ASTVผู้จัดการสุดสัปดาห์ - เวรกรรมที่ไล่ล่าคนในตระกูลชินวัตรจากบาปกรรมที่ทำกับชาวนากำลังตามมาทัน โดยคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ได้เงื้อดาบฟันนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร รักษาการนายกรัฐมนตรี ข้อหาละเว้นปฏิบัติหน้าที่หรือปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ จงใจใช้อำนาจหน้าที่ขัดต่อบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญฯ
เรื่องนี้ นายวิชา มหาคุณ กรรมการป.ป.ช.ช. แถลงข่าวเมื่อวันที่ 18 ก.พ. 2557 ว่า ตามที่ประธานวุฒิสภาส่งคำร้องขอให้วุฒิสภาถอดถอน นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ด้วยข้อกล่าวหาจงใจใช้อำนาจหน้าที่ขัดต่อรัฐธรรมนูญหรือกฎหมาย และกรณีที่คณะกรรมการ ป.ป.ช. มีเหตุควรสงสัยว่า นางสาวยิ่งลักษณ์ปล่อยให้มีการทุจริตในโครงการรับจำนำข้าวและการระบายข้าว โดยเพิกเฉยไม่ระงับยับยั้งความเสียหายที่เกิดขึ้นแก่ทางราชการตามอำนาจหน้าที่นั้น ป.ป.ช. ได้มีมติให้ไต่สวนข้อเท็จจริงในคดีดังกล่าว โดยให้คณะกรรมการ ป.ป.ช.ทั้งคณะไต่สวนข้อเท็จจริง ผลปรากฏว่า มีพยานหลักฐานทั้งพยานบุคคลและเอกสารยืนยันชัดเจนว่า นางสาวยิ่งลักษณ์ ซึ่งเป็นประธานคณะกรรมการนโยบายข้าวแห่งชาติ (กขช.) ได้รับหนังสือจาก ป.ป.ช. ที่ทักท้วงว่าโครงการรับจำนำข้าวจะก่อให้เกิดปัญหาทุจริตอย่างมหาศาลทุกขั้นตอนและทุกกระบวนการ
นอกจากนั้น นางสาวยิ่งลักษณ์ ยังได้รับทราบเรื่องทุจริตในการดำเนินโครงการจากการอภิปรายในสภาฯ และได้รับรายงานผลการดำเนินโครงการจากประธานอนุกรรมการปิดบัญชีโครงการจำนำข้าวเปลือกว่าเสียหายถึง 2 แสนล้านบาท รวมทั้งชาวนาที่ร่วมโครงการยังไม่ได้รับเงินอีกเป็นจำนวนมาก ทำให้เดือดร้อนเสียหายอย่างหนัก ประกอบกับมีหนังสือจากสำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ให้ทบทวนและยุติโครงการ ซึ่งการดำเนินการในปัจจุบันได้เกิดปัญหาทุจริตในการรับจำนำข้าว การระบายข้าว และการชำระหนี้ให้แก่เกษตรกรผู้ร่วมโครงการ แทนที่นางสาวยิ่งลักษณ์จะระงับยับยั้งโครงการตาม พ.ร.บ. ระเบียบการบริหารราชการแผ่นดิน มาตรา 11 (1) กลับยืนยันที่จะดำเนินโครงการต่อไป
การกระทำของนางสาวยิ่งลักษณ์ จึงแสดงถึงเจตนาของผู้ถูกกล่าวหาที่จะปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบเพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ทางราชการหรือโดยทุจริต ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 และเป็นการจงใจใช้อำนาจหน้าที่ขัดต่อบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ มาตรา 178 อันเป็นเหตุแห่งการถอดถอนออกจากตำแหน่งตามรัฐธรรมนูญมาตรา 270 คณะกรรมการ ป.ป.ช.ในฐานะองค์คณะไต่สวนได้มีมติเป็นเอกฉันท์ให้มีหนังสือเรียก นางสาวยิ่งลักษณ์ ผู้ถูกกล่าวหามาพบและแจ้งข้อกล่าวหาให้ทราบตามระเบียบการไต่สวนทุจริต ในวันที่ 27 ก.พ. เวลา 14.00 น.
