ASTV ผู้จัดการรายวัน - แรงเก็งกำไรกนง.ลดดอกเบี้ย และความหวังรัฐยกเลิกพ.ร.ก.ฉุกเฉิน ดันหุ้นไทยปิดบวก 15 จุด โบรกฯย้ำให้จับตาการประชุมกนง. และคำตัดสินพ.ร.บ.เงินกู้2ล้านล้าน กดดันดัชนีวันนี้ผันผวน ด้าน “จรัมพร”ยืนยันไม่ต่ออายุเอ็มดีตลาดหุ้น เปิดทางคนใหม่นั่งแทน หวังช่วยสานงานต่อมาร์เกตแคปเท่าสิงคโปร์
ตลาดหุ้นไทยวานนี้ (11มี.ค.) ดัชนีเคลื่อนไหวอยู่ในแดนบวกตลอดทั้งวัน โดยปิดที่ระดับ 1,364.28 จุด เพิ่มขึ้น 15.23 จุด หรือ 1.13% มูลค่าการซื้อขาย 33,110.48 ล้านบาท ภาพรวม ดัชนีรีบาวนด์รับแรงเก็งลดอัตราดอกเบี้ย ซึ่งคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.)จะประชุมวันนี้ อีกทั้งตลาดฯยังจับตาศาลรัฐธรรมนูญที่จะมีคำวินิจฉัยเรื่องพ.ร.บ.เงินกู้ 2 ล้านล้านบาท และลุ้นเลิกการใช้พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ ซึ่งคงจะนำเรื่องเข้าพิจารณาในการประชุมครม.ในสัปดาห์หน้า โดยระหว่างวัน ดัชนีแตะจุดสูงสุดที่ระดับ 1,366.06 จุด และต่ำสุด ที่ 1,351.84 จุด
นักลงทุนทั่วไปขายสุทธิ 1,729.36 ล้านบาท สถาบันซื้อสุทธิ 1,230.13 ล้านบาท เช่นเดียวกับบัญชีบริษัทหลักทรัพย์ (บล.) และนักลงทุนต่างชาติ ที่ซื้อสุทธิ 247.74 ล้านบาท และ 251.49 ล้านบาท ตามลำดับ
นายเกษม พันธ์รัตนมาลา กรรมการและหัวหน้าส่วนงานวิจัย บล.ซีไอเอ็มบี (ประเทศไทย) กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยมีแรงรีบาวนด์ เนื่องจากตลาดฯ มีความคาดหวังเกี่ยวกับการยกเลิกการใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉินหลังจากที่หมดอายุ 60 วัน ซึ่งอาจจะมาเปลี่ยนให้ พ.ร.บ.ความมั่นคงฯ แทน ซึ่งหากเป็นจริงก็จะทำให้แนวโน้มตลาดหุ้นดีขึ้น โดยเห็นว่าจะมีการนำเรื่องเข้าที่ประชุมครม.
ขณะที่ด้านตลาดหุ้นอื่นในภูมิภาคเอเชีย ส่วนใหญ่จะเคลื่อนไหวทั้งในแดนบวกและลบคละกัน ส่วนดัชนีดาวโจนส์ก็ไม่ได้แกว่งไปในทิศทางไหนชัดเจน และขณะนี้นักลงทุนยังเฝ้าติดตามตัวเลขเศรษฐกิจของจีนอยู่
นายปริญทร์ กิจจาทรพิทักษ์ ผู้บริหารสายงานวิเคราะห์หลักทรัพย์และกลยุทธ์การลงทุน บล.เคทีบี(ประเทศไทย)กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยวานนี้รีบาวนด์ได้ตามที่คาดไว้ จากแรงเก็งกำไรที่เข้ามาในประเด็นการประชุมกนง.ในวันนี้(12มี.ค.) ซึ่งตลาดฯเก็งว่าจะมีการลดอัตราดอกเบี้ย 0.25%
นอกจากนี้ ตลาดฯยังเฝ้าจับตาศาลรัฐธรรมนูญที่จะมีคำวินิจฉัยเรื่องพ.ร.บ.เงินกู้ 2 ล้านล้านบาทในวันนี้ ซึ่งขณะนี้ตลาดฯได้มองไปในทางลบ คงจะมองจากแรงกดดันทางการเมืองที่มีเข้ามา อย่างไรก็ตามจะต้องรอดูที่สุดแล้วศาลฯจะวินิจฉัยออกมาอย่างไร อีกทั้งยังมีเรื่องโอกาสในการยกเลิกการใช้พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ ซึ่งคงจะนำเรื่องเข้าพิจารณาในการประชุมครม.ในสัปดาห์หน้า
“แนวโน้มการลงทุนในวันนี้(12 มี.ค.) ตลาดฯคงจะแกว่งในระหว่างวันตามกระแสข่าวที่เข้ามากระทบ โดยจะต้องติดตามดูการประชุมกนง. และศาลรัฐธรรมนูญที่จะมีคำวินิจฉัยเรื่องพ.ร.บ.เงินกู้ 2 ล้านล้านบาทอย่างไร ซึ่งถ้าศาลวินิจฉัยไม่มีปัญหา ดัชนีฯก็มีโอกาสที่จะขึ้นไปทดสอบแนว 1,380 จุด แต่ถ้าศาลวินิจฉัยขัดรัฐธรรมนูญดัชนีฯก็อาจแกว่ง 1,360 จุดบวก/ลบ พร้อมให้กรอบการแกว่งไว้ที่ 1,360-1,380 จุด”
“จรัมพร”ยืนยันไม่ต่ออายุผู้จัดการตลท.
