กลุ่ม บล.ประกาศกำไรสุทธิปี 56 เติบโตเกือบเท่าตัวจากปีก่อน จากปริมาณซื้อขายในตลาดหุ้นที่พุ่งสูงขึ้น แต่ไตรมาสแรกปีนี้โบรกฯ ประเมินรักษาระดับเดิมได้ จากเหตุโดนปัจจัยลบทั้งใน และต่างประเทศกดดันตลาด ฉุดวอลุ่มเทรดหดตัวอย่างน่าใจหาย
รายงานจากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) พบว่า หลังจากบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เริ่มทยอยรายงานผลดำเนินงานประจำปี 2556 นั้น ปรากฏว่า มีบริษัทหลักทรัพย์ที่จดทะเบียนในตลาดหุ้นทยอยออกมารายงานผลดำเนินงานในรอบปีที่ผ่านมาเช่นกัน ล่าสุด มีทั้งสิ้น 4 บริษัท
เริ่มที่ บล.เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) (MBKET) ในปี 2556 มีกำไรสุทธิ 1,420.54 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 684.52 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 93% เมื่อเปรียบเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน ซึ่งมีกำไรสุทธิ 736.02 ล้านบาท ด้าน บล.เอเซีย พลัส มีกำไรสุทธิ 1,066.32 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 81% จากปีก่อนมีกำไรสุทธิ 587.90 ล้านบาท ขณะที่ บล.โนมูระ พัฒนสิน (CNS) มีกำไรสุทธิ394.04 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 109% จากปี2555 ซึ่งมีกำไรสุทธิ 187.99 ล้านบาท และ บล.ซีมิโก้ มีกำไรสุทธิปี 2556 ที่ระดับ 127.20 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 28% จากงวดเดียวกันในปี 2555 ซึ่งมีกำไรสุทธิที่ระดับ 98.71 ล้านบาท
เหตุผลที่บริษัทหลักทรัพย์แต่ละแห่งชี้แจงถึงสาเหตุสำคัญที่ทำให้กำไรสุทธิมีจำนวนมากขึ้น มาจากปริมาณการซื้อขายหลักทรัพย์ที่เพิ่มขึ้นมากกว่า 55% ตามการเพิ่มขึ้นของปริมาณการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันโดยรวมของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย จาก 32,304 ล้านบาท เป็น 50,329 ล้านบาท อีกทั้งมาจากการเติบโตของรายได้ในธุรกรรมประเภทอื่นๆ เช่น รายได้ค่านายหน้าจากการ ซื้อขายสัญญาซื้อขายล่วงหน้า รายได้ดอกเบี้ยเงินให้กู้ยืมเพื่อซื้อหลักทรัพย์เพิ่มขึ้น เป็นต้น
บล.ฟิลลิป (ประเทศไทย) ให้มุมมองต่อการลงทุนในหุ้นกลุ่มเงินทุน และหลักทรัพย์ ว่า แนะนำ “ลงทุนปกติ” ภาพรวมกลุ่มธุรกิจหลักทรัพย์ วิเคราะห์มีทั้งหมด 6 บริษัทคือ ASP, CGS, MBKET, KGI, CNS และ FSS ซึ่งคิดเป็นส่วนแบ่งตลาดค่านายหน้ารวมกัน 33.26% ณ ปี 2556 พบว่ามูลค่าซื้อขายหลักทรัพย์ของตลาด SET&MAI ในเดือนมกราคม 2557 เพิ่มขึ้น 8.08% จากเดือนก่อน ซึ่งเฉลี่ยต่อวันอยู่ที่ 27,775.38 ล้านบาท ขณะที่ปริมาณการซื้อขายอนุพันธ์ตลาด TFEX ในเดือนมกราคม 2557 ลดลง 5.21% เฉลี่ยต่อวันอยู่ที่ 107,384 สัญญา