“ป.ป.ช. ทำตามหน้าที่ตรงไปมา ไม่ลำเอียง และไม่ใช่การทำหน้าที่เป็นผู้สำเร็จโทษรัฐบาลตามที่มีการคาดการณ์กัน รวมถึงไม่กลัวว่าจะมีชาวนามาประท้วง ป.ป.ช. ที่ขัดขวางโครงการจำนำข้าว เพราะการที่ ป.ป.ช. สามารถแจ้งข้อกล่าวหานายกฯ ได้ เพราะมีชาวนามาร้องเรียนต่อ ป.ป.ช. เรื่องการไม่ได้รับเงินค่าจำนำข้าว” นายวิชากล่าว
ในการประชุมคณะกรรมการ ป.ป.ช. ยังรับทราบเรื่องที่ พล.ต.อ.สถาพร หลาวทอง กรรมการ ป.ป.ช. ขอถอนตัวออกจากการเป็นองค์คณะการไต่สวนโครงการรับจำนำข้าว เนื่องจากสมัยรับราชการเคยเป็นหนึ่งในคณะอนุกรรมการตรวจสอบการทุจริตโครงการจำนำข้าวมาก่อน ดังนั้น เพื่อมิให้ถูกกล่าวหาว่ารู้เห็นในโครงการนี้มาก่อน จึงขอถอนตัวออกจากการเป็นองค์คณะไต่สวนของ ป.ป.ช. ทำให้เหลือองค์คณะไต่สวนคดีนี้ 8 คน ส่วนกรณีที่ นางสาวยิ่งลักษณ์ทำหนังสือทักท้วงไม่ให้นายวิชา เข้าร่วมเป็นองค์คณะไต่สวน เนื่องจากไม่มีความเป็นกลางนั้น ที่ประชุมเห็นว่าไม่เข้าเหตุแห่งการร้องคัดค้านนายวิชาจึงเป็นองค์คณะไต่สวนเหมือนเดิม
ต้องหมายเหตุเตือนความทรงจำกันสักนิด พล.ต.อ.สถาพร หลาวทอง ไม่ใช่ใครที่ไหนแต่เป็นอดีตนายตำรวจที่ใครๆ ก็ร่ำลือกันว่าเป็นเด็กในคาถาบ้านตระกูลชิน ถ้า จะต้องมาสอบนายแล้วงานนี้ขอถอนตัวดีกว่า ไม่เช่นนั้นอาจจะถูกข้อหาเนรคุณไม่จงรักภักดี จะจริงเท็จเช่นใดสาธุชนก็โปรดใช้วิจารณญาณไตร่ตรอง
ก่อนหน้าที่คณะกรรมการป.ป.ช.จะมีมติเอกฉันท์ดังกล่าวข้างต้น นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม อดีตส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ ได้ไปให้ถ้อยคำต่อคณะกรรมการป.ป.ช.ในฐานะเป็นผู้ร้องสอดกรณีร้องถอดถอนนางสาวยิ่งลักษณ์ ในฐานะประธาน กขช. ที่ละเลยไม่ดำเนินการยับยั้งการดำเนินโครงการรับจำนำข้าว โดยนำหลักฐานเอกสารและคลิปจำนวน 5 คลิปมาใช้ป.ป.ช.เพื่อชี้ให้เห็นว่านางสาวยิ่งลักษณ์ รับรู้ปัญหาที่เกิดขึ้น โดยเฉพาะกรณีที่มีการทุจริตทั้งต้นน้ำ กลางน้ำ และปลายน้ำ ซึ่งในฐานะประธานกขช.ต้องทำหน้าที่ควบคุม กำกับ ติดตามและระงับยับยั้ง แต่กลับละเลย จนทำให้โครงการนี้เกิดความเสียหาย ขาดสภาพคล่อง ไม่มีเงินจ่ายชาวนา ถือว่านายกรัฐมนตรีละเว้นการปฏิบัติหน้าฯ หรือทุจริตต่ออำนาจหน้าที่
