04:00 น. ของวันที่ 20 ก.พ. 2557
ที่บ้าน ซอยโยธินพัฒนาฯ
เรียน คุณรัชชพล
ดิฉันไม่เคยคิดจะมาขอคำปรึกษาจากคุณมาก่อน ถึงแม้จะฟังรายการวิทยุ ที่คุณจัดทุกวัน แต่สภาพของดิฉันตอนนี้ มันไม่ไหวแล้วจริงๆค่ะ ต้องตัดสินใจลุกขึ้นมาพิมพ์จดหมายถึงคุณกลางดึก ก็เพราะกำลัง ”สติแตก” นอนไม่หลับมาหลายคืนแล้ว จึงอยากขอคำแนะนำว่า ดิฉันควรจะทำอย่างไรดีกับชีวิต
ชีวิตของดิฉันตอนนี้มันใกล้จะอัปปางแล้วค่ะ สามี”ขู่”จะหย่า ในขณะที่”ลูกสาว”สุดรัก สุดหวงคนเดียวของดิฉันก็ “ขู่” จะฆ่าตัวตาย ทั้งหมดก็มาจากเรื่องเงินๆทองๆนี่แหละค่ะ
ขออนุญาตเล่าเรื่องทั้งหมดให้ฟังนะคะ...
ครอบครัวของดิฉัน ความจริงกับเป็นครอบครัวของชนชั้นกลางในเมือง ที่จัดว่ามีฐานะความเป็นอยู่ที่ดีทีเดียว โดยเฉพาะ ในช่วงสองสามปีหลังๆ ที่สามีของดิฉันมีรายได้ดีขึ้น ทำให้พวกเรามี”ไลฟ์สไตล์”การใช้ชีวิตที่ไม่น้อยหน้าบรรดาเพื่อนฝูงในแวดวงสังคม เดียวกัน (เรื่องจริง ไม่ได้โม้นะคะ)
ชีวิตของพวกเราก็เหมือนคนทั่วๆไปค่ะ มีบ้านหลังเล็กๆอยู่ในหมู่บ้านเดียวกับ นายกฯหญิงคนนั้นแหละค่ะ (คนที่คุณรัชชพล ไม่ค่อยอยากเอ่ยถึง) มีรถเก๋งสองคันที่ดิฉันและสามีใช้เป็นพาหนะในการทำงาน (ทั้งบ้านและรถ เราสองคนยังต้องผ่อนอยู่นะคะเดือนละราวๆ 4 หมื่นบาท)
อ้อ ลืมบอกไป ลูกสาวของดิฉัน เรียนอยู่มหาวิทยาลัยเอกชน แถว ถ.วิภาวดีฯ เรียนอยู่ปี 3 แล้วค่ะ คณะบริหารธุรกิจ กำลังโตเป็นสาว หน้าตาดีทีเดียว เหมือนใครไม่รู้ (อดชมตัวเองไม่ได้ ขอโทษนะคะ)
กลับมาที่ปัญหาของครอบครัวเรา จุดเริ่มต้นของปัญหาทั้งหมด ในทัศนะของดิฉันมันคงน่าจะมาจาก ของขวัญวันเกิด ปีที่ 18 ของลูกสาวดิฉัน เมื่อ 3 ปีที่แล้ว
ดิฉันยังจำได้ดี ปีนั้นลูกสาวของดิฉันแกอยากเรียนต่อ คณะนิเทศศาสตร์ แต่สอบเข้าเรียนมหาวิทยาลัยรัฐไม่สำเร็จ เสียอกเสียใจไปพักใหญ่ แต่ทั้งดิฉันและสามีก็พยายามปลอบใจ และให้ไปสมัครเรียนต่อที่มหาวิทยาลัยเอกชนแทน เพราะเราไม่อยากให้ ลูกสาว น้อยหน้าเพื่อนๆ และหวังจะปลอบขวัญ ดิฉันก็เลยขอให้คุณพ่อ(สามีดิฉัน) ช่วยทำบัตรเครดิต (ใช้ร่วมกับลูกสาว) 1 ใบ นอกเหนือจากที่เราทั้งสองคนมีบัตรเครดิตกันอยู่แล้ว วงเงินประมาณ 5 แสนบาท
ตอนยื่นบัตรเครดิตใบนั้นให้ลูกสาว ดิฉันยังจำได้ดี ถึงแววตาดีใจของเธอ และเราก็กำชับเธอไปแล้วว่า ให้รู้จักบริหารเงิน ให้เป็น อย่าไปจับจ่ายใช้สอย ฟุ่มเฟือย เธอก็รับปากเป็นมั่นเหมาะ แต่...มาถึงวันนี้ ท่าทางมันจะตรงข้ามเสียแล้วค่ะ...
