญากรรม ภายหลังที่มีการเปิดเผยออกมาว่า มีผู้โดยสาร 2 คนในเที่ยวบิน MH 370 ซึ่งสูญหายไป แอบใช้หนังสือเดินทางที่ถูกขโมยในเมืองไทย จนทำให้เกิดความหวาดผวากันว่าบุคคลเหล่านี้อาจจะเป็นพวกผู้ก่อการร้าย
มีชื่อชาวยุโรป 2 คน คือ คริสเตียน โคเซล ชาวออสเตรีย และลุยจิ มารัลดี ชาวอิตาลี ปรากฏอยู่ในรายชื่อผู้โดยสารในเที่ยวบินของสายการบินมาเลเซียแอร์ไลน์สดังกล่าว ซึ่งหายลับไปจากจอเรดาร์ในช่วงชั่วโมงต้นๆ ของวันเสาร์ (8 มี.ค.) ระหว่างเดินทางจากกัวลาลัมเปอร์มุ่งหน้าสู่ปักกิ่ง
แต่ทั้งคู่ไม่ได้ขึ้นเครื่องบินลำนั้นแต่อย่างใด ตรงกันข้ามกลับมีผู้โดยสารลึกลับ 2 คนสวมรอยใช้หนังสือเดินทางของพวกเขา ซึ่งได้ถูกขโมยไปในประเทศไทย
อาซารุดดิน อับดุล เราะห์มาน อธิบดีกรมการบินพลเรือนของมาเลเซียระบุว่า พวกเจ้าหน้าที่ผู้รับผิดชอบได้ยืนยันแล้วว่า บุคคล 2 คนซึ่งขึ้นเครื่องบินของเที่ยวบินดังกล่าวโดยใช้หนังสือเดินทางที่ขโมยมานั้น ไม่ได้มีรูปร่างหน้าตาแบบชาวเอเชียเหมือนอย่างที่รัฐมนตรีมหาดไทยของมาเลเซียได้เคยแถลงเอาไว้ก่อนหน้านี้ในวันเดียวกัน
พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว ผบ.ตร. กล่าวถึงกรณีสายการบินมาเลเซียสูญหาย จากการตรวจสอบพบว่า มีการใช้พาสปอร์ตปลอมในการจองตั๋วเครื่องบิน พล.ต.อ.อดุลย์กล่าวว่า จากการตรวจสอบพบว่า พาสปอร์ตดังกล่าวเป็นของชาวออสเตรีย และชาวอิตาลี ซึ่งคนที่สวมรอยใช้พาสปอร์ตนั้นไม่ได้ใช้ในการเข้ามายังประเทศไทย อย่างไรก็ตาม ทางเจ้าหน้าที่กำลังเร่งสืบสวนในคดีดังกล่าวอย่างต่อเนื่อง
นายรอมเมล บันลาออย นักวิเคราะห์เรื่องการก่อการร้ายในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ให้ความเห็นว่า ประเทศไทยนั้นถูกกลุ่มก่อการร้ายระหว่างประเทศบางกลุ่มใช้เป็นพื้นที่ปฏิบัติการอยู่แล้ว ด้วยวัตถุประสงค์ในการหาเงินทุนหรือไม่ก็ใช้เป็นสถานที่วางแผนก่อเหตุโจมตี
ทั้งนี้เมื่อปี 2010 มีชาวปากีสถาน 2 คน และผู้หญิงไทยคนหนึ่งถูกจับกุมในประเทศไทย เนื่องจากต้องสงสัยว่ากำลังทำหนังสือเดินทางปลอมให้แก่พวกกลุ่มซึ่งโยงใยกับอัลกออิดะห์ คนเหล่านี้เป็นส่วนหนึ่งของการปฏิบัติการระดับระหว่างประเทศซึ่งเชื่อมโยงเกี่ยวข้องกับเหตุโจมตีที่เกิดขึ้นในเมืองมุมไบ ประเทศอินเดียเมื่อปี 2008 และการวางระเบิดรถไฟที่กรุงมาดริด ประเทศสเปนในปี 2004
