ASTVผู้จัดการรายวัน - ธปท.เผยเศรษฐกิจชะลอและปัญหาการเมืองกระทบภาคอสังหาริมทรัพย์ในเขตกรุงเทพฯ-ปริมณฑลชะลอตัวชัดเจนผ่านยอดอนุมัติสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยและการเปิดตัวโครงการใหม่แผ่ว แบงก์ระวัง ส่วนผู้ประกอบการหันมาเปิดขายที่อยู่อาศัยแนวราบเพิ่มขึ้น หวังกระจายความเสี่ยงในการลงทุน ควบคุมต้นทุนได้มากกว่าคอนโด
รายงานข่าวจากธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) แจ้งว่า ทีมเสถียรภาพเศรษฐกิจการเงิน1-2 ของธปท.ได้ทำการสำรวจภาวะอสังหาริมทรัพย์ล่าสุดเดือนม.ค.57 พบว่า อุปสงค์และอุปทานของภาคอสังหาริมทรัพย์ในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล ชะลอลงตามทิศทางเศรษฐกิจและส่วนหนึ่งได้รับผลกระทบเพิ่มเติมจากเหตุการณ์ทางการเมือง ทำให้ผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์และธนาคารพาณิชย์ต่างปรับตัวในการดำเนินธุรกิจ เพื่อรับมือสถานการณ์ดังกล่าวมากขึ้น
ในเดือนแรกของปีนี้ ความต้องการที่อยู่อาศัยลดลงจากเดือนก่อนทั้งที่อยู่อาศัยแนวราบและคอนโดฯ สะท้อนจากจํานวนที่อยู่อาศัยที่ได้รับอนุมัติสินเชื่อจากธนาคารพาณิชย์จากเดือนก่อนที่ 6,836 หน่วย มาอยู่ที่ 6,109 หน่วย เนื่องจากการชะลอตัวทางเศรษฐกิจ ทําให้ธนาคารพาณิชย์เพิ่มความระมัดระวังในการปล่อยสินเชื่อประกอบกับความไม่แน่นอนทางการเมืองส่งผลให้ผู้บริโภคชะลอการตัดสินใจซื้อที่อยู่อาศัย
อย่างไรก็ตาม ในช่วงไตรมาส 4 ของปีก่อน ซึ่งเป็นข้อมูลล่าสุด ทางธนาคารพาณิชย์ในระบบมียอดคงค้างสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยให้แก่คนทั่วไปทั้งสิ้น 1.51 ล้านล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นจากระยะเดียวกันปีก่อน 12.6% แบ่งเป็นการปล่อยสินเชื่อบุคคลเพื่อที่อยู่อาศัย 1.50 ล้านล้านบาท คิดเป็น 12.5% และเป็นสินเชื่อส่วนบุคคลอื่นๆ อีก 8.82 พันล้านบาท คิดเป็น 43.1% ขณะเดียวกันธนาคารพาณิชย์มียอดคงค้างสินเชื่อให้แก่ผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ทั้งสิ้น 5.65 แสนล้านบาท เพิ่มขึ้น 18.2%
ด้านผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ ในภาพรวมการเปิดขายโครงการใหม่ลดลงจากเดือนก่อน สะท้อนจากจํานวนที่อยู่อาศัยเปิดขายใหม่ลดลงจากเดือนก่อนที่ 10,945 หน่วย มาอยู่ที่ 10,327 หน่วย ตามการลดลงของอาคารชุดหรือคอนโดมิเนียมที่เปิดขายไปมากแล้วในปีก่อน รวมทั้งเหตุการณ์ทางการเมืองส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของผู้ประกอบการ และทําให้ผู้ประกอบการเลื่อนเปิดขายโครงการออกไป อย่างไรก็ตาม ผู้ประกอบการหันมาเปิดขายที่อยู่อาศัยแนวราบเพิ่มขึ้น เพื่อกระจายความเสี่ยงในการลงทุนเนื่องจากสามารถควบคุมต้นทุนได้มากกว่าคอนโดฯ.
รายงานข่าวจากธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) แจ้งว่า ทีมเสถียรภาพเศรษฐกิจการเงิน1-2 ของธปท.ได้ทำการสำรวจภาวะอสังหาริมทรัพย์ล่าสุดเดือนม.ค.57 พบว่า อุปสงค์และอุปทานของภาคอสังหาริมทรัพย์ในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล ชะลอลงตามทิศทางเศรษฐกิจและส่วนหนึ่งได้รับผลกระทบเพิ่มเติมจากเหตุการณ์ทางการเมือง ทำให้ผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์และธนาคารพาณิชย์ต่างปรับตัวในการดำเนินธุรกิจ เพื่อรับมือสถานการณ์ดังกล่าวมากขึ้น
ในเดือนแรกของปีนี้ ความต้องการที่อยู่อาศัยลดลงจากเดือนก่อนทั้งที่อยู่อาศัยแนวราบและคอนโดฯ สะท้อนจากจํานวนที่อยู่อาศัยที่ได้รับอนุมัติสินเชื่อจากธนาคารพาณิชย์จากเดือนก่อนที่ 6,836 หน่วย มาอยู่ที่ 6,109 หน่วย เนื่องจากการชะลอตัวทางเศรษฐกิจ ทําให้ธนาคารพาณิชย์เพิ่มความระมัดระวังในการปล่อยสินเชื่อประกอบกับความไม่แน่นอนทางการเมืองส่งผลให้ผู้บริโภคชะลอการตัดสินใจซื้อที่อยู่อาศัย
อย่างไรก็ตาม ในช่วงไตรมาส 4 ของปีก่อน ซึ่งเป็นข้อมูลล่าสุด ทางธนาคารพาณิชย์ในระบบมียอดคงค้างสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยให้แก่คนทั่วไปทั้งสิ้น 1.51 ล้านล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นจากระยะเดียวกันปีก่อน 12.6% แบ่งเป็นการปล่อยสินเชื่อบุคคลเพื่อที่อยู่อาศัย 1.50 ล้านล้านบาท คิดเป็น 12.5% และเป็นสินเชื่อส่วนบุคคลอื่นๆ อีก 8.82 พันล้านบาท คิดเป็น 43.1% ขณะเดียวกันธนาคารพาณิชย์มียอดคงค้างสินเชื่อให้แก่ผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ทั้งสิ้น 5.65 แสนล้านบาท เพิ่มขึ้น 18.2%
ด้านผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ ในภาพรวมการเปิดขายโครงการใหม่ลดลงจากเดือนก่อน สะท้อนจากจํานวนที่อยู่อาศัยเปิดขายใหม่ลดลงจากเดือนก่อนที่ 10,945 หน่วย มาอยู่ที่ 10,327 หน่วย ตามการลดลงของอาคารชุดหรือคอนโดมิเนียมที่เปิดขายไปมากแล้วในปีก่อน รวมทั้งเหตุการณ์ทางการเมืองส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของผู้ประกอบการ และทําให้ผู้ประกอบการเลื่อนเปิดขายโครงการออกไป อย่างไรก็ตาม ผู้ประกอบการหันมาเปิดขายที่อยู่อาศัยแนวราบเพิ่มขึ้น เพื่อกระจายความเสี่ยงในการลงทุนเนื่องจากสามารถควบคุมต้นทุนได้มากกว่าคอนโดฯ.
