xs
xsm
sm
md
lg

เลิกเป็นโรคความดัน เบาหวาน ไต หัวใจ กันดีกว่า!

เผยแพร่:   โดย: สิริอัญญา

บ้านเมืองของเราทุกวันนี้มีความเจริญก้าวหน้าทางการแพทย์ ทางเภสัช มากกว่าหลายประเทศในย่านนี้ แต่ความเจริญก้าวหน้าแบบนี้กลายเป็นว่าคนไทยกลับเป็นโรคความดันโลหิตสูง โรคเบาหวาน โรคไต และโรคหัวใจกันมากกว่าชาติอื่นๆ

ในขณะที่คนพม่า ลาว กัมพูชา เวียดนาม แม้กระทั่งมาเลเซีย ซึ่งเป็นเพื่อนบ้านใกล้เคียงกัน ก็มีคนเป็นโรคพวกนี้น้อยกว่าบ้านเมืองของเรามาก

และโรคที่ว่านี้ถ้าใครเป็นเข้าแล้วก็จะมีความเข้าใจว่าจะต้องกินยารักษากันไปตลอดชีวิต เพราะเป็นโรคที่ไม่หายขาด ดังนั้นยิ่งคนไทยเป็นโรคพวกนี้มากขึ้นเท่าใดก็ต้องใช้จ่ายเงินในการซื้อยามากินกันจนตลอดชีวิต

และเพื่อให้มีกำลังใจที่จะกินยา จ่ายค่ายาไปตลอดชีวิต ก็ได้รับการแนะนำให้กำลังใจว่ายาแก้โรคความดันโลหิตสูง เบาหวาน ไต และหัวใจนั้นสามารถกินได้ตลอดชีวิต กินได้ถึง 10,000 วัน

ก็ใช่ล่ะสิถ้าไม่ตายเสียก่อน! และมีอายุต่อไปจนครบ 10,000 วัน ก็คงได้จ่ายเงินซื้อยามากินกันจนครบ 10,000 วันนั่นแหละ แต่ความจริงไม่ได้เป็นเช่นนั้นเพราะจะตายเสียก่อนที่จะครบ 10,000 วัน

และถ้าสังเกตกันให้ดีก็จะพบว่า โรคความดันโลหิตสูง โรคเบาหวาน โรคไต และโรคหัวใจ อาจจะเป็นญาติโกโหติกาที่ใกล้ชิดกันมาก ดังนั้นเมื่อเป็นโรคใดโรคหนึ่งแล้ว ก็จะมีโรคที่เหลือตามมาผสมโรงเรียกว่ายกโคตรเหง้าตระกูลมาเป็นกันให้ครบเครื่อง

ทำเหมือนกับนักการเมืองโคตรโกงและโกงทั้งโคตร ที่ยกโคตรเหง้าศักราชมาโกงบ้านกินเมืองจนพินาศล่มจมดังที่เห็นกันอยู่ในทุกวันนี้

บางคนพอตรวจสุขภาพก็อาจจะพบแค่เป็นโรคความดันโลหิตสูงก่อน ก็จะได้รับยามากิน และไม่นานเท่าใดนักก็จะมีอาการขาบวม หรือหัวใจเต้นไม่ปกติ หรือน้ำตาลในเลือดสูง

นั่นหมายความว่าเป็นโรคความดันโลหิตสูงแล้วก็เป็นโรคไตตามมาด้วย เป็นโรคเบาหวานตามมาอีก และโรคหัวใจก็ผสมโรงเข้ามา กลายเป็นว่าเป็นโรคครบตระกูล

คนไทยทุกวันนี้จะมีชะตากรรมในการเป็นโรคอย่างนี้ และอัตราการเป็นโรคโคตรตระกูลนี้มีแต่จะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ และเมื่อเป็นโรคใดโรคหนึ่งขึ้นก่อนแล้วก็เป็นที่แน่นอนว่าภายในทุก 60 วัน หรือน้อยกว่านั้น ก็ต้องจ่ายค่ารักษา ค่ายา ตั้งแต่ระดับ 700 บาท ไปจนถึง 6,000 บาท ตามจำนวนของโรคที่เป็น และตามคุณภาพของยาที่ต้องกิน

กลายเป็นว่าต้องจ่ายค่าดำรงชีวิตตามรอบระยะเวลาที่เป็นโรคนั้น โดยที่ไม่ค่อยมีใครได้เฉลียวใจว่าโรคทั้งสี่โรคนี้มันเป็นเหตุเป็นปัจจัยให้แก่กันอย่างไร ดังนั้นเมื่อใครตกเข้าไปอยู่ในวงจรของความเป็นโรคแล้ว ในที่สุดก็จะเป็นครบโคตรเหง้าศักราชหรือชะดีชะร้ายก็จะตายด้วยโรคหัวใจเสียก่อน