ในการถ้อยคำของหมอวรงค์ นั้น ประเด็นที่ป.ป.ช. ให้ความสนใจมากที่สุดคือการเชื่อมโยงให้เห็นว่ามีการทุจริตเกิดขึ้นรวมทั้งการทุจริตต่ออำนาจหน้าที่ของนายกรัฐมนตรี “เชื่อว่าจะสามารถปิดเกมเรื่องนี้ได้เร็ว และจากหลักฐานที่เรามีนั้นทำให้มั่นใจมากว่าน.ส.ยิ่งลักษณ์ จะไม่สามารถตอบหรือชี้แจงในประเด็นที่เราให้ไปได้อย่างแน่นอน ต่อให้ใช้นักกฎหมายมือดีของรัฐบาลก็ตาม น.ส.ยิ่งลักษณ์โดนแน่ เพราะการทุจริตนั้นมี 2 อย่าง คือการทุจริตแบบสมรู้ในเรื่องการระบายข่าวแบบจีทูจี และการทุจริตต่อหน้าที่ในโครงการใหญ่ ตามมาตรา 157 ฉะนั้นตนคิดว่าภายในเดือนนี้น่าจะปิดได้แล้ว เพราะป.ป.ช.มีข้อมูลที่แน่นมาก” หมอวรงค์ กล่าวอย่างมั่นใจ
การแจ้งข้อกล่าวหาต่อนางสาวยิ่งลักษณ์ดังกล่าวข้างต้น เป็นผลมาจากการมีมติเอกฉันท์ของคณะกรรมการป.ป.ช. เมื่อวันที่ 16 ม.ค. 2557 ที่เห็นชอบตามข้อเสนอของคณะอนุกรรมการฯ ให้ไต่สวน นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร รักษาการนายกรัฐมนตรี เนื่องจากพบว่าอาจมีมูลความผิดกรณีละเว้นต่อหน้าที่ที่จะยุติความเสียหายจากโครงการรับจำนำข้าว แม้จะมีข้อท้วงติงแล้วแต่ละเลยไม่ยับยั้ง และในวันดังกล่าว ป.ป.ช.ยังมีมติเอกฉันท์ให้แจ้งข้อกล่าวหาแก่ นายบุญทรง เตริยาภิรมย์ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ และ นายภูมิ สาระผล อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ รวมทั้งข้าราชการกระทรวงพาณิชย์รวม 15 คน กรณีการทุจริตในโครงการรับจำนำข้าว ซึ่งจากการสอบสวนของป.ป.ช. พบว่าบริษัทค้าข้าวทุกรายจ่ายเงินให้กรมการค้าต่างประเทศ แต่ไม่พบการส่งข้าวออกนอกราชอาณาจักร จึงไม่ใช่การค้าแบบรัฐต่อรัฐ หรือ จีทูจี และยังพบการกระทำผิดเกี่ยวกับภาษีที่เกี่ยวพันกับสรรพากรอีกด้วย
แต่ไม่ว่าจะมีใครสำเร็จโทษเธอในเร็ววันนี้หรือไม่ อย่างไร นางสาวยิ่งลักษณ์ ก็เสนอหน้าออกมาแหลต่อพี่น้องชาวนาได้อย่างไม่ละอายแก่ใจ โพยที่เธอแถลงผ่านทีวีช่อง 11 ในวันเดียวกันกับที่ป.ป.ช.มีมติข้างต้นนั้น เห็นได้ชัดว่า เธอดราม่าตีหน้าเศร้าเล่าความเท็จได้เก่งกาจเสียยิ่งกว่าเจ้าตำรับเดิมคือพรรคประชาธิปัตย์เสียอีก