ตั้งแต่ราวเดือนตุลาคมปีที่แล้ว สามีดิฉันเริ่มเห็นความผิดปกติ ในสลิปต์ใบแจ้งหนี้ของธนาคารที่ออกบัตรเครดิต คือมียอดการใช้คงค้างมากขึ้นทุกทีๆจนเขาตกใจ (ก่อนหน้านั้น ดิฉันแอบเก็บสลิปต์ไว้ไม่ให้สามีเห็นกลัวโดนดุ) ยอดล่าสุดในเดือน ก่อนหน้านั้น มันไปแตะยอดราวๆ 4.1 แสนบาท นี่ไม่นับค่าดอกเบี้ย ค่าธรรมเนียมอื่นๆอีกนะคะ
คืนนั้นเราสองคนทะเลาะกันหนัก เขา(สามี)ตำหนิว่า ทำไมดิฉันปล่อยให้ลูกสาวใช้เงินเปลืองขนาดนี้ และทำไมไม่ใช้หนี้ ปล่อยให้ยอดค้างจ่ายจนจะเต็มวงเงินอยู่แล้ว(ปกติดิฉันเป็นคนดูแลเรื่องค่าใช้จ่ายต่างๆในบ้าน สามีมีหน้าที่หาเงิน) ตอนท้ายสามีดิฉัน ยื่นคำขาด ให้ดิฉันไปคุยกับลูกสาว และขอเก็บบัตรเครดิตคืนมาก่อน
ดิฉันก็ตั้งใจจะทำอย่างนั้นแหละค่ะ แต่หลังจากไปคุยกับลูกสาว เหตุการณ์มันกลับเลวร้ายกว่าที่คิดไว้เสียอีก !!!
ลูกสาวดิฉันเธอร้องไห้ ยอมสารภาพว่า ใช้เงินเกินตัวสักหน่อยไปจริงๆ แต่เจ้าหล่อนก็อ้างว่า ต้องเข้าสังคม เห็นเพื่อนๆใช้ ข้าวของ เครื่องใช้แพงๆ เปลี่ยนมือถือ หิ้วไอแพด ถือกระเป๋าแบรนด์เนมกันทั้งนั้น เธอก็ต้องมีเหมือนกันไม่ให้น้อยหน้า เดี๋ยวไม่มีใครคบ
หลังจากฟังเหตุผลของเธอ ถึงแม้มันจะไม่ค่อยเข้าท่าสักเท่าไร แต่ดิฉันยอมรับค่ะว่า “ใจไม่แข็งพอ” ไม่อยากลงโทษอะไร เธอมากมาย ยิ่งเห็นน้ำตาของเธอ แต่ก็ยังใจแข็งนะคะ ขอบัตรเครดิตคืนมา แลกกับเงินประมาณ 9 หมื่นบาท ที่ทิ้งให้เธอไว้สำหรับใช้ในช่วงที่ไม่มีบัตรเครดิต(สงสารลูกน่ะค่ะ) บวกกับเธอบอกว่า กำลังมีแผนธุรกิจที่จะไปลงทุนซื้อ “เสื้อผ้าแฟชั่น” มาขายผ่าน IG อินสตราแกรม เหมือนเพื่อนๆที่หันมาทำธุรกิจขายของออนไลน์ สามารถสร้างรายได้กันเป็นกอบเป็นกำ มีเงินมีทองใช้กันจนแทบ ไม่ต้องมา “แบมือ” ขอเงินพ่อแม่กันแล้ว
ความจริงเหตุการณ์ร้ายๆมันน่าจะผ่านไปด้วยดีจริงไหมคะ แต่ปราฎว่าหลังจากนั้น ชีวิตสมรส ของดิฉันกับสามีก็เริ่มเปลี่ยนแปลงไป มีปากเสียง ระหองระแหงกันบ่อยขึ้น ไม่ใช่เรื่องอะไรหรอกค่ะ ก็ปัญหาเรื่อง “หมุนเงิน” มาใช้หนี้เก่า ที่ทำให้เราเครียดมากขึ้น แถมระยะหลังๆคุณลูกสาว ก็เริ่มไม่ค่อยกล้ามาเข้าหน้า จนดิฉันเริ่มผิดสังเกต