ทั้งนี้ รายได้ส่วนใหญ่ของกลุ่มหลักทรัพย์มาจากค่านายหน้าการซื้อขายหลักทรัพย์ซึ่งผันตามมูลค่าการซื้อขาย ทางฝ่ายคาดผลการดำเนินงานของกลุ่มในเดือนมกราคมจะลดต่ำลงจากปีที่แล้วค่อนข้างมาก เนื่องจากปริมาณการซื้อขายหลักทรัพย์ใน ม.ค.56 มีมูลค่าเท่ากับ 57,205.01 ล้านบาท ในขณะที่ ม.ค.57 มีมูลค่าอยู่ที่ 27,773.38 ล้านบาท ลดต่ำลงกว่า 51.45% ปัจจัยสำคัญที่ส่งผลกระทบต่อการลดลงของมูลค่าการซื้อขาย
โดยปัจจัยหลักๆ ที่ส่งผลกระทบมีอยู่ 2 สาเหตุสำคัญ คือ 1) การผ่อนคลายการอัดฉีดเม็ดเงินในนโยบาย QE ที่ส่งผลให้นักลงทุนต่างประเทศถอนเงินลงทุนออกไปจากตลาดหุ้นไทย 2) ปัญหาทางการเมืองที่ทำให้นักลงทุนทั่วไป โดยเฉพาะนักลงทุนต่างประเทศเกิดความไม่เชื่อมั่นในสถานการณ์ และเศรษฐกิจไทย
“ทางฝ่ายปรับคำแนะนำลงจาก “ลงทุนมากกว่าปกติ” เป็น “ลงทุนปกติ”เนื่องจากราคาหลักทรัพย์ในปัจจุบันใกล้เคียงกับราคาเป้าหมายที่ทางฝ่ายคาดไว้แล้ว อย่างไรก็ตาม อัตราผลตอบแทนเงินปันผลในกลุ่มหลักทรัพย์ยังอยู่ในระดับค่อนข้างสูงเฉลี่ยประมาณ 7.69%”
ขณะเดียวกัน ในเดือน ม.ค.2557 สัดส่วนการเข้าลงทุนในแต่ละกลุ่มนั้น นักลงทุนทั่วไปยังคงมีสัดส่วนสูงที่สุดที่ 44.85% แต่เป็นสัดส่วนที่ต่ำที่สุดในรอบ 10 ปี ซึ่งถูกแทนที่โดยกลุ่มนักลงทุนต่างประเทศที่มีสัดส่วนเท่ากับ 32.84% ต่างจากกลุ่มบัญชีบริษัทหลักทรัพย์และกลุ่มนักลงทุนสถาบันที่มีสัดส่วนใกล้เคียงกับปีที่ผ่านๆ มา โดยมีสัดส่วนอยู่ที่ 12.56% และ 9.74% ตามลำดับ
ในแง่การซื้อขายสุทธิของกลุ่มต่างๆ มีดังนี้ กลุ่มนักลงทุนที่มีการซื้อสุทธิ ได้แก่ กลุ่มนักลงทุนสถาบัน และกลุ่มนักลงทุนภายในประเทศ โดยซื้อสุทธิ 3.43 พันล้านบาทและ 10.63 พันล้านบาทตามลำดับ ตรงกันข้ามกับกลุ่มนักลงทุนต่างประเทศที่มีการขายสุทธิถึง 13.54 พันล้านบาท โดยเป็นการขายสุทธิ 3 เดือนติดต่อกันนับตั้งแต่เดือน พ.ย.56
อย่างไรก็ตาม ในเดือน ม.ค.57 มีการขายสุทธิที่มีมูลค่าน้อยลงมากเมื่อเปรียบเทียบกับ 2 เดือนก่อนหน้าที่เฉลี่ยขายสุทธิอยู่ที่ 44.68 พันล้านบาทต่อเดือน ส่วนนักลงทุนกลุ่มบัญชีบริษัทหลักทรัพย์มีการขายสุทธิเพียงเล็กน้อยที่ 522 ล้านบาท ทำให้คาดผลตอบแทนเงินปันผลของกลุ่มหลักทรัพย์ยังอยู่ในระดับค่อนข้างสูง (5%-9.45%) แต่ราคาตลาด ณ ปัจจุบัน ใกล้เคียงกับราคาพื้นฐานปี 2557 ที่ทางฝ่ายให้ไว้ ดังนั้น ทางฝ่ายจึงเปลี่ยนคำแนะนำจากเดิม “ลงทุนมากกว่าปกติ” เป็น “ลงทุนปกติ” โดยมี Top pick คือ ASP ราคาพื้นฐานปี 2557 เท่ากับ 3.70 บาทต่อหุ้น