ฟังเธอว่า “ก่อนอื่นดิฉันขอยืนยันถึงเจตนารมณ์และวัตถุประสงค์ที่ดีของรัฐบาลต่อโครงการรับจำนำข้าว ดิฉันเชื่อมั่นตั้งแต่เมื่อพรรคเพื่อไทย ได้นำเสนอโครงการนี้ และพี่น้องประชาชนได้ให้ความไว้วางใจพรรคและตัวดิฉันว่าโครงการจะยกระดับรายได้และคุณภาพชีวิตเพื่อสร้างความมั่งคั่ง มั่นคง และยั่งยืนให้กับชาวนาไทยทุกคน”
ความจริงคือ ชาวนาอดอยากไม่มีแม้แต่ข้าวสารจะกรอกหม้อเพราะเงินจำนำข้าว 5 เดือนกว่าแล้วยังไม่ได้ ชาวนาพรหมพิราม พิษณุโลก ถึงกับถือปี๊บขอบริจาคเงินช่วยเพื่อนชาวนาเพื่อจะได้มีเงินซื้อข้าว กะปิ น้ำปลา และให้ลูกไปโรงเรียน
ฟังเธอว่า “ในอดีตชาวนาที่ถึงแม้จะเป็นกระดูกสันหลังของชาติ และเมื่อคนไทยทุกคนกินข้าว จึงย่อมต้องสำนึกในบุญคุณของชาวนา แต่ก็น่าเศร้าที่ว่า ถึงแม้ข้าวทุกเมล็ดทำให้เราเติบใหญ่ แต่ชาวนากลับถูกเอารัดเอาเปรียบถูกกดขี่ข่มเหง ต้องทนตรากตรำหลังสู้ฟ้าหน้าสู้ดินมาโดยตลอด”
นี่เธอไม่รู้จริงๆ หรือว่า ใครเอารัดเอาเปรียบกดขี่ข่มเหงชาวนา ทำนาบนหลังชาวนา หาเวลาไปถามแก๊ง “เจ๊ ด.” และ “เสี่ยเปี๋ยง” รับรองได้รู้ความจริง
ฟังเธอว่า “ ในช่วงเวลาสองปีที่ผ่านมา โครงการจำนำข้าวของรัฐบาลก็ประสบความสำเร็จ บรรลุเป้าหมาย ชาวนามีรายได้เพิ่ม ทั้งยังเป็นพื้นฐานที่แข็งแกร่งของเศรษฐกิจรากหญ้า และการเติบโตของระบบเศรษฐกิจของประเทศในภาพรวม”
ความจริงคือ โครงการจำนำข้าวทำลายรากฐานของระบบการผลิตและการค้าข้าวของประเทศไทยให้พังพินาศ ต้นทุนการผลิตสูงขึ้น คุณภาพข้าวแย่ลง การส่งออกข้าวตกต่ำ ชาวนานอกจากจะไม่มีรายได้เพิ่มยังไม่มีเงินใช้หนี้ ล้มละลาย เครียด คิดสั้นฆ่าตัวตายแล้วนับสิบราย
ฟังเธอว่า “สำหรับการจัดหาแหล่งเงินทุนเพื่อดำเนินโครงการนั้น มีความชัดเจนถึงที่มาของแหล่งเงินทุนหมุนเวียนสำหรับโครงการ แน่นอนที่สุดประการแรกคือ รายได้จากการระบายข้าวในตลาด ซึ่งมีกระทรวงพาณิชย์เป็นเจ้าภาพหลัก และประการที่สองคือ เงินจากการบริหารจัดการของกระทรวงการคลัง ซึ่งมีตามกลไกปกติของกระทรวงที่จะจัดเงินมาสนับสนุน รวมถึงอนุมัติให้ ธกส. กู้เงินเพื่อใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนสำหรับโครงการรับจำนำข้าวจากสถาบันการเงินต่างๆ ทั้งภาครัฐและเอกชนภายในวงเงินที่คณะรัฐมนตรีกำหนด”