ดิฉันขอเล่าเรื่องยาวหน่อยนะคะ เพราะรู้สึกชีวิตของดิฉันมันเหมือนนิยายน้ำเน่าอย่างไรไม่รู้ (ประชดตัวเองอีกแล้ว)
ขอเล่ามาถึงตอน “ไคลแม็กซ์” ของเรื่องเลยละกัน
เหตุการณ์มันมาถึงจุดวิกฤติเมื่อปลายเดือนที่แล้ว เมื่อจู่ๆลูกสาวดิฉัน เดินร้องไห้เข้ามาหาที่ห้องนอน กลางดึกคืนวันหนึ่ง เธอ ”ฟูมฟาย”ว่า โดนเพื่อนที่ทำธุรกิจขายของออนไลน์ด้วยกัน เบี้ยวไม่ยอมจ่ายเงิน ที่ติดค้าง “ซัพพลายเออร์” เสื้อผ้าที่สั่งตัดเอาไว้
เธอเล่าว่า ตอนนี้ร้านเสื้อที่เธอสั่งของเอาไว้ ทั้งโทรศัพท์ ทั้ง”ไลน์” ตามทวงเงินเธอแทบจะทุกชั่วโมง จนไม่เป็นอันเรียนแล้ว เธอขอร้องให้ดิฉันช่วยเธออีกสักครั้ง ไม่อย่างนั้นเธอจะ”ฆ่าตัวตาย” หนีหนี้ไปดีกว่าที่จะโดนเจ้าของร้านเสื้อมาประจาน หรือดักทำร้าย เพราะล่าสุดเจ้าของร้านเสื้อยื่น “คำขาด”มาแล้วว่าจะต้องได้เงินภายในเดือนนี้ ไม่อย่างนั้นจะส่งคนมาเล่นงานเธอ
ถ้าเป็นคุณรัชชพล เจอเหตุการณ์อย่างนี้จะทำอย่างไรคะ?
ความจริงดิฉันก็เอาเรื่องนี้ไปปรึกษาคุณสามีนะคะ แต่ปรากฏว่าเขาตำหนิฉันเสียใหญ่โต จนแทบ”บ้านแตก” เพราะเขาบอกว่า ปัญหาหนี้เก่าที่รุมเร้าอยู่ เขาก็ต้องเหนื่อยยาก ทำงานเสริมวิ่งหาเงินมาใช้หนี้ จนแทบไม่มีเวลาพักผ่อนอยู่แล้ว จะไปเปิดวงเงินกู้ กับแบงก์เพิ่มอีก ก็คงไม่มีแบงก์ไหนเขาอนุมัติให้แล้ว เพราะยังติด “เครดิตบูโร” จากไอ้บัตรเครดิตเจ้ากรรมใบนั้นของคุณลูกสาวตัวดี
ยิ่งตอนที่ดิฉันอุตส่าห์เสนอความเห็น ถามเขาว่า ถ้ามันหมุนเงินไม่ทันจริงๆ เราลองไปพึ่ง เจ้าหนี้นอกระบบดีไหม เพราะเห็นเขาติดป้ายไว้ตาม “เสาไฟฟ้า” ริมถนนในซอยข้างๆหมู่บ้าน ปรากฏว่า พ่อเจ้าประคุณเขาด่าดิฉันเสียแทบเสียผู้เสียคน ถึงขนาดประกาศว่า ถ้ารู้ว่าดิฉันไปกู้เงินนอกระบบมาจริงๆ เขาจะฟ้อง”หย่า”ดิฉันทันที
ทั้งหมดที่เล่ามาให้ฟังเสียยืดยาว ก็เพราะหวังจะให้คุณเข้าใจปัญหาของดิฉัน และช่วยชี้แนะแสงสว่างที่จะเป็นทางออก ให้ว่าดิฉันควรทำอย่างไรดีคะ?