นายจรัมพร โชติกเสถียร กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) เปิดเผยว่า จะไม่มีการลงรับสมัครเพื่อเป็นผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยต่อหลังจากที่จะหมดวาระในวันที่ 31 พ.ค. นี้ เพราะการดำรงตำแหน่งในระยะเวลา 4 ปีที่ผ่านมา มีความพอใจกับผลงานที่ได้ทำไป ซึ่งได้ทำทุกอย่างตามเป้าหมายที่วางไว้ คือ เป็นผู้นำด้านปริมาณการซื้อขาย และคุณภาพของตลาด โดยปัจจุบันตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เป็นผู้นำในภูมิภาค
นอกจากนี้ ยังวางเป้าหมายให้กับผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์คนใหม่ ให้สานต่อเป้าหมาย คือ การยกระดับให้ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยใกล้เคียงกับตลาดหลักทรัพย์ไต้หวัน ทั้งด้านปริมาณการซื้อขาย และมูลค่าตลาด ที่ปัจจุบันยังห่างกันอยู่เป็นเท่าตัว ในขณะที่มีเป้าหมายที่ใกล้กว่าอีก คือ การผลักดันให้มูลค่าตลาดใกล้เคียงกับสิงคโปร์ โดยขณะนี้ตลาดหลักทรัพย์ไทยมีมาร์เก็ตแคปอยู่ราว 4 แสนล้านเหรียญ ขณะที่สิงคโปร์อยู่ที่ 7 แสนล้านเหรียญ
ตลาดหุ้นไทยวานนี้ (11มี.ค.) ดัชนีเคลื่อนไหวอยู่ในแดนบวกตลอดทั้งวัน โดยปิดที่ระดับ 1,364.28 จุด เพิ่มขึ้น 15.23 จุด หรือ 1.13% มูลค่าการซื้อขาย 33,110.48 ล้านบาท ภาพรวม ดัชนีรีบาวนด์รับแรงเก็งลดอัตราดอกเบี้ย ซึ่งคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.)จะประชุมวันนี้ อีกทั้งตลาดฯยังจับตาศาลรัฐธรรมนูญที่จะมีคำวินิจฉัยเรื่องพ.ร.บ.เงินกู้ 2 ล้านล้านบาท และลุ้นเลิกการใช้พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ ซึ่งคงจะนำเรื่องเข้าพิจารณาในการประชุมครม.ในสัปดาห์หน้า โดยระหว่างวัน ดัชนีแตะจุดสูงสุดที่ระดับ 1,366.06 จุด และต่ำสุด ที่ 1,351.84 จุด
นักลงทุนทั่วไปขายสุทธิ 1,729.36 ล้านบาท สถาบันซื้อสุทธิ 1,230.13 ล้านบาท เช่นเดียวกับบัญชีบริษัทหลักทรัพย์ (บล.) และนักลงทุนต่างชาติ ที่ซื้อสุทธิ 247.74 ล้านบาท และ 251.49 ล้านบาท ตามลำดับ
นายเกษม พันธ์รัตนมาลา กรรมการและหัวหน้าส่วนงานวิจัย บล.ซีไอเอ็มบี (ประเทศไทย) กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยมีแรงรีบาวนด์ เนื่องจากตลาดฯ มีความคาดหวังเกี่ยวกับการยกเลิกการใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉินหลังจากที่หมดอายุ 60 วัน ซึ่งอาจจะมาเปลี่ยนให้ พ.ร.บ.ความมั่นคงฯ แทน ซึ่งหากเป็นจริงก็จะทำให้แนวโน้มตลาดหุ้นดีขึ้น โดยเห็นว่าจะมีการนำเรื่องเข้าที่ประชุมครม.