ความจริงคือ เงินทุนหมุนเวียนจำนำข้าวไม่มี กระทรวงพาณิชย์ขายข้าวได้เพียงเล็กน้อย อย่างที่ธ.ก.ส.เชียงรายว่า ยอดเงินที่รัฐบาลต้องจ่ายให้ชาวนามีอยู่ประมาณ 117,100 ล้านบาท แต่พาณิชย์ขายข้าวรอบสุดท้ายได้แค่ 3,000 ล้านบาทถือว่าน้อยมาก ส่วนข้าวที่เหลืออยู่ในโกดังบานเบอะก็ไม่แน่ว่าจะมีจริงหรือไม่ ส่วนเงินจากกระทรวงคลัง จะกู้ก็กู้ไม่ได้เพราะผิดกฎหมายเนื่องจากเป็นเพียงรัฐบาลรักษาการ ครั้นอนุมัติให้ธ.ก.ส.กู้ออมสิน ก็เจอการสั่งสอนจากประชาชนแห่ถอนเงินจนออมสินส่อเจ๊ง จนต้องรีบทวงเงินคืนไม่ให้กู้แล้ว และผู้อำนวยการแบงก์ออมสินต้องลาออกเพื่อแสดงความรับผิดชอบกับปัญหาที่เกิดขึ้น
ฟังเธอว่า “ประชาชนเห็นถึงผลที่ชัดเจน เงินตกถึงมือเกษตรกรตัวจริง โครงการจึงได้รับความนิยมอย่างต่อเนื่อง ซึ่งสร้างความภาคภูมิใจให้กับทุกคนที่เกี่ยวข้อง”
ความจริงคือ เงินตกถึงมือชาวนาเพียงส่วนน้อย ส่วนใหญ่เจอแก๊งเจ๊ ด. งาบพุงอ้วน ชาวนากำลังสาปแช่ง ไม่มีความภาคภูมิใจแม้แต่น้อย
ฟังเธอว่า “เป็นที่น่าเสียดายว่าความฝันความหวังที่จะลืมตาอ้าปากของชาวนาไทย กำลังโดนเกมการเมือง สร้างกระบวนการบ่อนทำลายอันรวดเร็วจนจะหมดสิ้นลงในไม่ช้า ...... ขณะนี้การบ่อนทำลายโครงการจำนำข้าวไปถึงขั้นการสกัดกั้นที่จะไม่ให้รัฐบาลจ่ายเงินค่าข้าวให้กับชาวนา การขัดขวางทำกันอย่างเป็นกระบวนการ เพื่อให้การจัดหาแหล่งเงินทุนหมุนเวียนสำหรับโครงการรับจำนำข้าวจะต้องสะดุดหยุดลง หรือชะลอการปฏิบัติหน้าที่โดยไม่มีเหตุอันควรทั้งในข้อเท็จจริงและข้อกฎหมาย ซึ่งในความเป็นจริงหากทุกฝ่ายมีความจริงใจที่จะแก้ไขปัญหา หากทุกธนาคารและผู้บริหารจะเห็นใจและมีน้ำใจต่อชาวนาไทย เข้าใจถึงความเดือดเนื้อร้อนใจ การบริหารการเงินของรัฐบาลก็จะเดินหน้าได้ ดิฉันยืนยันว่าเงินทุกบาทรัฐบาลรับผิดชอบอยู่แล้ว เงินของธนาคารก็มีหลักประกันตามกฎหมาย จึงไม่มีใครสามารถนำเงินฝากของทางธนาคารไปใช้ในทางที่ผิด ..... รัฐบาลบริหารงบประมาณของโครงการเป็นไปตามหลักวินัยการเงินการคลังมาอย่างต่อเนื่อง ธนาคาร ผู้บริหาร และพนักงานสมาชิกสหภาพซึ่งเป็นธนาคารของรัฐจึงไม่มีอะไรต้องหวาดกลัว ทุกขั้นตอนมีกฎหมายและมติคณะรัฐมนตรีรองรับอยู่อย่างถูกต้อง