ดิฉันจะรอคำตอบของคุณรัชชพล แต่ถ้าเป็นไปได้ อย่ายก”เคส”ของดิฉัน ไปเล่าในรายการวิทยุของคุณเลยนะคะ ดิฉันอายค่ะ ที่สำคัญ ถ้าสามีและลูกสาวดิฉันเขารู้เข้าอาจจะไม่พอใจ
ขอขอบคุณล่วงหน้ากับคำแนะนำดีๆที่จะมีให้นะคะ
ติดตามฟังรายการของคุณทุกวันค่ะ
ขอแสดงความนับถือ
แม่บ้านผู้สิ้นหวัง...
เป็นอย่างไรครับ ใครได้อ่านจดหมายฉบับนี้แล้ว อาจจะคิดในใจเหมือนผมว่า ชีวิตของคุณแม่บ้านผู้สิ้นหวัง มันทำไมคลับคล้ายคลับคลา กับสถานการณ์บางอย่างที่กำลังเกิดขึ้นอยู่ในเวลานี้ กับ “อภิมหาโมฆะสตรีแห่งสยาม” เสียเหลือเกิน
ที่นำมาให้ได้อ่านกัน ไม่ได้ตั้งใจจะประจานอะไรนะครับ แต่ผมคิดว่า อาจมีหลายครอบครัวที่กำลังประสบกับ สถานการณ์คล้ายคลึงกัน เพราะปัญหาเรื่อง”หนี้”มันกำลังจะกลายเป็นเรื่อง หายนะแห่งยุคสมัยไปเสียแล้ว
แต่ เชื่อผมไหมครับ การบริหารเงินในครอบครัว มันอาจจะง่ายกว่า การบริหารประเทศนะครับ
กรณีของคุณแม่บ้านผู้สิ้นหวังน่ะ มีทางออกแน่ครับ เมื่อเธอตระหนักในปัญหา รู้ว่าตัวเธอเองเป็นส่วนหนึ่งของปัญหา และพร้อมที่จะเปลี่ยนแปลงพฤติกรรม เมื่อรับฟังคำแนะนำ
แตกต่างจากใครบางคนที่ไม่เคย แม้แต่จะยอมรับในความผิดพลาดที่ตัวเองก่อขึ้น แถมยังพยายามปกปิด ซ่อนเร้น บิดเบือน และพร้อมจะโยนความผิดไปให้กับผู้ที่เห็นต่าง คนที่เธอเชื่อว่าเป็นฝ่ายตรงข้ามที่ต้องการ โค่นล้ม และได้อำนาจไปจากเธอ คนแบบนี้ เป็นคนที่น่าสงสารครับ แต่ที่น่าสงสารและน่าเศร้ามากกว่า คือ ใครคุณคงรู้นะครับ
เนื้อความทั้งหมดของจดหมายที่นำมาเสนอ ไม่ได้มีเจตนาจะตอบหรอกครับ เพียงแต่อยากจะลองท้าทายให้หลายๆคนคิดว่า หากครอบครัวเรา หรือ บ้านเมืองของเรา ประสบปัญหาแบบนี้ แต่ละคนคิดว่าเราควรจะทำอย่างไร เพื่อหาทางออกของปัญหา
ใครมีคำตอบอย่างไร สามารถนำมาแชร์กันได้ครับ...
