**ไฮไลต์ สำคัญในวันนี้ (12 มี.ค.) ที่มีการเฝ้าติดตามกันมาด้วยใจระทึกคือ คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ ในคดีคำร้องที่ อดีต ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ ได้ยื่นคำร้องมายังศาลรธน. เพื่อให้วินิจฉัยว่า ร่าง พระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.)ให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมขนส่งของประเทศ พ.ศ.... หรือ ร่าง พ.ร.บ.กู้เงิน 2 ล้านล้านบาท “ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ มาตรา169 และ 170 หรือไม่”
โดยตุลาการศาลรธน.ทั้ง 9 คน ได้นัดประชุมตั้งแต่เวลา 09.30 น. เพื่อลงมติด้วยวาจา จากนั้นจะมีการเขียนคำวินิจฉัยกลาง และน่าจะอ่านคำวินิจฉัยได้ในช่วงสาย วันนี้ ผลคำวินิจฉัยจึงน่าจะรู้ผลก่อนตลาดหุ้นปิดทำการแน่ หากไม่มีอะไรผิดพลาด
จากที่ศาลรธน.วางแนวทางการพิจารณาไต่สวนคดี เพื่อนำมาสู่คำวินิจฉัยในครั้งนี้ ซึ่งคำวินิจฉัยจะแยกออกเป็น 2 ส่วน คือ 1. กระบวนตรากฎหมายชอบด้วยรัฐธรรมนูญหรือไม่ และ 2. เนื้อหาขัดต่อรัฐธรรมนูญหรือไม่
นั่นหมายถึงศาลก็ต้องพิจารณาว่า ร่าง พ.ร.บ.กู้เงิน 2 ล้านล้านบาท ที่มีกรอบเวลาการใช้เงิน 7 ปี แต่จะมีภาระหนี้สินที่ต้องใช้กันทั้งเงินต้น-ดอกเบี้ยร่วม 50 ปี ที่เรียกกันว่า กู้ชาตินี้ ใช้ชาติหน้า ศาลจะเห็นอย่างไร จะเห็นว่ารัฐบาลสามารถออก ร่าง พ.ร.บ.ดังกล่าวได้ หรือ ศาลจะเห็นว่า ร่าง พ.ร.บ.ดังกล่าวขัดรธน. มาตรา 169 และ 170 ที่เป็นบทบัญญัติใน รธน. 50 ที่อยู่ในหมวด 8 ว่าด้วยเรื่องการเงินการคลังและการงบประมาณ ที่ว่าด้วยเรื่องการใช้จ่ายงบ
ประมาณที่เป็นเงินแผ่นดิน ที่จะต้องทำภายใต้กฎหมายที่กำหนดไว้ เช่น กฎหมายว่าด้วยงบประมาณรายจ่าย ไม่ใช่ออกมาในรูปแบบอย่างที่รัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร คลอด ร่าง พ.ร.บ.กู้เงินดังกล่าวออกมา ตรงนี้น่าลุ้นอย่างยิ่ง
และจากกรอบคำวินิจฉัยที่ศาลรธน.วางไว้ใน 2 ประเด็น คือ 1. กระบวนตรากฎหมายชอบด้วยรัฐธรรมนูญหรือไม่ และ 2.เนื้อหาขัดต่อรัฐธรรมนูญ หรือไม่
ฝ่ายรัฐบาลที่เป็นหนึ่งในคีย์แมนสำคัญของรัฐบาลที่ร่วมผลักดัน ร่าง พ.ร.บ.ฉบับนี้มาตลอดอย่าง “วราเทพ รัตนากร”รมต.สำนักนายกรัฐมนตรีและ รมช.เกษตรและสหกรณ์ ก็ออกมาวิเคราะห์ไว้ล่วงหน้าว่า แนวทางคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญอาจเป็นไปได้ใน 3 แนวทาง ตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ คือ