ก็ต้องขอบอกว่าเหตุปัจจัยของโคตรเหง้าศักราชโรคชุดนี้จะมีลำดับความเป็นมาและเป็นเหตุเป็นปัจจัยกันคือ จะเป็นความดันโลหิตสูงก่อน เมื่อเป็นความดันโลหิตสูงแล้วก็เกิดอาการปวดหัว มึนงง วูบวาบ

การเป็นความดันโลหิตสูงก็เนื่องจากหัวใจทำงานหนัก สูบฉีดโลหิตแรง เพื่อให้เลือดไปเลี้ยงสมองและร่างกายได้ตามปกติ ให้สังเกตตรงที่หัวใจต้องสูบฉีดเลือดไปเลี้ยงสมองและร่างกายได้ตามปกติเอาไว้ตรงนี้ก่อน

ครั้นกินยารักษาโรคความดันโลหิตสูง ยานั้นก็จะไปทำให้การเต้นของหัวใจน้อยลง และขับเอาสารจำพวกโซเดียมหรือเกลือออกไป ทำให้ต้องปัสสาวะบ่อย ๆ จนกระทั่งปัสสาวะวันละหลายครั้ง และคืนละหลายหน นั่นก็เพราะไตทำงานผิดปกติ

รวมความว่ากินยาแก้โรคความดันโลหิตสูงไปไม่เท่าใด ก็จะไปบังคับให้การเต้นของหัวใจไม่ปกติ ไปบังคับให้การทำงานของไตไม่ปกติ แล้วส่งผลกระทบต่อตับ ส่งผลต่อการผลิตอินซูลินซึ่งเกี่ยวข้องกับการย่อยสลายน้ำตาล ทำให้น้ำตาลในเลือดเพิ่มขึ้น ก่อเป็นอาการเบาหวาน

และเมื่อหัวใจถูกบังคับในการทำงานมากขึ้น ในที่สุดก็เป็นโรคหัวใจตามมา อาจจะเป็นทั้งโรคหัวใจโต หรือหัวใจเต้นไม่ปกติ หนักๆ เข้าก็ต้องผ่าตัดหัวใจ หรือไม่ก็หัวใจวายตายเอาดื้อๆ

นี่แหละคือสิ่งที่เรียกว่าปฏิจจสมุปบาทของโคตรศักราชโรคชุดนี้ ว่าเป็นเหตุเป็นปัจจัยกันอย่างไร รวมความก็คือหัวโจกใหญ่คือโรคความดันโลหิตสูง ถ้าหยุดโรคนี้เสียได้ ก็เท่ากับได้ดับเหตุของโรคไต โรคเบาหวาน และโรคหัวใจไปด้วย ซึ่งก็เป็นไปตามหลักของปฏิจจสมุปบาทอีกนั่นแหละ

แต่จะมีใครสักกี่คนเล่าที่ทราบและเข้าใจว่าโรคความดันโลหิตสูงเกิดขึ้นได้อย่างไร และเพิ่งกินยารักษาโรคความดันโลหิตสูงกันนี้ตั้งแต่เมื่อใด ถ้ารู้ตรงนี้แล้วก็เรียกว่าได้รู้ต้นเหตุของความเป็นโรคโคตรนี้ ก็จะเป็นทางแห่งการเบื่อหน่าย บอกเลิก บอกลาไม่ต้องเป็นโรคโคตรตระกูลนี้กันต่อไป

ลองนึกย้อนอดีตไปดูก็ได้ว่าปู่ย่าตายายของเราแต่ละคนนั้นมีใครเคยกินยารักษาโรคความดันโลหิตสูงบ้าง? ชั้นปู่ย่าตายายนั้นคงจะตอบได้เหมือนกันว่าไม่มีใครเป็นโรคความดันโลหิตสูง และไม่เคยมีใครกินยารักษาโรคความดันโลหิตสูงเลย ทั้งประเทศไทยก็เป็นอย่างนี้ ทั้งประเทศเพื่อนบ้านของเราก็เป็นอย่างนี้

ทว่า เมื่อราว 30 ปีมานี้ก็ได้เกิดเหตุการณ์ที่ทำให้สภาพที่เคยเป็นอยู่มาแต่รุ่นปู่ย่าตายายจนถึงยุคดึกดำบรรพ์เปลี่ยนแปลงไป

นั่นคือเกิดการรณรงค์ทางวิชาการอย่างขนานใหญ่ ให้คนไทยเลิกกินน้ำมันหมู น้ำมันมะพร้าว โดยอ้างว่าเป็นต้นเหตุเภทภัยของโรคมะเร็งและโรคร้ายแรงต่างๆ และให้หันมากินน้ำมันพืช คือน้ำมันถั่วเหลือง ซึ่งเป็นถั่วที่นำเข้ามาจากต่างประเทศเกือบทั้งหมด รวมทั้งน้ำมันปาล์ม ทั้งที่ผลิตในประเทศและต่างประเทศ