**ไทยยันรู้ตัวผู้ซื้อตั๋งเครื่องบิน
มีข้อมูลของผู้โดยสาร จำนวน 2 คน ที่ขึ้นเครื่องพบพิรุธโดยใช้หนังสือเดินทางของนายลุยจิ มารัลดิ อายุ 27 ปี ชาวอิตาลี กับของนายคริสเตียน โคเซล สัญชาติออสเตรีย ที่เคยแจ้งหายไว้ ซึ่งปัจจุบัน นายลุยจิ ยังพักอาศัยอยู่ใน จ.ภูเก็ต ส่วนนายคริสเตียน ได้เดินทางออกจากประเทศไทยไปแล้ว
วานนี้ (11 มี.ค.) พ.ต.อ.ศุภชัย ผุยแก้วคำ ผกก.สภ.เมืองพัทยา จ.ชลบุรี เปิดเผยว่า ขณะนี้ทางตำรวจทราบเส้นทางของการซื้อตั๋วเครื่องบินแล้ว โดยเมื่อวันที่ 1 มี.ค.ที่ผ่านมา Mr.Alireza Kolmoham madi อายุ 39 ปี สัญชาติอิหร่าน ได้โทรศัพท์สั่งซื้อตั๋วเครื่องบิน จำนวน 2 ใบ จากบริษัท แกรนด์ ฮอไรชั่น ทราเวล จำกัด ต้นทางจากประเทศมาเลเซีย ปลายทางที่เมืองแฟรงก์เฟิร์ต และเมืองโคเปเฮเกน โดยใช้หนังสือเดินทางของนายลุยจิ มารัลดิ อายุ 27 ปี ชาวอิตาลี กับนายคริสเตียน โคเซล สัญชาติออสเตรีย เป็นคนสั่งซื้อ
จากนั้นบริษัท แกรนด์ฯ ซึ่งเป็นเพียงบริษัทซับเอเยนต์ได้ส่งข้อมูล และสั่งซื้อตั๋วผ่านบริษัท ซิกซ์สตาร์ ทราเวล อีกต่อหนึ่ง แต่ภายหลังมีการเปลี่ยนแปลงวันรับตั๋วเป็นวันที่ 6 มี.ค. นี้
ต่อมา Mr.Alireza ได้ให้ Mr.Hashem Saheb Gharani Golestani อายุ 51 ปี เพื่อนชาติเดียวกันซึ่งทำธุรกิจเปิดร้านทำกรอบรูปในเมืองพัทยา เป็นคนนำเงินค่าตั๋วเครื่องบิน จำนวน 51,000 บาท มาจ่ายให้บริษัทแกรนด์ฯ จากนั้นบริษัท ซิกซ์สตาร์ จึงส่งตั๋วเครื่องบินไปให้ทางอินเทอร์เน็ต หรืออีบุ๊กกิ้ง โดยที่คนสั่งซื้อไม่ได้มารับตั๋วด้วยตัวเอง
พ.ต.อ.ศุภชัย กล่าวต่อไปว่า จากการตรวจสอบประวัติ Mr.Alireza เดินทางเข้ามาประเทศไทยครั้งแรกเมื่อวันที่ 11 มิ.ย.55 และแจ้งข้อมูลการเข้าพักไว้ที่ รอยัลไทย เรสซิเด้นท์ ถ.เทพประสิทธิ์ 7 ต.หนองปรือ อ.บางละมุง ล่าสุด เดินทางออกจากประเทศไปยังกรุงเตหะราน ประเทศอิหร่าน เมื่อวันที่ 1 ธ.ค.56 ซึ่งในระหว่างที่อยู่ประเทศไทย Mr.Alireza มีความคุ้นเคยกับบริษัท แกรนด์ ฮอไรชั่น ทราเวล จำกัด เพราะสั่งซื้อตั๋วเครื่องบินจากบริษัทดังกล่าวเป็นประจำ