1. พ.ร.บ.ดังกล่าวชอบด้วยรัฐธรรมนูญ ทั้งกระบวนการตราขึ้น และเนื้อหา กรณีนี้ก็จะต้องนำขึ้นทูลเกล้าถวายเพื่อทรงลงพระปรมาภิไธย และประกาศใช้เป็นกฎหมายต่อไป ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 150
2. ร่าง พ.ร.บ.นั้นมีข้อความขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ แต่มิใช่สาระสำคัญ ดังนั้นเฉพาะข้อความที่ขัดหรือแย้งนั้นจึงเป็นอันตกไป ขั้นตอนต่อจากนั้นก็จะต้องนำ ร่าง พ.ร.บ.ดังกล่าวในส่วนที่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญขึ้นทูลเกล้าถวายเพื่อทรงลงพระปรมาภิไธย และประกาศใช้เป็นกฎหมายต่อไปตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 154 วรรคสี่ ประกอบกับ มาตรา 150
3. กระบวนการตราขึ้นไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญ หรือมีข้อความขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ ซึ่งข้อความนั้นเป็นสาระสำคัญ กรณีนี้ ร่าง พ.ร.บ.ดังกล่าวตกไปทั้งฉบับ ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 154 วรรคสาม
เป็นมุมวิเคราะห์ของคนในรัฐบาลที่เชื่อได้เลยว่า เป็นการวิเคราะห์ของแกนนำรัฐบาลเพื่อไทย ที่ไปนั่งพูดคุยกันมาในช่วงไม่กี่วันก่อนหน้านี้ โดยน่าจะมีฝ่ายกฎหมายของรัฐบาลหลายคนเข้าไปร่วมหารือด้วย ซึ่งก็มีเสียงวิเคราะห์ตามมาเช่นกันว่า ดูแล้ว โอกาสความเป็นไปได้ที่จะออกมาในสูตรที่ 2 อย่างที่ “วราเทพ”คาดการ คือ ร่าง พ.ร.บ.ดังกล่าวมีข้อความ หรือบทบัญญัติที่ขัดแย้งกับรธน. แต่ไม่ใช่สาระสำคัญ ไม่มีผลทำให้ต้องตกไปทั้งฉบับ ในส่วนที่มีปัญหาก็ให้
ตัดออกไป แล้วนำร่างทั้งฉบับนำขึ้นทูลเกล้าฯ ต่อไป แต่ไม่เคยมีกรณีเช่นนี้เกิดขึ้นมาก่อน
**อย่างไรก็ตาม อีกฝ่ายมองว่าแนวทางก็น่าจะออกมาแบบเบ็ดเสร็จไปเลย คือ ศาลรธน.ระบุชัดในคำวินิจฉัยเลยว่า ร่าง พ.ร.บ.กู้เงิน 2 ล้านล้านบาทดังกล่าว ขัดหรือไม่ขัดรธน.-กระบวนการตรากฎหมายชอบ หรือไม่ชอบ และมีผลอย่างไร จะได้ไม่เกิดปัญหาคลุมเครือ จะกลายเป็นปัญหากับศาลรธน.ในภายหลังขึ้นไปอีก ขืนออกมาแบบกั๊กๆ ไม่เป็นผลดีแน่นอน
ป่านนี้ทางรัฐบาลได้มีการเตรียมการอะไรหลายอย่างไว้แล้ว สำหรับการรองรับผลคำวินิจฉัยที่จะออกมา โดยเฉพาะหากออกมาแบบลบสุดๆ กับรัฐบาล คือ ออกมาในแนวทางที่ 3 คือ กระบวนการตรา ร่าง พ.ร.บ.ดังกล่าวไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญ หรือมีข้อความขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ ซึ่งข้อความนั้นเป็นสาระสำคัญจนทำให้ ร่าง พ.ร.บ.ดังกล่าวตกไปทั้งฉบับ