สำหรับปี 2556 มีมูลค่าซื้อขายหลักทรัพย์สูงสุดนับตั้งแต่ตลาดหลักทรัพย์เปิดทำการ โดยเฉลี่ยต่อวันอยู่ที่ 50,329 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้าที่เฉลี่ยอยู่ 32,304 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 55.80% แต่ช่วง 2 เดือนสุดท้ายของปีมีมูลค่าซื้อขายต่ำที่สุดของปี โดยในเดือนพฤศจิกายนมูลค่าซื้อขายอยู่ที่ 35,025 ล้านบาท ลดลง 2.53% และเดือนธันวาคมมูลค่าซื้อขายอยู่ที่ 28,598 ล้านบาท ลดลง 23.48%
อีกทั้งในปี 2556 นักลงทุนต่างชาติมีการขายออกสุทธิในตลาดหุ้นไทยเป็นมูลค่า 194,702 ล้านบาท ซึ่งเป็นการเทขายต่อเนื่อง 3 ไตรมาสหลังติดต่อกัน ซึ่งเฉพาะไตรมาส 4 มีการขายออกของนักลงทุนต่างชาติสุทธิ 88,294 ล้านบาทมากที่สุด โดยในเดือนพฤศจิกายน นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิ 48,605 ล้านบาท ส่วนเดือนธันวาคม ขายออก 40,759 ล้านบาท ขณะที่ผู้ลงทุนบุคคลในประเทศ และผู้ลงทุนสถาบันเป็นผู้ซื้อสุทธิ
ขณะที่ในไตรมาส 1/2556 มูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันรวมของ SET และ mai อยู่ที่ 64,258 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 105.61% จากช่วงเดียวกันของปี2555 โดยในเดือนมีนาคม 2556 มูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันรวมของ SET และ mai อยู่ที่ 72,814 ล้านบาท ซึ่งเป็นสถิติสูงสุดนับตั้งแต่ตลาดเริ่มเปิดซื้อขาย โดยในวันที่ 22 มีนาคม 2556 ทำสถิติมูลค่าซื้อขายสูงสุดอยู่ที่ 105,569 ล้านบาท ส่วนมูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันในละเดือนที่เหลือของช่วงไตรมาส 1/56 พบว่า มกราคม 2556 อยู่ที่ 57,999 ล้านบาท และกุมภาพพันธ์ 2556 อยู่ที่ 62,047 ล้านบาท
ก่อนหน้านี้ นายจรัมพร โชติกเสถียร กรรมการและผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์ กล่าวว่า จากสถานการณ์ทางการเมืองที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน ยอมรับว่ากระทบต่อดัชนีตลาด โดยหลายฝ่ายประเมินว่าความขัดแย้งทางการเมืองน่าจะลากยาวจนถึงกลางปี ทำให้เป้าหมายในส่วนปริมาณการซื้อขายหลักทรัพย์ต่อวัน (วอลุ่ม) ที่ 5 หมื่นล้านบาท ยอมรับว่าเป็นไปได้ยาก เห็นได้จากวอลุ่มจากต้นปีถึงปัจจุบันเฉลี่ยต่อวันอยู่ที่ 3.1 หมื่นล้านบาท ส่งผลให้วอลุ่มอาจไม่ปรับตัวขึ้นนั้นได้ ทั้งนี้ ตลาดหลักทรัพย์ประเมินว่า การซื้อขายหลักทรัพย์ต่อวันในปีนี้น่าจะอยู่ในระดับ 4 หมื่นล้านบาท ซึ่งตลาดหลักทรัพย์จะมีการทบทวนเป้าหมายการดำเนินงานในปี 2557 ในช่วงกลางปี
ขณะเดียวกัน แรงขายนักลงทุนต่างประเทศที่เทขายออกมาต่อเนื่องในช่วงนี้นั้นเกิดขึ้นตั้งแต่วันที่ 25 ม.ค.เป็นต้นมา จากต้นปีที่มีแรงซื้อจากนักลงทุนต่างชาติ มองว่าเกิดจากความไม่เชื่อมั่นในท่าทีของธนาคารกลางสหรัฐฯ ในเรื่องมาตรการคิวอี รวมไปถึงผลกระทบค่าจากค่าเงินที่มีความผันผวนในตลาดเกิดใหม่ ส่งผลให้เกิดความไม่เชื่อมั่นจึงเกิดการเทขายหุ้นออกมา
รายงานจากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) พบว่า หลังจากบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เริ่มทยอยรายงานผลดำเนินงานประจำปี 2556 นั้น ปรากฏว่า มีบริษัทหลักทรัพย์ที่จดทะเบียนในตลาดหุ้นทยอยออกมารายงานผลดำเนินงานในรอบปีที่ผ่านมาเช่นกัน ล่าสุด มีทั้งสิ้น 4 บริษัท
เริ่มที่ บล.เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) (MBKET) ในปี 2556 มีกำไรสุทธิ 1,420.54 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 684.52 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 93% เมื่อเปรียบเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน ซึ่งมีกำไรสุทธิ 736.02 ล้านบาท ด้าน บล.เอเซีย พลัส มีกำไรสุทธิ 1,066.32 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 81% จากปีก่อนมีกำไรสุทธิ 587.90 ล้านบาท ขณะที่ บล.โนมูระ พัฒนสิน (CNS) มีกำไรสุทธิ394.04 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 109% จากปี2555 ซึ่งมีกำไรสุทธิ 187.99 ล้านบาท และ บล.ซีมิโก้ มีกำไรสุทธิปี 2556 ที่ระดับ 127.20 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 28% จากงวดเดียวกันในปี 2555 ซึ่งมีกำไรสุทธิที่ระดับ 98.71 ล้านบาท
เหตุผลที่บริษัทหลักทรัพย์แต่ละแห่งชี้แจงถึงสาเหตุสำคัญที่ทำให้กำไรสุทธิมีจำนวนมากขึ้น มาจากปริมาณการซื้อขายหลักทรัพย์ที่เพิ่มขึ้นมากกว่า 55% ตามการเพิ่มขึ้นของปริมาณการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันโดยรวมของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย จาก 32,304 ล้านบาท เป็น 50,329 ล้านบาท อีกทั้งมาจากการเติบโตของรายได้ในธุรกรรมประเภทอื่นๆ เช่น รายได้ค่านายหน้าจากการ ซื้อขายสัญญาซื้อขายล่วงหน้า รายได้ดอกเบี้ยเงินให้กู้ยืมเพื่อซื้อหลักทรัพย์เพิ่มขึ้น เป็นต้น
บล.ฟิลลิป (ประเทศไทย) ให้มุมมองต่อการลงทุนในหุ้นกลุ่มเงินทุน และหลักทรัพย์ ว่า แนะนำ “ลงทุนปกติ” ภาพรวมกลุ่มธุรกิจหลักทรัพย์ วิเคราะห์มีทั้งหมด 6 บริษัทคือ ASP, CGS, MBKET, KGI, CNS และ FSS ซึ่งคิดเป็นส่วนแบ่งตลาดค่านายหน้ารวมกัน 33.26% ณ ปี 2556 พบว่ามูลค่าซื้อขายหลักทรัพย์ของตลาด SET&MAI ในเดือนมกราคม 2557 เพิ่มขึ้น 8.08% จากเดือนก่อน ซึ่งเฉลี่ยต่อวันอยู่ที่ 27,775.38 ล้านบาท ขณะที่ปริมาณการซื้อขายอนุพันธ์ตลาด TFEX ในเดือนมกราคม 2557 ลดลง 5.21% เฉลี่ยต่อวันอยู่ที่ 107,384 สัญญา