ที่บ้าน ซอยโยธินพัฒนาฯ
เรียน คุณรัชชพล
ดิฉันไม่เคยคิดจะมาขอคำปรึกษาจากคุณมาก่อน ถึงแม้จะฟังรายการวิทยุ ที่คุณจัดทุกวัน แต่สภาพของดิฉันตอนนี้ มันไม่ไหวแล้วจริงๆค่ะ ต้องตัดสินใจลุกขึ้นมาพิมพ์จดหมายถึงคุณกลางดึก ก็เพราะกำลัง ”สติแตก” นอนไม่หลับมาหลายคืนแล้ว จึงอยากขอคำแนะนำว่า ดิฉันควรจะทำอย่างไรดีกับชีวิต
ชีวิตของดิฉันตอนนี้มันใกล้จะอัปปางแล้วค่ะ สามี”ขู่”จะหย่า ในขณะที่”ลูกสาว”สุดรัก สุดหวงคนเดียวของดิฉันก็ “ขู่” จะฆ่าตัวตาย ทั้งหมดก็มาจากเรื่องเงินๆทองๆนี่แหละค่ะ
ขออนุญาตเล่าเรื่องทั้งหมดให้ฟังนะคะ...
ครอบครัวของดิฉัน ความจริงกับเป็นครอบครัวของชนชั้นกลางในเมือง ที่จัดว่ามีฐานะความเป็นอยู่ที่ดีทีเดียว โดยเฉพาะ ในช่วงสองสามปีหลังๆ ที่สามีของดิฉันมีรายได้ดีขึ้น ทำให้พวกเรามี”ไลฟ์สไตล์”การใช้ชีวิตที่ไม่น้อยหน้าบรรดาเพื่อนฝูงในแวดวงสังคม เดียวกัน (เรื่องจริง ไม่ได้โม้นะคะ)
ชีวิตของพวกเราก็เหมือนคนทั่วๆไปค่ะ มีบ้านหลังเล็กๆอยู่ในหมู่บ้านเดียวกับ นายกฯหญิงคนนั้นแหละค่ะ (คนที่คุณรัชชพล ไม่ค่อยอยากเอ่ยถึง) มีรถเก๋งสองคันที่ดิฉันและสามีใช้เป็นพาหนะในการทำงาน (ทั้งบ้านและรถ เราสองคนยังต้องผ่อนอยู่นะคะเดือนละราวๆ 4 หมื่นบาท)
อ้อ ลืมบอกไป ลูกสาวของดิฉัน เรียนอยู่มหาวิทยาลัยเอกชน แถว ถ.วิภาวดีฯ เรียนอยู่ปี 3 แล้วค่ะ คณะบริหารธุรกิจ กำลังโตเป็นสาว หน้าตาดีทีเดียว เหมือนใครไม่รู้ (อดชมตัวเองไม่ได้ ขอโทษนะคะ)
กลับมาที่ปัญหาของครอบครัวเรา จุดเริ่มต้นของปัญหาทั้งหมด ในทัศนะของดิฉันมันคงน่าจะมาจาก ของขวัญวันเกิด ปีที่ 18 ของลูกสาวดิฉัน เมื่อ 3 ปีที่แล้ว
ดิฉันยังจำได้ดี ปีนั้นลูกสาวของดิฉันแกอยากเรียนต่อ คณะนิเทศศาสตร์ แต่สอบเข้าเรียนมหาวิทยาลัยรัฐไม่สำเร็จ เสียอกเสียใจไปพักใหญ่ แต่ทั้งดิฉันและสามีก็พยายามปลอบใจ และให้ไปสมัครเรียนต่อที่มหาวิทยาลัยเอกชนแทน เพราะเราไม่อยากให้ ลูกสาว น้อยหน้าเพื่อนๆ และหวังจะปลอบขวัญ ดิฉันก็เลยขอให้คุณพ่อ(สามีดิฉัน) ช่วยทำบัตรเครดิต (ใช้ร่วมกับลูกสาว) 1 ใบ นอกเหนือจากที่เราทั้งสองคนมีบัตรเครดิตกันอยู่แล้ว วงเงินประมาณ 5 แสนบาท
ตอนยื่นบัตรเครดิตใบนั้นให้ลูกสาว ดิฉันยังจำได้ดี ถึงแววตาดีใจของเธอ และเราก็กำชับเธอไปแล้วว่า ให้รู้จักบริหารเงิน ให้เป็น อย่าไปจับจ่ายใช้สอย ฟุ่มเฟือย เธอก็รับปากเป็นมั่นเหมาะ แต่...มาถึงวันนี้ ท่าทางมันจะตรงข้ามเสียแล้วค่ะ...