ส่วน Mr.Hashem ปัจจุบันประกอบอาชีพเปิดร้านรับทำกรอบรูปอยู่ในเมืองพัทยามาประมาณ 7 ปีแล้ว และมีความคุ้นเคยกับ Mr.Alireza เป็นอย่างดี เบื้องต้นตำรวจได้เรียก Mr.Hashem มาทำการสอบปากคำแล้วแต่ไม่พบพิรุธ จึงได้ปล่อยตัวไปชั่วคราว แต่ในขณะนี้ยังไม่สามารถติดต่อ Mr.Alireza ได้
**ค้นหาเที่ยวบิน MH370 ไร้วี่แวว
สำหรับการระดมความช่วยเหลือจากนานาชาติในการค้นหาร่องรอยเครื่องบินที่สูญหายไปนั้น มีทั้งเรือจากกองทัพเรือ 6 ชาติ เครื่องบินทหารหลายสิบลำ พร้อมเทคโนโลยีเรดาร์ที่สามารถระบุตำแหน่งลูกฟุตบอลจากระยะไกลหลายร้อยฟุตในอากาศ แต่ก็ยังไม่สามรถค้นหาร่องรอยเครื่องบินของสายการบินมาเลเซียแอร์ไลน์ส ที่หายสาบสูญไปเมื่หลายวันก่อน
การค้นหาครั้งใหญ่ที่มีรัศมีกว้าง 50 ไมล์ทะเลจากจุดติดต่อสุดท้ายที่เครื่องบินปรากฎบนเรดาร์ ครึ่งทางระหว่างชายฝั่งตะวันออกของมาเลเซียและใต้สุดของเวียดนาม ครอบคลุมพื้นที่ราว 27,000 ตารางกิโลเมตร ซึ่งรวมทั้งหลายพื้นที่บางส่วนของอ่าวไทยและทะเลจีนใต้แต่ไม่พบอะไร
มาเลเซียได้ขยายการค้นหาไปยังฝั่งตะวันตกของประเทศ หลังมีทฤษฎีว่าเครื่องบินอาจหันหัวกลับมายังกรุงกัวลาลัมเปอร์ด้วยเหตุบางประการ ซึ่งในการค้นหาครั้งนี้มีเครื่องบิน 34 ลำและเรือ 40 ลำจาก 10 ประเทศ เข้าร่วมปฏิบัติการ
กองทัพเรือที่ 7 ของกองทัพสหรัฐฯ ได้ส่งเครื่องบิน พี-3ซี โอไรออน จากฐานทัพในโอกินาวา ประเทศญี่ปุ่น และเรือพิฆาตพิงค์นีย์ (US Pinckney) ที่มาพร้อมกับเฮลิคอปเตอร์“ซีฮอว์ก” (MH-60R Seahawk) ถึง 2 ลำ เพื่อร่วมปฏิบัติการค้นหาและกู้ภัย
ฝ่ายจีนได้ส่งเรือ 4 ลำจากกองทัพเรือ เรือรักษาการชายฝั่ง 1 ลำ และเรือพลเรือนอีก 1 ลำ เข้าร่วมค้นหา และยังมีเครื่องบินโอไรออน 2 ลำจากออสเตรเลีย และอีก 1 ลำจากนิวซีแลนด์ เข้าร่วมช่วยเหลือในครั้งนี้
*** ขยายพื้นที่ค้นหาเป็น100ไมล์ทะเล
นายอาห์หมัด จอฮารี ยะห์ยา เจ้าหน้าที่ฝ่ายบริหารของมาเลเซีย แอร์ไลน์ส กล่าวในรายงานว่า มีการขยายพื้นที่ค้นหาเป็น 100 ไมล์ทะเล จากเดิม 50 ไมล์ทะเล จากจุดสุดท้ายที่เรดาร์พบสัญญาณเครื่องบินดังกล่าว ตอนนี้จุดสนใจอยู่ที่คาบสมุทรตะวันตกของมาเลเซีย ณ ช่องแคบมะละกา เจ้าหน้าที่กำลังประเมินความเป็นไปได้ที่ว่า MH370 อาจจะกลับมายังเมืองสนามบินซูบัง ซึ่งตั้งอยู่ชานเมืองกรุงกัวลาลัมเปอร์