ทั้งนี้ รายได้ส่วนใหญ่ของกลุ่มหลักทรัพย์มาจากค่านายหน้าการซื้อขายหลักทรัพย์ซึ่งผันตามมูลค่าการซื้อขาย ทางฝ่ายคาดผลการดำเนินงานของกลุ่มในเดือนมกราคมจะลดต่ำลงจากปีที่แล้วค่อนข้างมาก เนื่องจากปริมาณการซื้อขายหลักทรัพย์ใน ม.ค.56 มีมูลค่าเท่ากับ 57,205.01 ล้านบาท ในขณะที่ ม.ค.57 มีมูลค่าอยู่ที่ 27,773.38 ล้านบาท ลดต่ำลงกว่า 51.45% ปัจจัยสำคัญที่ส่งผลกระทบต่อการลดลงของมูลค่าการซื้อขาย
โดยปัจจัยหลักๆ ที่ส่งผลกระทบมีอยู่ 2 สาเหตุสำคัญ คือ 1) การผ่อนคลายการอัดฉีดเม็ดเงินในนโยบาย QE ที่ส่งผลให้นักลงทุนต่างประเทศถอนเงินลงทุนออกไปจากตลาดหุ้นไทย 2) ปัญหาทางการเมืองที่ทำให้นักลงทุนทั่วไป โดยเฉพาะนักลงทุนต่างประเทศเกิดความไม่เชื่อมั่นในสถานการณ์ และเศรษฐกิจไทย
“ทางฝ่ายปรับคำแนะนำลงจาก “ลงทุนมากกว่าปกติ” เป็น “ลงทุนปกติ”เนื่องจากราคาหลักทรัพย์ในปัจจุบันใกล้เคียงกับราคาเป้าหมายที่ทางฝ่ายคาดไว้แล้ว อย่างไรก็ตาม อัตราผลตอบแทนเงินปันผลในกลุ่มหลักทรัพย์ยังอยู่ในระดับค่อนข้างสูงเฉลี่ยประมาณ 7.69%”
ขณะเดียวกัน ในเดือน ม.ค.2557 สัดส่วนการเข้าลงทุนในแต่ละกลุ่มนั้น นักลงทุนทั่วไปยังคงมีสัดส่วนสูงที่สุดที่ 44.85% แต่เป็นสัดส่วนที่ต่ำที่สุดในรอบ 10 ปี ซึ่งถูกแทนที่โดยกลุ่มนักลงทุนต่างประเทศที่มีสัดส่วนเท่ากับ 32.84% ต่างจากกลุ่มบัญชีบริษัทหลักทรัพย์และกลุ่มนักลงทุนสถาบันที่มีสัดส่วนใกล้เคียงกับปีที่ผ่านๆ มา โดยมีสัดส่วนอยู่ที่ 12.56% และ 9.74% ตามลำดับ
ในแง่การซื้อขายสุทธิของกลุ่มต่างๆ มีดังนี้ กลุ่มนักลงทุนที่มีการซื้อสุทธิ ได้แก่ กลุ่มนักลงทุนสถาบัน และกลุ่มนักลงทุนภายในประเทศ โดยซื้อสุทธิ 3.43 พันล้านบาทและ 10.63 พันล้านบาทตามลำดับ ตรงกันข้ามกับกลุ่มนักลงทุนต่างประเทศที่มีการขายสุทธิถึง 13.54 พันล้านบาท โดยเป็นการขายสุทธิ 3 เดือนติดต่อกันนับตั้งแต่เดือน พ.ย.56
อย่างไรก็ตาม ในเดือน ม.ค.57 มีการขายสุทธิที่มีมูลค่าน้อยลงมากเมื่อเปรียบเทียบกับ 2 เดือนก่อนหน้าที่เฉลี่ยขายสุทธิอยู่ที่ 44.68 พันล้านบาทต่อเดือน ส่วนนักลงทุนกลุ่มบัญชีบริษัทหลักทรัพย์มีการขายสุทธิเพียงเล็กน้อยที่ 522 ล้านบาท ทำให้คาดผลตอบแทนเงินปันผลของกลุ่มหลักทรัพย์ยังอยู่ในระดับค่อนข้างสูง (5%-9.45%) แต่ราคาตลาด ณ ปัจจุบัน ใกล้เคียงกับราคาพื้นฐานปี 2557 ที่ทางฝ่ายให้ไว้ ดังนั้น ทางฝ่ายจึงเปลี่ยนคำแนะนำจากเดิม “ลงทุนมากกว่าปกติ” เป็น “ลงทุนปกติ” โดยมี Top pick คือ ASP ราคาพื้นฐานปี 2557 เท่ากับ 3.70 บาทต่อหุ้น
สำหรับปี 2556 มีมูลค่าซื้อขายหลักทรัพย์สูงสุดนับตั้งแต่ตลาดหลักทรัพย์เปิดทำการ โดยเฉลี่ยต่อวันอยู่ที่ 50,329 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้าที่เฉลี่ยอยู่ 32,304 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 55.80% แต่ช่วง 2 เดือนสุดท้ายของปีมีมูลค่าซื้อขายต่ำที่สุดของปี โดยในเดือนพฤศจิกายนมูลค่าซื้อขายอยู่ที่ 35,025 ล้านบาท ลดลง 2.53% และเดือนธันวาคมมูลค่าซื้อขายอยู่ที่ 28,598 ล้านบาท ลดลง 23.48%