ตั้งแต่ราวเดือนตุลาคมปีที่แล้ว สามีดิฉันเริ่มเห็นความผิดปกติ ในสลิปต์ใบแจ้งหนี้ของธนาคารที่ออกบัตรเครดิต คือมียอดการใช้คงค้างมากขึ้นทุกทีๆจนเขาตกใจ (ก่อนหน้านั้น ดิฉันแอบเก็บสลิปต์ไว้ไม่ให้สามีเห็นกลัวโดนดุ) ยอดล่าสุดในเดือน ก่อนหน้านั้น มันไปแตะยอดราวๆ 4.1 แสนบาท นี่ไม่นับค่าดอกเบี้ย ค่าธรรมเนียมอื่นๆอีกนะคะ
คืนนั้นเราสองคนทะเลาะกันหนัก เขา(สามี)ตำหนิว่า ทำไมดิฉันปล่อยให้ลูกสาวใช้เงินเปลืองขนาดนี้ และทำไมไม่ใช้หนี้ ปล่อยให้ยอดค้างจ่ายจนจะเต็มวงเงินอยู่แล้ว(ปกติดิฉันเป็นคนดูแลเรื่องค่าใช้จ่ายต่างๆในบ้าน สามีมีหน้าที่หาเงิน) ตอนท้ายสามีดิฉัน ยื่นคำขาด ให้ดิฉันไปคุยกับลูกสาว และขอเก็บบัตรเครดิตคืนมาก่อน
ดิฉันก็ตั้งใจจะทำอย่างนั้นแหละค่ะ แต่หลังจากไปคุยกับลูกสาว เหตุการณ์มันกลับเลวร้ายกว่าที่คิดไว้เสียอีก !!!
ลูกสาวดิฉันเธอร้องไห้ ยอมสารภาพว่า ใช้เงินเกินตัวสักหน่อยไปจริงๆ แต่เจ้าหล่อนก็อ้างว่า ต้องเข้าสังคม เห็นเพื่อนๆใช้ ข้าวของ เครื่องใช้แพงๆ เปลี่ยนมือถือ หิ้วไอแพด ถือกระเป๋าแบรนด์เนมกันทั้งนั้น เธอก็ต้องมีเหมือนกันไม่ให้น้อยหน้า เดี๋ยวไม่มีใครคบ
หลังจากฟังเหตุผลของเธอ ถึงแม้มันจะไม่ค่อยเข้าท่าสักเท่าไร แต่ดิฉันยอมรับค่ะว่า “ใจไม่แข็งพอ” ไม่อยากลงโทษอะไร เธอมากมาย ยิ่งเห็นน้ำตาของเธอ แต่ก็ยังใจแข็งนะคะ ขอบัตรเครดิตคืนมา แลกกับเงินประมาณ 9 หมื่นบาท ที่ทิ้งให้เธอไว้สำหรับใช้ในช่วงที่ไม่มีบัตรเครดิต(สงสารลูกน่ะค่ะ) บวกกับเธอบอกว่า กำลังมีแผนธุรกิจที่จะไปลงทุนซื้อ “เสื้อผ้าแฟชั่น” มาขายผ่าน IG อินสตราแกรม เหมือนเพื่อนๆที่หันมาทำธุรกิจขายของออนไลน์ สามารถสร้างรายได้กันเป็นกอบเป็นกำ มีเงินมีทองใช้กันจนแทบ ไม่ต้องมา “แบมือ” ขอเงินพ่อแม่กันแล้ว
ความจริงเหตุการณ์ร้ายๆมันน่าจะผ่านไปด้วยดีจริงไหมคะ แต่ปราฎว่าหลังจากนั้น ชีวิตสมรส ของดิฉันกับสามีก็เริ่มเปลี่ยนแปลงไป มีปากเสียง ระหองระแหงกันบ่อยขึ้น ไม่ใช่เรื่องอะไรหรอกค่ะ ก็ปัญหาเรื่อง “หมุนเงิน” มาใช้หนี้เก่า ที่ทำให้เราเครียดมากขึ้น แถมระยะหลังๆคุณลูกสาว ก็เริ่มไม่ค่อยกล้ามาเข้าหน้า จนดิฉันเริ่มผิดสังเกต