ความจริงคือ การกู้เงินเพื่อใช้หนี้จำนำข้าวเสี่ยงผิดกฎหมาย ดังหนังสือที่สำนักบริหารหนี้สาธารณะ (สบน.) เตือนนายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รมว.คลัง ดังนั้นเมื่อกระทรวงคลังเปิดประมูลขอกู้เงินแบงก์ก็ไม่มีแบงก์ไหนกล้าให้กู้ อันนี้ไม่ใช่เกมการเมืองแต่เป็นการตัดสินใจของแบงก์ที่ไม่ขอเสี่ยง และอีกอย่างเงินฝากของแบงก์ออมสินกับ ธ.ก.ส. ไม่ได้รับการคุ้มครองตามกฎหมายสถาบันคุ้มครองเงินฝาก แล้วใครเขาจะเอาเงินออมทั้งชีวิตมาเสี่ยงเป็นศูนย์ สำหรับการบริหารงบประมาณของรัฐบาลนั้น ประชาชนรู้กันทั่วไปว่าเธอนั้นเป็น “เลดี้กูกู้” ทำเอาสัดส่วนหนี้สาธารณะต่อจีดีพีพุ่งสูงอย่างรวดเร็วถึง 45.28%
ฟังเธอว่า “มีกระบวนการกล่าวหาและตรวจสอบความชอบด้วยกฎหมายของการบริหารโครงการรับจำนำข้าว ทั้งโจมตีทางการเมืองและกฎหมายว่า โครงการรับจำนำข้าวมีการทุจริตคอรัปชั่นที่เป็นระบบระดับนโยบาย ซึ่งดิฉันขอยืนยันว่าในระดับนโยบายไม่มีการสร้างวิธีที่จะโกงเงินดังที่ถูกกล่าวหา และในระดับปฏิบัติหากมีการรั่วไหล ดิฉันก็ต้องการเห็นการตรวจสอบที่เข้มงวด และยินดีในกระบวนการตรวจสอบความชอบด้วยกฎหมายของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) โดยไม่เลือกปฏิบัติและมีความเสมอภาคภายใต้หลักนิติธรรมโดยไม่มีความลำเอียงหรือวาระทางการเมืองที่ซ้อนเร้น เพราะหากเป็นเช่นนั้นแล้ว นอกจากโครงการดีๆ จะถูกทำลาย ความน่าเชื่อถือของระบบและกระบวนการตรวจสอบก็จะสูญศรัทธาไปด้วย”
ความจริงคือ ฟังจาก ป.ป.ช., สตง. นักวิชาการ และหน่วยงานต่างๆ ที่ออกมาเตือนให้ระงับยับยั้งการกระทำที่ทุจริตในโครงการจำนำข้าวมาตลอด แต่เธอกลับละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ ดังที่ป.ป.ช.ได้แจ้งข้อกล่าวหาต่อเธอแล้ว
ฟังเธอว่า “ในระหว่างที่พี่น้องชาวนารอการเบิกจ่ายเงินนั้นรัฐบาลตระหนักถึงความยากลำบากจึงได้กำหนดมาตรการเยียวยาเพื่อบรรเทาความเดือดร้อนเท่าที่จำเป็นของปัญหาที่เกิดขึ้น โดยทาง ธ.ก.ส จะขยายเวลาการชำระหนี้ ออกไปเป็นระยะเวลา 6 เดือน นอกจากนี้ เพื่อให้พี่น้องได้เข้าถึงเงินกู้เพื่อนำไปใช้ในเตรียมการผลิตในฤดูกาลต่อไปที่กำลังจะมาถึง ธ.