รณรงค์กันอย่างกว้างขวาง ทั้งโทรทัศน์ วิทยุ หนังสือพิมพ์ และตามวงวิชาการต่างๆ จนคนไทยก็เชื่อตาม แล้วเลิกกินน้ำมันหมู น้ำมันมะพร้าว รวมทั้งกะทิกันตั้งแต่บัดนั้น หันมากินน้ำมันถั่วเหลือง น้ำมันปาล์มแทน

ทำให้การนำเข้าถั่วเหลืองและน้ำมันปาล์มเพิ่มขึ้นทุกปีๆ จนหนักเข้าก็ปลูกปาล์มกันเป็นการใหญ่ ทั้งพื้นราบและภูเขา จนประเทศไทยกำลังจะกลายเป็นประเทศที่ปลูกปาล์มรายใหญ่ในภูมิภาคนี้ไปแล้ว

เราเลิกกินน้ำมันหมู น้ำมันมะพร้าว รวมทั้งกะทิ โดยหลงเชื่อการรณรงค์ทางวิชาการที่ว่านั้น โดยลืมคิดหรือไม่เฉลียวใจว่าทำไมตั้งแต่ยุคดึกดำบรรพ์มาจนรุ่นปู่ย่าตายาย คนไทยก็ไม่ได้เป็นมะเร็งมากมายเหมือนดังที่เป็นอยู่ในทุกวันนี้

และเพราะเชื่อการรณรงค์ทางวิชาการที่ว่า โดยลืมเฉลียวใจไปถึงอดีต คนไทยจึงหันมากินน้ำมันถั่วเหลือง น้ำมันปาล์มกันทั้งประเทศ

แม้จะมีการถกเถียงในทางวิชาการว่า น้ำมันถั่วเหลืองและน้ำมันปาล์มนั้น เมื่อกระทบกับความร้อนเข้าแล้วก็จะกลายเป็นสารพิษ ที่เมื่อเข้าไปสู่ร่างกายแล้วก็จะทำให้หลอดเลือดต่างๆ กระด้าง ไม่อ่อนนุ่มเหมือนปกติ และเมื่อกระด้างแล้วก็ทำให้สารบางอย่างเกาะติดง่าย โดยเฉพาะพวกคราบน้ำมันต่างๆ

พอนานเข้าเส้นเลือดก็ตีบ การไหลเวียนของโลหิตก็น้อยลง เพื่อให้การไหลเวียนของเลือดเป็นปกติ ร่างกายก็ต้องบังคับให้หัวใจสูบฉีดเลือดแรงขึ้น มากขึ้น แล้วในที่สุดก็ตั้งต้นของการเป็นโรคความดันโลหิตสูง เป็นปฏิจจสมุปบาทที่อุบาทว์ของโรคโคตรนี้

และนับตั้งแต่บัดนั้นมา คนไทยก็เป็นโรคความดันโลหิตสูงและโรคในวงศ์ตระกูลนี้มากขึ้น ทำให้การซื้อยาแก้โรคตระกูลนี้เพิ่มมากขึ้นๆ และป่วยไข้ ตายกันเพราะโรคตระกูลนี้มากขึ้นเรื่อยๆ จนเป็นมหันตภัยที่ร้ายแรงอย่างหนึ่งของบ้านเมืองเราไปแล้ว

ก็แลเมื่อต้นเหตุเภทภัยอยู่ที่การกินน้ำมันถั่วเหลืองและน้ำมันปาล์ม ก็ต้องดับเหตุตรงนี้ นั่นคือเลิกกินน้ำมันปาล์ม น้ำมันถั่วเหลือง แล้วหันกลับไปกินน้ำมันหมู น้ำมันมะพร้าว และกะทิเหมือนดังแต่ก่อน ใครที่ยังไม่เป็นโรคตระกูลนี้ก็จะได้ไม่ข้องแวะกันอีกต่อไป

ส่วนใครที่เป็นแล้ว ไม่ว่าโรคเดียวหรือทั้งวงศ์ตระกูล เมื่อได้ดับต้นเหตุเสียแล้ว ผลทั้งหลายก็ย่อมดับไปด้วย ดังนั้นเราท่านทั้งหลายจึงมาช่วยกันเลิกเป็นโรคความดันโลหิตสูง โรคไต โรคเบาหวาน และโรคหัวใจกันเถิด

ส่วนน้ำมันมะพร้าวมีประโยชน์อย่างไร มีวิธีกินอย่างไร โน่น! ต้องให้อาจารย์ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ ช่วยอธิบายจะดีกว่า

พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ความเป็นไปในร่างกายนี้ล้วนเกิดจากอาหาร กินอาหารถูกต้อง อาหารก็เป็นยา กินอาหารผิด อาหารก็เป็นพิษ แล้วเป็นเหตุแห่งสารพัดโรคฉะนี้แล.
กำลังโหลดความคิดเห็น