ยิ่งช่วง 2-3 วันมานี้ พบได้ว่าบนเวทีคณะกรรมการประชาชนเพื่อการเปลี่ยนแปลงประเทศไทยให้เป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์ฯ (กปปส.) มีการพูดถึงเรื่อง ร่าง พ.ร.บ.กู้เงิน 2 ล้านล้านบาท แบบโหมโรงมากเป็นพิเศษ ชนิด สุเทพ เทือกสุบรรณ เอาเรื่องนี้ไปพูดบนเวทีกินเวลาหลายสิบนาที ตั้งแต่ก่อนศาลรธน.จะอ่านคำวินิจฉัยล่วงหน้าร่วม 3-4 วัน ก็น่าจะยิ่งทำให้ฝ่ายรัฐบาลเพื่อไทย น่าจะคิดอะไรไปล่วงหน้าก่อนแล้วว่า มันเป็นสัญญาณอะไรแปลกๆ หรือไม่
**อาจเพราะเหตุนี้เลยทำให้รัฐบาลรีบออกตัวแต่เนิ่นๆ แบบน่าเกลียดว่า หากร่างดังกล่าวถูกศาลรธน.ตีตก ก็ไม่จำเป็นที่รัฐบาลต้องรับผิดชอบอะไรทางการเมือง ทั้งที่ร่างดังกล่าวเป็นร่างกฎหมายการเงินที่ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เป็นคนเซ็น
อย่างที่"วราเทพ" ออกมาพูดแบบปัดสวะล่วงหน้า โดยอ้างว่า เป็นเพราะ ร่าง พ.ร.บ.ดังกล่าวได้ผ่านความเห็นชอบของรัฐสภาไปแล้ว อีกทั้งมีการยุบสภาผู้แทนราษฎรไปแล้ว ไม่ใช่กรณีว่า ร่าง พ.ร.บ.ของครม.ไม่ผ่านการพิจารณาของรัฐสภา แถมยังกดดันศาลรธน.อีกว่า หากร่างฉบับนี้ไม่ผ่าน จะทำให้เสียโอกาสในการพัฒนาประเทศ เพราะระบบขนส่งมวลชน-โครงการก่อสร้างต่างๆ การก่อสร้างจะล่าช้าออกไป
แต่สิ่งที่“วราเทพ”รวมถึงคนในรัฐบาลคนอื่นๆ ที่พูดทำนองเดียวกัน เช่น พงศ์เทพ เทพกาญจนา รองนายกรัฐมนตรี มือกฎหมายของรัฐบาล ไม่ได้พูดให้ครบถ้วนก็มีหลายเรื่อง อาทิ ความรับผิดชอบทางการเมือง เพราะต้องไม่ลืมว่า ก่อนหน้าที่รัฐบาลจะเสนอร่างดังกล่าวเข้าสภาฯ หลายฝ่ายได้ออกมาเตือนแล้วว่า เป็นร่างที่สุ่มเสี่ยงจะมีปัญหาขัดรัฐธรรมนูญ แต่รัฐบาลก็ยังดันร่างเข้าสภาฯ และวุฒิสภา โดยไม่ฟังเสียงทักท้วง
และต้องไม่ลืมว่า ร่างฉบับนี้ที่ผ่านความเห็นชอบจากที่ประชุมสภาฯ และที่ประชุมวุฒิสภา ออกมาอย่างรวดเร็ว ฝ่ายที่ลงมติให้ความเห็นชอบก็คือพวกสภาทาสทั้งหลาย ไม่ว่าจะเป็น อดีต ส.ส.พรรคเพื่อไทย- อดีต ส.ส.พรรคร่วมรัฐบาลเวลานี้ รวมถึงพวก ส.ว.สายรัฐบาล แม้ตอนนี้พวก อดีต ส.ส.พรรคร่วมรัฐบาลทั้งหลายจะสิ้นสภาพไปแล้ว สภาฯ ถูกยุบไปแล้ว แต่เรื่องความรับผิดชอบทางการเมือง มันก็ต้องมีกันบ้าง