ดิฉันขอเล่าเรื่องยาวหน่อยนะคะ เพราะรู้สึกชีวิตของดิฉันมันเหมือนนิยายน้ำเน่าอย่างไรไม่รู้ (ประชดตัวเองอีกแล้ว)
ขอเล่ามาถึงตอน “ไคลแม็กซ์” ของเรื่องเลยละกัน
เหตุการณ์มันมาถึงจุดวิกฤติเมื่อปลายเดือนที่แล้ว เมื่อจู่ๆลูกสาวดิฉัน เดินร้องไห้เข้ามาหาที่ห้องนอน กลางดึกคืนวันหนึ่ง เธอ ”ฟูมฟาย”ว่า โดนเพื่อนที่ทำธุรกิจขายของออนไลน์ด้วยกัน เบี้ยวไม่ยอมจ่ายเงิน ที่ติดค้าง “ซัพพลายเออร์” เสื้อผ้าที่สั่งตัดเอาไว้
เธอเล่าว่า ตอนนี้ร้านเสื้อที่เธอสั่งของเอาไว้ ทั้งโทรศัพท์ ทั้ง”ไลน์” ตามทวงเงินเธอแทบจะทุกชั่วโมง จนไม่เป็นอันเรียนแล้ว เธอขอร้องให้ดิฉันช่วยเธออีกสักครั้ง ไม่อย่างนั้นเธอจะ”ฆ่าตัวตาย” หนีหนี้ไปดีกว่าที่จะโดนเจ้าของร้านเสื้อมาประจาน หรือดักทำร้าย เพราะล่าสุดเจ้าของร้านเสื้อยื่น “คำขาด”มาแล้วว่าจะต้องได้เงินภายในเดือนนี้ ไม่อย่างนั้นจะส่งคนมาเล่นงานเธอ
ถ้าเป็นคุณรัชชพล เจอเหตุการณ์อย่างนี้จะทำอย่างไรคะ?
ความจริงดิฉันก็เอาเรื่องนี้ไปปรึกษาคุณสามีนะคะ แต่ปรากฏว่าเขาตำหนิฉันเสียใหญ่โต จนแทบ”บ้านแตก” เพราะเขาบอกว่า ปัญหาหนี้เก่าที่รุมเร้าอยู่ เขาก็ต้องเหนื่อยยาก ทำงานเสริมวิ่งหาเงินมาใช้หนี้ จนแทบไม่มีเวลาพักผ่อนอยู่แล้ว จะไปเปิดวงเงินกู้ กับแบงก์เพิ่มอีก ก็คงไม่มีแบงก์ไหนเขาอนุมัติให้แล้ว เพราะยังติด “เครดิตบูโร” จากไอ้บัตรเครดิตเจ้ากรรมใบนั้นของคุณลูกสาวตัวดี
ยิ่งตอนที่ดิฉันอุตส่าห์เสนอความเห็น ถามเขาว่า ถ้ามันหมุนเงินไม่ทันจริงๆ เราลองไปพึ่ง เจ้าหนี้นอกระบบดีไหม เพราะเห็นเขาติดป้ายไว้ตาม “เสาไฟฟ้า” ริมถนนในซอยข้างๆหมู่บ้าน ปรากฏว่า พ่อเจ้าประคุณเขาด่าดิฉันเสียแทบเสียผู้เสียคน ถึงขนาดประกาศว่า ถ้ารู้ว่าดิฉันไปกู้เงินนอกระบบมาจริงๆ เขาจะฟ้อง”หย่า”ดิฉันทันที
ทั้งหมดที่เล่ามาให้ฟังเสียยืดยาว ก็เพราะหวังจะให้คุณเข้าใจปัญหาของดิฉัน และช่วยชี้แนะแสงสว่างที่จะเป็นทางออก ให้ว่าดิฉันควรทำอย่างไรดีคะ?