ทั้งนี้ สายการบินมาเลเซีย แอร์ไลน์สเปิดเผยว่า เครื่องบินของบินมาเลเซีย แอร์ไลน์ส ซึ่งบรรทุกผู้โดยสารและลูกเรือจำนวน 239 รายอยู่บนเครื่องและสูญหายเป็นเวลา 4 วันนั้น เข้ารับการซ่อมบำรุงเป็นเวลา 12 วันก่อนจะขึ้นบินในเที่ยวบิน MH370 และพบว่าสภาพของเครื่องบินไม่มีปัญหา และมีกำหนดเข้ารับตรวจเช็คสภาพอีกครั้งในวันที่ 1 มิ.ย. นั้น ได้ผ่านการขึ้นบินมาแล้วกว่า 53,000 ชั่วโมงนับตั้งแต่ส่งมอบเครื่องครั้งแรกในปี 2545
** อินเตอร์โพลชี้ไม่น่าเกี่ยวก่อการร้าย
ล่าสุด นายโรนัลด์ โนเบิล เลขาธิการใหญ่ของสำนักงานตำรวจสากล ระบุว่า ชายทั้งสองคนที่ใช้พาสปอร์ตปลอมเป็นชาวอิหร่าน ที่ถูกขโมยเพื่อโดยสารเครื่องบินลำดังกล่าว ทำให้มีข้อสงสัยว่าพวกเขาอาจกำลังลักลอบเข้าประเทศด้วยความช่วยเหลือของขบวนการลักลอบขนผู้อพยพผิดกฎหมาย
ก่อนหน้านี้ในวันเดียวกัน คอลิด อบูบาการ์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติมาเลเซียได้ออกมาระบุว่า 1 ในผู้โดยสารที่ถือหนังสือเดินทางปลอมขึ้นเครื่องบิน คือ พลเมืองอิหร่านชื่อ ปูรี นูร์โมฮัมมาดี ซึ่งถือหนังสือเดินทางของนักท่องเที่ยวชาวออสเตรียที่ถูกขโมยขณะอยู่ในไทย
โนเบิลกล่าวย้ำว่า “ยิ่งเราได้ข้อมูลมากขึ้นเท่าไร ก็ยิ่งเห็นว่าเหตุการณ์นี้ไม่น่าจะเกี่ยวข้องกับการก่อการร้าย”
เขาชี้แจงกับผู้สื่อข่าวที่สำนักงานใหญ่ของตำรวจสากลในเมืองลียง ของฝรั่งเศสว่า ชายชาวอิหร่านทั้งสองคนมีอายุ 18 และ 29 ปี โดยพวกเขาเริ่มออกเดินทางจากกรุงโดฮาโดยถือหนังสือเดินทางอิหร่าน จากนั้นเมื่อมาถึงมาเลเซียก็เปลี่ยนมาใช้พาสปอร์ตที่ขโมยมาจากชาวอิตาลีและชาวออสเตรีย เพื่อขึ้นเครื่องบินของสายการบินมาเลเซียแอร์ไลน์สที่หายไป
“เรารู้ว่า ทันทีที่คนทั้งสองเดินทางมาถึงกรุงกัวลาลัมเปอร์เมื่อวันที่ 28 กุมภาพันธ์ พวกเขาก็โดยสารเที่ยวบิน 370 โดยใช้หนังสือเดินทางอีก 2 ฉบับ ที่ขโมยมาจากชาวออสเตรียและอิตาลี” เขากล่าว
ทั้งนี้ ไม่มีรายงานว่ามีพลเมืองอิหร่านทำหนังสือเดินทางสูญหายแต่อย่างใด