อีกทั้งในปี 2556 นักลงทุนต่างชาติมีการขายออกสุทธิในตลาดหุ้นไทยเป็นมูลค่า 194,702 ล้านบาท ซึ่งเป็นการเทขายต่อเนื่อง 3 ไตรมาสหลังติดต่อกัน ซึ่งเฉพาะไตรมาส 4 มีการขายออกของนักลงทุนต่างชาติสุทธิ 88,294 ล้านบาทมากที่สุด โดยในเดือนพฤศจิกายน นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิ 48,605 ล้านบาท ส่วนเดือนธันวาคม ขายออก 40,759 ล้านบาท ขณะที่ผู้ลงทุนบุคคลในประเทศ และผู้ลงทุนสถาบันเป็นผู้ซื้อสุทธิ
ขณะที่ในไตรมาส 1/2556 มูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันรวมของ SET และ mai อยู่ที่ 64,258 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 105.61% จากช่วงเดียวกันของปี2555 โดยในเดือนมีนาคม 2556 มูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันรวมของ SET และ mai อยู่ที่ 72,814 ล้านบาท ซึ่งเป็นสถิติสูงสุดนับตั้งแต่ตลาดเริ่มเปิดซื้อขาย โดยในวันที่ 22 มีนาคม 2556 ทำสถิติมูลค่าซื้อขายสูงสุดอยู่ที่ 105,569 ล้านบาท ส่วนมูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันในละเดือนที่เหลือของช่วงไตรมาส 1/56 พบว่า มกราคม 2556 อยู่ที่ 57,999 ล้านบาท และกุมภาพพันธ์ 2556 อยู่ที่ 62,047 ล้านบาท
ก่อนหน้านี้ นายจรัมพร โชติกเสถียร กรรมการและผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์ กล่าวว่า จากสถานการณ์ทางการเมืองที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน ยอมรับว่ากระทบต่อดัชนีตลาด โดยหลายฝ่ายประเมินว่าความขัดแย้งทางการเมืองน่าจะลากยาวจนถึงกลางปี ทำให้เป้าหมายในส่วนปริมาณการซื้อขายหลักทรัพย์ต่อวัน (วอลุ่ม) ที่ 5 หมื่นล้านบาท ยอมรับว่าเป็นไปได้ยาก เห็นได้จากวอลุ่มจากต้นปีถึงปัจจุบันเฉลี่ยต่อวันอยู่ที่ 3.1 หมื่นล้านบาท ส่งผลให้วอลุ่มอาจไม่ปรับตัวขึ้นนั้นได้ ทั้งนี้ ตลาดหลักทรัพย์ประเมินว่า การซื้อขายหลักทรัพย์ต่อวันในปีนี้น่าจะอยู่ในระดับ 4 หมื่นล้านบาท ซึ่งตลาดหลักทรัพย์จะมีการทบทวนเป้าหมายการดำเนินงานในปี 2557 ในช่วงกลางปี
ขณะเดียวกัน แรงขายนักลงทุนต่างประเทศที่เทขายออกมาต่อเนื่องในช่วงนี้นั้นเกิดขึ้นตั้งแต่วันที่ 25 ม.ค.เป็นต้นมา จากต้นปีที่มีแรงซื้อจากนักลงทุนต่างชาติ มองว่าเกิดจากความไม่เชื่อมั่นในท่าทีของธนาคารกลางสหรัฐฯ ในเรื่องมาตรการคิวอี รวมไปถึงผลกระทบค่าจากค่าเงินที่มีความผันผวนในตลาดเกิดใหม่ ส่งผลให้เกิดความไม่เชื่อมั่นจึงเกิดการเทขายหุ้นออกมา