ดิฉันจะรอคำตอบของคุณรัชชพล แต่ถ้าเป็นไปได้ อย่ายก”เคส”ของดิฉัน ไปเล่าในรายการวิทยุของคุณเลยนะคะ ดิฉันอายค่ะ ที่สำคัญ ถ้าสามีและลูกสาวดิฉันเขารู้เข้าอาจจะไม่พอใจ
ขอขอบคุณล่วงหน้ากับคำแนะนำดีๆที่จะมีให้นะคะ
ติดตามฟังรายการของคุณทุกวันค่ะ
ขอแสดงความนับถือ
แม่บ้านผู้สิ้นหวัง...
เป็นอย่างไรครับ ใครได้อ่านจดหมายฉบับนี้แล้ว อาจจะคิดในใจเหมือนผมว่า ชีวิตของคุณแม่บ้านผู้สิ้นหวัง มันทำไมคลับคล้ายคลับคลา กับสถานการณ์บางอย่างที่กำลังเกิดขึ้นอยู่ในเวลานี้ กับ “อภิมหาโมฆะสตรีแห่งสยาม” เสียเหลือเกิน
ที่นำมาให้ได้อ่านกัน ไม่ได้ตั้งใจจะประจานอะไรนะครับ แต่ผมคิดว่า อาจมีหลายครอบครัวที่กำลังประสบกับ สถานการณ์คล้ายคลึงกัน เพราะปัญหาเรื่อง”หนี้”มันกำลังจะกลายเป็นเรื่อง หายนะแห่งยุคสมัยไปเสียแล้ว
แต่ เชื่อผมไหมครับ การบริหารเงินในครอบครัว มันอาจจะง่ายกว่า การบริหารประเทศนะครับ
กรณีของคุณแม่บ้านผู้สิ้นหวังน่ะ มีทางออกแน่ครับ เมื่อเธอตระหนักในปัญหา รู้ว่าตัวเธอเองเป็นส่วนหนึ่งของปัญหา และพร้อมที่จะเปลี่ยนแปลงพฤติกรรม เมื่อรับฟังคำแนะนำ
แตกต่างจากใครบางคนที่ไม่เคย แม้แต่จะยอมรับในความผิดพลาดที่ตัวเองก่อขึ้น แถมยังพยายามปกปิด ซ่อนเร้น บิดเบือน และพร้อมจะโยนความผิดไปให้กับผู้ที่เห็นต่าง คนที่เธอเชื่อว่าเป็นฝ่ายตรงข้ามที่ต้องการ โค่นล้ม และได้อำนาจไปจากเธอ คนแบบนี้ เป็นคนที่น่าสงสารครับ แต่ที่น่าสงสารและน่าเศร้ามากกว่า คือ ใครคุณคงรู้นะครับ
เนื้อความทั้งหมดของจดหมายที่นำมาเสนอ ไม่ได้มีเจตนาจะตอบหรอกครับ เพียงแต่อยากจะลองท้าทายให้หลายๆคนคิดว่า หากครอบครัวเรา หรือ บ้านเมืองของเรา ประสบปัญหาแบบนี้ แต่ละคนคิดว่าเราควรจะทำอย่างไร เพื่อหาทางออกของปัญหา
ใครมีคำตอบอย่างไร สามารถนำมาแชร์กันได้ครับ...