**ไม่ใช่มาพูดจาปัดสวะ ตีกันล่วงหน้าไม่ขอรับผิดชอบอะไรเลยทั้งสิ้น หรือว่านี่มันจะเป็นสันดานของพวกรัฐบาลเพื่อไทยจริงๆ
โดยตุลาการศาลรธน.ทั้ง 9 คน ได้นัดประชุมตั้งแต่เวลา 09.30 น. เพื่อลงมติด้วยวาจา จากนั้นจะมีการเขียนคำวินิจฉัยกลาง และน่าจะอ่านคำวินิจฉัยได้ในช่วงสาย วันนี้ ผลคำวินิจฉัยจึงน่าจะรู้ผลก่อนตลาดหุ้นปิดทำการแน่ หากไม่มีอะไรผิดพลาด
จากที่ศาลรธน.วางแนวทางการพิจารณาไต่สวนคดี เพื่อนำมาสู่คำวินิจฉัยในครั้งนี้ ซึ่งคำวินิจฉัยจะแยกออกเป็น 2 ส่วน คือ 1. กระบวนตรากฎหมายชอบด้วยรัฐธรรมนูญหรือไม่ และ 2. เนื้อหาขัดต่อรัฐธรรมนูญหรือไม่
นั่นหมายถึงศาลก็ต้องพิจารณาว่า ร่าง พ.ร.บ.กู้เงิน 2 ล้านล้านบาท ที่มีกรอบเวลาการใช้เงิน 7 ปี แต่จะมีภาระหนี้สินที่ต้องใช้กันทั้งเงินต้น-ดอกเบี้ยร่วม 50 ปี ที่เรียกกันว่า กู้ชาตินี้ ใช้ชาติหน้า ศาลจะเห็นอย่างไร จะเห็นว่ารัฐบาลสามารถออก ร่าง พ.ร.บ.ดังกล่าวได้ หรือ ศาลจะเห็นว่า ร่าง พ.ร.บ.ดังกล่าวขัดรธน. มาตรา 169 และ 170 ที่เป็นบทบัญญัติใน รธน. 50 ที่อยู่ในหมวด 8 ว่าด้วยเรื่องการเงินการคลังและการงบประมาณ ที่ว่าด้วยเรื่องการใช้จ่ายงบ
ประมาณที่เป็นเงินแผ่นดิน ที่จะต้องทำภายใต้กฎหมายที่กำหนดไว้ เช่น กฎหมายว่าด้วยงบประมาณรายจ่าย ไม่ใช่ออกมาในรูปแบบอย่างที่รัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร คลอด ร่าง พ.ร.บ.กู้เงินดังกล่าวออกมา ตรงนี้น่าลุ้นอย่างยิ่ง
และจากกรอบคำวินิจฉัยที่ศาลรธน.วางไว้ใน 2 ประเด็น คือ 1. กระบวนตรากฎหมายชอบด้วยรัฐธรรมนูญหรือไม่ และ 2.เนื้อหาขัดต่อรัฐธรรมนูญ หรือไม่
ฝ่ายรัฐบาลที่เป็นหนึ่งในคีย์แมนสำคัญของรัฐบาลที่ร่วมผลักดัน ร่าง พ.ร.บ.ฉบับนี้มาตลอดอย่าง “วราเทพ รัตนากร”รมต.สำนักนายกรัฐมนตรีและ รมช.เกษตรและสหกรณ์ ก็ออกมาวิเคราะห์ไว้ล่วงหน้าว่า แนวทางคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญอาจเป็นไปได้ใน 3 แนวทาง ตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ คือ
1. พ.ร.บ.ดังกล่าวชอบด้วยรัฐธรรมนูญ ทั้งกระบวนการตราขึ้น และเนื้อหา กรณีนี้ก็จะต้องนำขึ้นทูลเกล้าถวายเพื่อทรงลงพระปรมาภิไธย และประกาศใช้เป็นกฎหมายต่อไป ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 150