ขณะที่ด้านตลาดหุ้นอื่นในภูมิภาคเอเชีย ส่วนใหญ่จะเคลื่อนไหวทั้งในแดนบวกและลบคละกัน ส่วนดัชนีดาวโจนส์ก็ไม่ได้แกว่งไปในทิศทางไหนชัดเจน และขณะนี้นักลงทุนยังเฝ้าติดตามตัวเลขเศรษฐกิจของจีนอยู่
นายปริญทร์ กิจจาทรพิทักษ์ ผู้บริหารสายงานวิเคราะห์หลักทรัพย์และกลยุทธ์การลงทุน บล.เคทีบี(ประเทศไทย)กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยวานนี้รีบาวนด์ได้ตามที่คาดไว้ จากแรงเก็งกำไรที่เข้ามาในประเด็นการประชุมกนง.ในวันนี้(12มี.ค.) ซึ่งตลาดฯเก็งว่าจะมีการลดอัตราดอกเบี้ย 0.25%
นอกจากนี้ ตลาดฯยังเฝ้าจับตาศาลรัฐธรรมนูญที่จะมีคำวินิจฉัยเรื่องพ.ร.บ.เงินกู้ 2 ล้านล้านบาทในวันนี้ ซึ่งขณะนี้ตลาดฯได้มองไปในทางลบ คงจะมองจากแรงกดดันทางการเมืองที่มีเข้ามา อย่างไรก็ตามจะต้องรอดูที่สุดแล้วศาลฯจะวินิจฉัยออกมาอย่างไร อีกทั้งยังมีเรื่องโอกาสในการยกเลิกการใช้พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ ซึ่งคงจะนำเรื่องเข้าพิจารณาในการประชุมครม.ในสัปดาห์หน้า
“แนวโน้มการลงทุนในวันนี้(12 มี.ค.) ตลาดฯคงจะแกว่งในระหว่างวันตามกระแสข่าวที่เข้ามากระทบ โดยจะต้องติดตามดูการประชุมกนง. และศาลรัฐธรรมนูญที่จะมีคำวินิจฉัยเรื่องพ.ร.บ.เงินกู้ 2 ล้านล้านบาทอย่างไร ซึ่งถ้าศาลวินิจฉัยไม่มีปัญหา ดัชนีฯก็มีโอกาสที่จะขึ้นไปทดสอบแนว 1,380 จุด แต่ถ้าศาลวินิจฉัยขัดรัฐธรรมนูญดัชนีฯก็อาจแกว่ง 1,360 จุดบวก/ลบ พร้อมให้กรอบการแกว่งไว้ที่ 1,360-1,380 จุด”
“จรัมพร”ยืนยันไม่ต่ออายุผู้จัดการตลท.
นายจรัมพร โชติกเสถียร กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) เปิดเผยว่า จะไม่มีการลงรับสมัครเพื่อเป็นผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยต่อหลังจากที่จะหมดวาระในวันที่ 31 พ.ค. นี้ เพราะการดำรงตำแหน่งในระยะเวลา 4 ปีที่ผ่านมา มีความพอใจกับผลงานที่ได้ทำไป ซึ่งได้ทำทุกอย่างตามเป้าหมายที่วางไว้ คือ เป็นผู้นำด้านปริมาณการซื้อขาย และคุณภาพของตลาด โดยปัจจุบันตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เป็นผู้นำในภูมิภาค
นอกจากนี้ ยังวางเป้าหมายให้กับผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์คนใหม่ ให้สานต่อเป้าหมาย คือ การยกระดับให้ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยใกล้เคียงกับตลาดหลักทรัพย์ไต้หวัน ทั้งด้านปริมาณการซื้อขาย และมูลค่าตลาด ที่ปัจจุบันยังห่างกันอยู่เป็นเท่าตัว ในขณะที่มีเป้าหมายที่ใกล้กว่าอีก คือ การผลักดันให้มูลค่าตลาดใกล้เคียงกับสิงคโปร์ โดยขณะนี้ตลาดหลักทรัพย์ไทยมีมาร์เก็ตแคปอยู่ราว 4 แสนล้านเหรียญ ขณะที่สิงคโปร์อยู่ที่ 7 แสนล้านเหรียญ