ก.ส. จะขยายวงเงินให้ลูกค้ารายปัจจุบัน โดยสามารถใช้หลักค้ำประกันที่ได้วางได้กับ ธ.ก.ส. โดยมาตรการนี้ครอบคลุมถึงชาวนาที่ไม่ได้เป็นลูกค้าของทาง ธ.ก.ส. ด้วย โดยพี่น้องชาวนาสามารถสมัครเป็นสมาชิกและยื่นความจำนงที่ ธ.ก.ส. สาขาใกล้บ้าน สำหรับชาวนาที่อยู่ภายใต้สถาบันเกษตร (สหกรณ์) สามารถขอเงินกู้จากสหกรณ์ได้เช่นกัน”
ความจริงคือ ชาวนามาทวงเงินที่เขาจะต้องได้จากการจำนำข้าว ไม่ใช่มาให้ธ.ก.ส.ยืดหนี้หรือปล่อยกู้ซึ่งต้องถูกรีดไถดอกเบี้ยอีก ไม่ใช่การยืดหนี้หรือให้กู้แบบปลอดดอกเบี้ยจนกว่าจะได้เงินจำนำข้าวเสียที่ไหน
สำหรับคำอำลาแถลงสุดท้ายฟังแล้วแทบน้ำตาไหล “สุดท้ายนี้ดิฉันในฐานะหัวหน้ารัฐบาลขอยืนยันอีกครั้งว่ารัฐบาลจะปกป้องรักษาผลประโยชน์ของพี่น้องชาวนาและพี่น้องประชาชนทุกคน ดิฉันจะไม่ยอมให้เกมการเมืองมาเอารัดเอาเปรียบเอาพี่น้องเป็นตัวประกัน ดิฉันขอความร่วมมือและความเห็นใจของทุกฝ่ายต่อความทุกข์ยากของพี่น้องชาวนา ทุกหยาดเหงื่อของพวกเขา มีค่ามากต่อวิถีชีวิตของคนไทยทุกคน เราจะต้องไม่ปล่อยให้กระดูกสันหลังของชาติพิกลพิการ ชาวนาไทยจะต้องมีคุณภาพชีวิตที่ดี มีรายได้ และมีศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์เท่าเทียมกับคนไทยทุกคน”
นอกจากนั้น นางสาวยิ่งลักษณ์ ยังออกมาตอบโต้ ป.ป.ช. ว่าเร่งรีบผิดปกติโดยใช้เวลาไต่สวนก่อนแจ้งข้อกล่าวหา 21 วันเท่านั้น และเรื่องนี้หัวเด็ดตีนขาดอย่างไรก็ขอยืนยันว่าไม่ได้ทำผิด เพราะในฐานะประธาน กขช. ดูแลแค่ระดับนโยบายไม่ได้สั่งการและปฏิบัติ มิหนำซ้ำยังดึงดังเดินหน้าโครงการต่อไปเพื่อพิสูจน์ว่าจำนำข้าวนี้ดีจริง
แต่เป็นเพราะใครๆ ก็รู้ว่าเธอจอมแหล และลาออกไปนั่นดีที่สุด ดังเช่นที่ม็อบชาวนายกป้ายไล่ ถ้าทำอะไรไม่ได้ก็ออกไปให้พ้นๆ และรอบนี้ม็อบชาวนาก็ไม่ยอมกลับบ้านง่ายๆ ถ้ายังไม่ได้เงินจำนำข้าว ทั้งยังเล่นแรงตามทวงเงินกับนายกฯ ไล่บี้ถึง “เขตทหารห้ามเข้า” ชาวนาก็ยังบุกทวงหนี้
ขณะที่ทัพชาวนาจากเหนือตอนล่างและภาคกลางที่ทำนาเป็นอาชีพหลัก ก็ขับอีแต๋นพร้อมรถไถคู่ชีพเข้าสมทบที่กรุงเทพฯ นัดหมายชุมนุมที่สนามบินสุวรรณภูมิ โดยตั้งมั่นแน่วแน่ว่ารอบนี้ถ้ายังเบี้ยวไม่จ่าย ไม่กลับแน่