2. ร่าง พ.ร.บ.นั้นมีข้อความขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ แต่มิใช่สาระสำคัญ ดังนั้นเฉพาะข้อความที่ขัดหรือแย้งนั้นจึงเป็นอันตกไป ขั้นตอนต่อจากนั้นก็จะต้องนำ ร่าง พ.ร.บ.ดังกล่าวในส่วนที่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญขึ้นทูลเกล้าถวายเพื่อทรงลงพระปรมาภิไธย และประกาศใช้เป็นกฎหมายต่อไปตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 154 วรรคสี่ ประกอบกับ มาตรา 150
3. กระบวนการตราขึ้นไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญ หรือมีข้อความขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ ซึ่งข้อความนั้นเป็นสาระสำคัญ กรณีนี้ ร่าง พ.ร.บ.ดังกล่าวตกไปทั้งฉบับ ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 154 วรรคสาม
เป็นมุมวิเคราะห์ของคนในรัฐบาลที่เชื่อได้เลยว่า เป็นการวิเคราะห์ของแกนนำรัฐบาลเพื่อไทย ที่ไปนั่งพูดคุยกันมาในช่วงไม่กี่วันก่อนหน้านี้ โดยน่าจะมีฝ่ายกฎหมายของรัฐบาลหลายคนเข้าไปร่วมหารือด้วย ซึ่งก็มีเสียงวิเคราะห์ตามมาเช่นกันว่า ดูแล้ว โอกาสความเป็นไปได้ที่จะออกมาในสูตรที่ 2 อย่างที่ “วราเทพ”คาดการ คือ ร่าง พ.ร.บ.ดังกล่าวมีข้อความ หรือบทบัญญัติที่ขัดแย้งกับรธน. แต่ไม่ใช่สาระสำคัญ ไม่มีผลทำให้ต้องตกไปทั้งฉบับ ในส่วนที่มีปัญหาก็ให้
ตัดออกไป แล้วนำร่างทั้งฉบับนำขึ้นทูลเกล้าฯ ต่อไป แต่ไม่เคยมีกรณีเช่นนี้เกิดขึ้นมาก่อน
**อย่างไรก็ตาม อีกฝ่ายมองว่าแนวทางก็น่าจะออกมาแบบเบ็ดเสร็จไปเลย คือ ศาลรธน.ระบุชัดในคำวินิจฉัยเลยว่า ร่าง พ.ร.บ.กู้เงิน 2 ล้านล้านบาทดังกล่าว ขัดหรือไม่ขัดรธน.-กระบวนการตรากฎหมายชอบ หรือไม่ชอบ และมีผลอย่างไร จะได้ไม่เกิดปัญหาคลุมเครือ จะกลายเป็นปัญหากับศาลรธน.ในภายหลังขึ้นไปอีก ขืนออกมาแบบกั๊กๆ ไม่เป็นผลดีแน่นอน
ป่านนี้ทางรัฐบาลได้มีการเตรียมการอะไรหลายอย่างไว้แล้ว สำหรับการรองรับผลคำวินิจฉัยที่จะออกมา โดยเฉพาะหากออกมาแบบลบสุดๆ กับรัฐบาล คือ ออกมาในแนวทางที่ 3 คือ กระบวนการตรา ร่าง พ.ร.บ.ดังกล่าวไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญ หรือมีข้อความขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ ซึ่งข้อความนั้นเป็นสาระสำคัญจนทำให้ ร่าง พ.ร.บ.ดังกล่าวตกไปทั้งฉบับ
ยิ่งช่วง 2-3 วันมานี้ พบได้ว่าบนเวทีคณะกรรมการประชาชนเพื่อการเปลี่ยนแปลงประเทศไทยให้เป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์ฯ (กปปส.) มีการพูดถึงเรื่อง ร่าง พ.ร.บ.กู้เงิน 2 ล้านล้านบาท แบบโหมโรงมากเป็นพิเศษ ชนิด สุเทพ เทือกสุบรรณ เอาเรื่องนี้ไปพูดบนเวทีกินเวลาหลายสิบนาที ตั้งแต่ก่อนศาลรธน.จะอ่านคำวินิจฉัยล่วงหน้าร่วม 3-4 วัน ก็น่าจะยิ่งทำให้ฝ่ายรัฐบาลเพื่อไทย น่าจะคิดอะไรไปล่วงหน้าก่อนแล้วว่า มันเป็นสัญญาณอะไรแปลกๆ หรือไม่
**อาจเพราะเหตุนี้เลยทำให้รัฐบาลรีบออกตัวแต่เนิ่นๆ แบบน่าเกลียดว่า หากร่างดังกล่าวถูกศาลรธน.ตีตก ก็ไม่จำเป็นที่รัฐบาลต้องรับผิดชอบอะไรทางการเมือง ทั้งที่ร่างดังกล่าวเป็นร่างกฎหมายการเงินที่ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เป็นคนเซ็น
อย่างที่"วราเทพ" ออกมาพูดแบบปัดสวะล่วงหน้า โดยอ้างว่า เป็นเพราะ ร่าง พ.ร.บ.ดังกล่าวได้ผ่านความเห็นชอบของรัฐสภาไปแล้ว อีกทั้งมีการยุบสภาผู้แทนราษฎรไปแล้ว ไม่ใช่กรณีว่า ร่าง พ.ร.บ.ของครม.ไม่ผ่านการพิจารณาของรัฐสภา แถมยังกดดันศาลรธน.อีกว่า หากร่างฉบับนี้ไม่ผ่าน จะทำให้เสียโอกาสในการพัฒนาประเทศ เพราะระบบขนส่งมวลชน-โครงการก่อสร้างต่างๆ การก่อสร้างจะล่าช้าออกไป
แต่สิ่งที่“วราเทพ”รวมถึงคนในรัฐบาลคนอื่นๆ ที่พูดทำนองเดียวกัน เช่น พงศ์เทพ เทพกาญจนา รองนายกรัฐมนตรี มือกฎหมายของรัฐบาล ไม่ได้พูดให้ครบถ้วนก็มีหลายเรื่อง อาทิ ความรับผิดชอบทางการเมือง เพราะต้องไม่ลืมว่า ก่อนหน้าที่รัฐบาลจะเสนอร่างดังกล่าวเข้าสภาฯ หลายฝ่ายได้ออกมาเตือนแล้วว่า เป็นร่างที่สุ่มเสี่ยงจะมีปัญหาขัดรัฐธรรมนูญ แต่รัฐบาลก็ยังดันร่างเข้าสภาฯ และวุฒิสภา โดยไม่ฟังเสียงทักท้วง
และต้องไม่ลืมว่า ร่างฉบับนี้ที่ผ่านความเห็นชอบจากที่ประชุมสภาฯ และที่ประชุมวุฒิสภา ออกมาอย่างรวดเร็ว ฝ่ายที่ลงมติให้ความเห็นชอบก็คือพวกสภาทาสทั้งหลาย ไม่ว่าจะเป็น อดีต ส.ส.พรรคเพื่อไทย- อดีต ส.ส.พรรคร่วมรัฐบาลเวลานี้ รวมถึงพวก ส.ว.สายรัฐบาล แม้ตอนนี้พวก อดีต ส.ส.พรรคร่วมรัฐบาลทั้งหลายจะสิ้นสภาพไปแล้ว สภาฯ ถูกยุบไปแล้ว แต่เรื่องความรับผิดชอบทางการเมือง มันก็ต้องมีกันบ้าง
**ไม่ใช่มาพูดจาปัดสวะ ตีกันล่วงหน้าไม่ขอรับผิดชอบอะไรเลยทั้งสิ้น หรือว่านี่มันจะเป็นสันดานของพวกรัฐบาลเพื่อไทยจริงๆ